วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

333

 


 


 


แขนราชสีห์สวรรค์กําลังลุกโชนด้วยสีทองม่วง

 

เชี่ยวหยางหลงทั้งสิ้นหวังและเจ็บปวดเกินพรรณนา เขากรีดร้อง ออกด้วยความเจ็บปวดขณะก่นด่าสาปแช่งฉินหยุน

 

ฉินหยุนเพียงหลับตา เขาได้เห็นอย่างชัดเจน ที่พื้นผิวของแก่น ภายในสั่นไหว แก่นภายในตะวันทมิฬ และแก่นภายในอสนีบาต อัคคี อักขระยิ่งมายิ่งชัดเจน!

 

อักขระแห่งชีวิตของมหาวิถีแห่งเต๋า ได้ปรากฏอย่างสมบูรณ์ที่พื้นผิว ของแก่นภายในทั้งสามของเขา!

 

วูบ!

 

แรงสั่นสะเทือนรุนแรง ทะลักจากร่างกายของเขา มันคือมหาวิถีแห่ง เต๋าอันรุนแรง!

 

คลื่นกระแทก และอสนีบาตอัคคีทองม่วงทะลักผ่านอาคมใหญ่ กระจายทั่วทั้งลานกว้างของตําหนักตะวันตก! นี่คือพลังของมหาวิถีแห่งเต๋า! ฉินหยุนปลดปล่อยพลังของมหาวิถีแห่งเต๋า หมายความถึงเขาเลื่อน

ระดับสู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋าแล้ว!

 

ไม่เพียงแต่อายุยังไม่ถึงยี่สิบปี แต่ยังมีสองวิญญาณยุทธ์ และสอง ทเทมในครอบครอง


 


 


 


ด้วยพรสวรรค์ระดับนี้ กล่าวได้ว่าเป็นการท้าทายต่อสวรรค์แล้ว! บรรดายอดฝีมือด้านนอกลานประลองต่างมึนงง ราวกับรูปแกะสลัก หินที่ไม่ไหวติง พวกเขามองที่ฉินหยุน ทั้งร่างกายกําลังปลดปล่อย ควันสีดําออกมา!

หลันฮัวอวี้ซึ่งอยู่ใกล้ลานประลองยุทธ์ที่สุด เขาสัมผัสได้ถึงมหาวิถี

แห่งเต๋านี้ ว่ามันน่าสะพรึงเพียงใด!

เขามั่นใจ ว่าฉินหยุนได้ก้าวสู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋าแล้ว! “พลังของมหาวิถีแห่งเต๋า! เขาก้าวสู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋าแล้ว!” “ฉินหยุนเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตวรยุทธ์เต๋า เรื่องนี้… ต้องหลอกลวง กันแน่!”

“พลังของมหาวิถีแห่งเต๋า สามารถปลดปล่อยออกได้จากขอบเขต

วรยุทธ์เต๋าเท่านั้น!”

“เขาอยู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋าแน่แล้ว ด้วยอายุยังไม่ถึงยี่สิบด้วยซํ้า แต่ กลับอยู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋า! นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว!” ทั่วทั้งลานกว้างของตําหนักตะวันตก ปกคลุมด้วยคลื่นเสียงร้อง อุทานเดือดพล่านอย่างแตกตื่นของฝูงชน!

ทุกผู้คนที่นี้ ต่างได้เป็นประจักษ์พยานถึงการถือกําเนิดของผู้ฝึกตน ขอบเขตวรยุทธ์เต๋าตรงหน้า!


 


 


 


ตอนที่ 333 สังหารครั้งใหญ่

 

เชี่ยวหยางหลงหาได้ร้องออกแม้สักคํา เป็นเขามึนงงไป เพราะพลัง ของมหาวิถีแห่งเต๋าในร่างของฉินหยุนที่ทรงพลังแกร่งกล้า!

 

เขามองที่ฉินหยุนด้วยความหวาดกลัวเกินใดเทียบเปรียบ!

 

ฉินหยุนผู้ซึ่งอยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เก้า ก็น่าสะพรึงกลัว พอแรงแล้ว อักขระแห่งชีวิตที่ปรากฏบนตัวผู้ฝึกตน หมายความถึง ขอบเขตวรยุทธ์เต๋าระดับที่หนึ่ง!

 

สําหรับฉินหยุน ผู้ซึ่งเพิ่งก้าวสู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋า ผู้คนล้วนคาดเดา ได้ ว่าเขาจะแข็งแกร่งทรงพลังเพียงใด!

 

“เจ้า! ไอ้ปีศาจร้าย กลืนกินวิญญาณยุทธ์ข้าเพื่อเลื่อนระดับพลัง!” เชี่ยวหยางหลงกรีดร้องออกด้วยความหวาดกลัว นํ้าเสียงนี้สั่นเทิ้ม

 

“เชี่ยวหยางหลง เจ้าต่างหากที่ก่อเรื่องเลวร้าย มีชีวิตได้จนกระทั่ง ตอนนี้ เจ้าสมควรพึงพอใจแล้ว!” ฉินหยุนมองที่เชี่ยวหยางหลง เอ่ย คําเสียงเย็น

 

แขนราชสีห์สวรรค์แปรเปลี่ยนเป็นกรงเล็บราชสีห์ เมื่อวิชาวายุ สังหารถูกปลดปล่อยออก มันนําพามาซึ่งอสนีบาตอัคคีทองม่วง รุนแรงปกคลุมทั้งพื้นที่!


 


 


 


“ไม่ อย่าฆ่าข้า…”

เชี่ยวหยางหลง ผู้ซึ่งร่างถูกปกคลุมด้วยอสนีบาตอัคคีทองม่วงรุนแรง กรีดร้องออกด้วยความน่าสังเวช ทั้งร่างกายถูกสับฟันหั่นเป็นชิ้นส่วน ก่อนถูกเผาไหม้กลายเป็นเถ้าธุลีด้วยอสนีบาตอัคคีที่รุนแรง! เสียงอื้ออึงจากทั่วทั้งตําหนักตะวันตกกลายเป็นเงียบงัน แต่ไม่ช้า คลื่นเสียงของผู้คนได้ระเบิดขึ้นอีกครั้ง!

เชี่ยวหยางหลงสิ้นชีพแล้ว!

องค์ชายรัชทายาทแห่งเทียนเชี่ยว หัวหน้าศิษย์ที่เยาว์วัยของตําหนัก ตะวันตก ผู้อยู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋าและครอบครองวิญญาณยุทธ์แห่ง สวรรค์ ดวงตะวันระดับทอง ถูกสังหารโดยฉินหยุน ผู้ซึ่งอายุยังไม่ ทันถึงยี่สิบปี!

หลันฮัวอวี้เร่งรีบปิดค่ายอาคม สถานการณ์ตอนนี้ดําเนินไป จนถึง จุดที่เขาแทบไม่เคยคาดคิดถึง!

เมื่อจ้าวตําหนักทิศใต้ สัมผัสได้ถึงขุมพลังมหาวิถีแห่งเต๋าอันน่าพรั่น พรึงของฉินหยุน เขาเร่งรีบถอย

จ้าวตําหนักทิศเหนือ ก็ถอยไปพร้อมกันนี้! พวกเขาเกลียดชังฉินหยุน แต่ไม่ได้เทียบเท่าจ้าวตําหนักหยาง ฉิน หยุนเปิดเผยวิชาขัดเกลาวิญญาณ ก็เพื่อเอาชีวิตอีกฝ่ายให้จมดิ่งถึง วามสิ้นหวัง


 


 


 


แม้ฉินหยุนเพิ่งก้าวสู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋า แต่พลังอํานาจของโทเทม ทั้งสอง ถือว่าน่าสะพรึงเกินบรรยาย!

 

หากพวกเขาบุ่มบ่ามเข้าโจมตีฉินหยุน มีโอกาสสูงยิ่งที่พวกเขา จะต้องบาดเจ็บสาหัสกันทั้งสองฝ่าย

 

หลันฮัวอวี้ปิดค่ายอาคมลงแล้ว!

 

มีแต่จ้าวตําหนักหยางแห่งตําหนักตะวันตกที่พุ่งกายเข้าไป มือของ เขาตอนนี้ กําด้ามดาบยาวเอาไว้แน่น!

 

“เจ้าและเชี่ยวหยางหลงก่อการร่วมกัน เจ้าเองก็ทราบ ว่ามันต้องการ ใช้อาจารย์หยางเป็นเตาหลอมเพื่อการฝึกฝน ดังนั้น เจ้าก็สมควร ตาย!” ฉินหยุนขว้างยันต์สะกดกายจํานวนหนึ่งออก สะกดข่มจ้าว ตําหนักหยางเอาไว้

 

จ้าวตําหนักหยาง เพราะมีโทสะจนขาดสติ ถึงกับลืมเลือนว่าฉินหยุน มียันต์สะกดกาย ทันทีเมื่อร่างเขาถูกสะกดอยู่กับที่ ฉินหยุนได้ ทะยานกายออกพร้อมเข้าปลิดชีวิตเขาแล้ว!

 

แขนราชสีห์สวรรค์ของฉินหยุน ก่อเกิดเป็นกรงเล็บราชสีห์สวรรค์ อีกคราหนึ่ง ด้วยแรงตวัดรุนแรง มันระเบิดออกซึ่งอสนีบาตอัคคี ทองม่วง พวกมันกรีดผ่านอากาศ สับฟันร่างของจ้าวตําหนักหยาง ออกเป็นหลายท่อน!


 


 


 


ตู้ม!

 

ฉินหยุนเล็งที่ชิ้นส่วนร่างกายบนพื้น ใช้งานพลังภายในอสนีบาต อัคคี เผาไหม้ชิ้นส่วนเหล่านั้นให้เป็นเถ้าธุลี!

 

ผู้คนต่างกลืนนํ้าลายเสียงดังยามได้เห็นภาพฉากนี้ พวกเขาทั้ง หวาดกลัว ตระหนก และตื่นเต้น

 

ฉินหยุนถึงขั้นสังหารจ้าวตําหนัก!

 

ตอนนี้ เรื่องราวดําเนินจนถึงจุดนี้แล้ว มันทั้งชวนแตกตื่นและ ประหลาดใจจนเกินไป!

 

จ้าวตําหนักหยางแห่งตําหนักตะวันตก ปกติมีท่าทีสูงส่งโดยเสมอ เป็นตัวตนที่ศิษย์หลายต่อหลายคนได้แต่แหงนหน้ามอง!

 

แต่แล้วตอนนี้ เขากลับถูกฉินหยุนสังหาร ร่างสับฟันออกเป็นหลาย ส่วน ทั้งถูกเผาจนไหม้เป็นเถ้าธุลี!

 

หลังจากฉินหยุนก้าวสู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋า พละกําลังของเขายิ่งมายิ่ง น่ากลัวมากขึ้น!

 

ผู้คนต่างตื่นตระหนก พวกเขามองที่ฉินหยุนด้วยสายตาหวาดกลัว!

 

เสียงวูบดังขึ้น ฉินหยุนใช้ก้าวอัคคีเมฆา ทะยานกายออกจากลาน ประลองยุทธ์


 


 


 


เพียงพริบตา เขาเข้าถึงตรงหน้าร่างผู้อาวุโสตระกูลหยางแล้ว

 

“ชะ… ช่วยข้าด้วย!” แม้ชายชราร่างผอมสูงที่ทําร้ายหยางฉีเย่ว์ จะ เป็นขอบเขตวรยุทธ์เต๋า กระนั้นเขากลับหวาดกลัวตัวตนของฉิน หยุนตอนนี้ยิ่ง

 

ฉินหยุนไม่ลังเล ปลดปล่อยสายฟ้าอสนีบาตออกพร้อมหมัด เข้าที่ หน้าท้องของชายชรา!

 

“อ๊าก!” ชายชราร่างผอมสูง กรีดร้องออกอย่างน่าสังเวช แก่นเต๋าของ เขาแตกสลายเพราะการโจมตีนี้ เป็นเขาบาดเจ็บแสนสาหัสแล้ว

 

“ตาย!”

 

กรงเล็บราชสีห์สวรรค์ของฉินหยุน เปี่ยมด้วยอสนีบาตอัคคีรุนแรง เพียงการตวัดไม่กี่ครั้ง มันฉีกร่างของผู้อาวุโสตระกูลหยางออกเป็น ชิ้นเนื้อ!

 

ผู้ฝึกตนขอบเขตวรยุทธ์เต๋า เสียชีวิตอีกหนึ่งคนแล้ว!

 

ผู้ฝึกตนขอบเขตวรยุทธ์เต๋าเหล่านั้น ไม่อาจต้านรับการโจมตีของฉิน หยุนแม้ครั้งหนึ่ง!

 

ที่นี่ มีแต่จ้าวฉวนและหลันฮัวอวี้ ที่มีฝีมือพอจะจัดการฉินหยุนได้


 


 


 


กระนั้น พวกเขาล้วนเป็นมิตรสหายของฉินหยุน นอกจากนี้ พวกเขา ยังรับชมจ้าวตําหนักหยาง และคนของตระกูลหยางถูกสังหารโดยไม่ ขยับแม้สักนิด

 

“อาจารย์ ข้าขอโทษขอรับ!” ฉินหยุนมองที่หยางฉีเย่ว์ ผู้ซึ่งอยู่ใน อ้อมแขนของหลันเฟิงจิน เขากล่าวออกด้วยความสํานึกเสียใจ

 

“อย่าได้พูดแล้ว จงไป ไปจากตําหนักดวงดาววิญญาณสีคราม!” นาง ได้เห็นฉินหยุนเลื่อนระดับสู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋า มันทํานางยินดีออก จากใจ

 

หลันฮัวอวี้มาถึงข้างกายฉินหยุน เขาส่งกล่องให้ ภายในคือพิมพ์ เขียว ถ้วยลึกลํ้าตะวันจันทรา ยาเหลวตะวันโชติช่วง ผังจารึกดวงดาว และเสื้อคลุมลึกลํ้าวิญญาณสีคราม

 

ฉินหยุนจัดการเชี่ยวหยางหลงได้ นี่คือรางวัลแด่ชัยชนะของเขา!

 

ที่นี่ มีผู้อาวุโสหลายคนจากตําหนักศักดิ์สิทธิ์ ด้วยหน้าที่ พวกเขา ต้องควบคุมสถานการณ์ โดยทันที พวกเขาทะยานกายออกเข้าปิด ล้อมฉินหยุนเอาไว้

 

“จ้าวตําหนักใหญ่กําลังมาที่นี่! ฉินหยุนจงอยู่เฉยเสีย!” ชายชรากล่าว

 

“จ้าวตําหนักหยาง เขาปล่อยให้เชี่ยวหยางหลงได้ฝึกฝนวิชาปีศาจ เช่นนั้นเขาสมควรตาย ส่วนเรื่องที่เจ้าสังหารคนของตระกูลหยาง


 


 


 


เป็นเรื่องขัดแย้งระหว่างเจ้าและพวกเขา พวกเราไม่คิดสนใจ กระนั้น เรื่องที่เจ้าใช้เคล็ดวิชาปีศาจแยกวิญญาณยุทธ์ออก เรื่องนี้ต้องถูกลง ทัณฑ์!”

 

“ฉินหยุน พละกําลังของเจ้าแข็งแกร่งนัก พวกเราไม่คิดทําอันตราย เจ้า หากเจ้ายอมสํานึกจากหัวใจ เช่นนั้นจงอยู่ที่นี่ รอคอยให้จ้าว ตําหนักใหญ่มาพิพากษา!”

 

หยางฉีเย่ว์ตะโกน “ฉินหยุน ไม่ต้องสนพวกมัน ไปเสีย!” อู๋เซี่ยงและเหล่าถาน เร่งรีบมาถึงข้างกายฉินหยุนโดยทันที “อาหยุน ไปจากที่นี่พร้อมพวกเรา ไป!” เหล่าถานกล่าวเสียงเบา

ําเอาปืนใหญ่ราชันวิญญาณออกมา

 

“เจ้าหนู หากจ้าวตําหนักใหญ่มาถึง ก็ไม่มีโอกาสหลงเหลือแล้ว! ชายผู้นั้นอยู่ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณ! เขาสามารถสังหารผู้ฝึกตน มากมายได้เพียงฝ่ามือเดียว พวกเราไม่ต่างอะไรกับมดปลวกต่อหน้า เขา!” อู๋เซี่ยงเร่งร้อนเกลี้ยกล่อม

 

บรรดาผู้อาวุโสของตําหนักศักดิ์สิทธิ์ เริ่มรู้สึกถึงแรงกดดันรุนแรง! หากสหายของฉินหยุนร่วมมือ ต้องเกิดศึกนองเลือดขึ้นแน่แล้ว เซี่ยอู๋เฟิงยืนหยัดข้างฉินหยุน เขากล่าวกระซิบ “น้องหยุน รีบจากไป

โดยเร็ว


 


 


 


จ้าวตําหนักทิศใต้พลันพูดขึ้น ฉินหยุนใช้เคล็ดวิชาขัดเกลาวิญญาณ พวกเราต้องจับตัวมัน หากไม่แล้ว เมื่อจ้าวตําหนักใหญ่มาถึง พวก เราทั้งหมดต้องรับผิดชอบที่ปล่อยมันไป!”

 

“จ้าวฉวน หลันฮัวอวี้ พวกเจ้าเป็นผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งที่สุดในที่นี้ ยัง คิดปกป้องปีศาจร้ายตนนี้อีกหรือ? เพราะเห็นมันเป็นสหายหรือ อย่างไร? เหอะ!”

 

จ้าวตําหนักทิศเหนือเร่งรีบยืนขึ้น ก้าวเดินออกมา พร้อมตะโกนขึ้น “ฉินหยุนคือปีศาจร้าย หากพวกเจ้าปกป้องมัน จ้าวตําหนักใหญ่จะ ไม่ปล่อยพวกเจ้าไป!”

 

ฉินหยุนมองที่มิตรสหาย ผู้ซึ่งคิดช่วยเหลือเขา ทําเอาเขาประทับใจ ฝังแน่น

 

ย้อนกลับไปตอนอยู่พระราชวังหลวง เส้นวิญญาณของเขาถูกแยก ออก เขาต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว หาได้มีผู้ใดให้การช่วยเหลือไม่

 

กระนั้นตอนนี้ มีหลายคนที่เชื่อมั่นในตัวเขา ไม่มองเขาเป็นปีศาจร้าย เช่นกาลก่อน!

 

“ขอขอบคุณทุกคน ได้เป็นสหายกับพวกท่าน ข้า ฉินหยุน แม้ตายก็ ไม่เสียดาย!” ฉินหยุนเผยดวงตาชุ่มชื้น ยื่นมือเข้าไปสัมผัสเซี่ยอู๋เฟิง และคณะ


 


 


 


ท้ายที่สุด เขามองที่หยางฉีเย่ว์ พยักหน้าให้หลันเฟิงจิน บ่งบอกให้ างช่วยดูแลหยางฉีเย่ว์ด้วย

 

“น้องหยุน เจ้าคิดทําอะไร!” เซี่ยอู๋เฟิงเร่งร้อนถาม เพียงกล่าวคําจบ พื้นดินเริ่มสั่นไหว ฉินหยุนพุ่งทะยานออกราวอุกกาบาตสู่ฟากฟ้า

 

ฉินหยุนใช้ก้าวดาราเร้นลับ บินขึ้นสูงบนท้องฟ้า มุ่งหน้าไปยังทิศ ตะวันออกของตําหนักดวงดาววิญญาณสีคราม!

 

“ไล่ตามไปเร็ว!” ผู้อาวุโสของตําหนักศักดิ์สิทธิ์โพล่งตะโกนขึ้น

 

พร้อมกันนี้ ออร่าทรงพลังของหลันเฉิน ผู้ซึ่งอยู่ขอบเขตวรยุทธ์ วิญญาณ พลันทะลักล้นพ้นออกจากตําหนักศักดิ์สิทธิ์!

 

“จ้าวตําหนักใหญ่อยู่ที่นี่แล้ว! ฉินหยุน เจ้าหนีไม่รอด!” ชายชรา ตะโกน

 

จ้าวฉวน หลันฮัวอวี้ และเซี่ยอู๋เฟิง ผู้ซึ่งอยู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋า ต่าง ินขึ้นฟ้าไล่ตามฉินหยุนไป

 

หากหลันเฉินจับตัวฉินหยุน พวกเขาจะต้องช่วยเหลือฉินหยุนให้จง ได้

 

ฉินหยุนสัมผัสได้ ถึงออร่าทรงอํานาจของหลันเฉิน เขาถึงขั้นตื่น ตระหนก


 


 


 


เขาทราบ ว่าผู้อาวุโสและจ้าวตําหนัก ใช้อุปกรณ์วิญญาณส่งสาร บอกต่อหลันเฉิน เพราะเหตุนั้นเขาจึงมาได้รวดเร็วเพียงนี้!

 

“ฉินหยุนมุ่งหน้าไปยังตําหนักตะวันออก!”

 

หญิงชรากล่าว นางคือจ้าวตําหนักตะวันออก ตอนนี้กําลังตามติดไป พร้อมฉ่วยอี้ฮวย

 

ทั้งสองหาได้คิดแทรกแซงเรื่องราวไม่ ที่คิดก็เพียงแต่รับชมเรื่องราว จากด้านข้าง

 

แต่ตอนนี้ ฉินหยุนกําลังบินมุ่งหน้าไปยังตําหนักตะวันออก

 

ฉ่วยอี้ฮวยเอ่ยถามด้วยความสงสัย เหตุใดฉินหยุนไปยังตําหนัก ตะวันออกของพวกเรา?”

 

ความเร็วของฉินหยุนเลิศลํ้า ผู้ฝึกตนเฒ่าชราหลายคนไม่อาจไล่ตาม เขาได้ทัน!

 

ขณะพวกเขาสับสน พลันได้เห็นภูเขาอยู่ตรงหน้า! ภูเขาที่สูงหนึ่งพันเมตรลูกนี้ เป็นภูเขาที่ตั้งอย่างตระหง่าน! หินของทั่วทั้งภูเขาล้วนเป็นสีเงิน ทําให้มันดูแปลกตาอย่างยิ่ง เมื่อพวกเขาได้เห็นภูเขาสีเงิน ผู้ฝึกตนขอบเขตวรยุทธ์เต๋าที่ไล่ตามมา

ต่างสูดอากาศเย็นเยือกเข้าไปโดยทันที!


 


 


 


ภูเขานี้ตั้งอยู่ที่ตําหนักตะวันออก เป็นสถานที่ซึ่งมีชื่อเสียงอย่างมาก ของตําหนักดวงดาววิญญาณสีคราม!

 

นั่นก็เพราะ ประตูจารึกตั้งอยู่ที่ภูเขาลูกนี้

 

“ฉินหยุน อย่าได้เข้าประตูจารึก!” หลันฮัวอวี้ตะโกน “เมื่อเจ้าเข้าไป จะไม่มีโอกาสได้ออกมาอีก!”

 

“น้องหยุน หยุด!” เซี่ยอู๋เฟิงเร่งร้อนตะโกนขณะเพิ่มความเร็วขึ้น

 

ชั่วขณะนี้เอง ผู้คนต่างได้เห็น ว่าเป้าหมายของฉินหยุนที่ตําหนัก ตะวันออก ก็คือการเข้าสู่ประตูจารึก!

 

ออร่าของหลันเฉินใกล้เข้ามา ความเร็วของเขาเลิศลํ้า เพียงพริบตา ก็ ผ่านร่างของหลันฮัวอวี้และคณะ ไล่ตามฉินหยุนไป

 

“จ้าวตําหนักใหญ่ ท่านต้องหยุดเขา!” หลันฮัวอวี้ตะโกนร้อนใจ

 

“ข้ารู้!” ได้ยินเสียงของหลันเฉิน เซี่ยอู๋เฟิงและหลันฮัวอวี้ค่อยวางใจ ปมาก

 

ฉินหยุนสัมผัสได้ ถึงออร่าของหลันเฉินที่ใกล้เข้ามา เขากัดฟันแน่น เขาผสานก้าวอัคคีเมฆาพร้อมก้าวดาราเร้นลับเข้าด้วยกัน!

 

ราวกับอุกกาบาตจากฟากฟ้า เขาทะยานเพิ่มความเร็วไปยังภูเขาสีเงิน ตรงหน้า!


 


 


 


ทันทีที่ฉินหยุนถึงชายเขา เขาเร่งร้อนพุ่งเข้าไปในภายถํ้าที่เปี่ยมด้วย ออร่าสีดําปกคลุม!

 

ขณะเขาเข้าไป หลันเฉินปลดปล่อยขุมพลังอํานาจรุนแรงปกคลุมถํ้า เขาคิดอยากลากเอาฉินหยุนออกมา กระนั้นก็สายเกินไป

 

หลันเฉินถอนหายใจ ตบหน้าผากตนเองอย่างอดไม่ได้ เขากระทืบ เท้ารุนแรง เป็นผลให้ทั้งตําหนักตะวันออกสั่นไหว

 

ไม่ช้า หลันฮัวอวี้ และจ้าวตําหนักทั้งสาม พร้อมกลุ่มผู้อาวุโสต่าง มาถึงตรงหน้าถํ้า

 

“จ้าวตําหนักใหญ่… ฉินหยุนเล่า?” หลันฮัวอวี้เร่งรีบเอ่ยถาม

 

“เขาเข้าไปแล้ว! เป็นเขาทุ่มสุดตัวเผ่นหนี ชั่วพริบตากลับเพิ่มความเร็ว อย่างมหาศาล!” หลันเฉินถอนหายใจ “น่าเสียดาย! น่าเสียดายนัก!”

 

“อาจารย์ ท่าน… ไม่ได้คิดลงโทษน้องหยุนหรือขอรับ?” เซี่ยอู๋เฟิง เร่งรีบเอ่ยถาม

 

สีหน้าของผู้อาวุโสตําหนักศักดิ์สิทธิ์ และจ้าวตําหนักทั้งสาม ถึงกับ แปรเปลี่ยนเมื่อได้ยิน

 

จ้าวตําหนักทิศใต้เร่งร้อนกล่าว “จ้าวตําหนักใหญ่ ฉินหยุนใช้เคล็ด วิชาปีศาจดูดกลืนวิญญาณ ทําการกลืนกินวิญญาณยุทธ์ของเชี่ยว หยางหลง สังหารเชี่ยวหยางหลง พร้อมทั้งจ้าวตําหนักหยาง!”


 


 


 


“ในการประลองยุทธ์เสี่ยงชีวิตระหว่างเชี่ยวหยางหลงและเขา การ ฆ่ากันถือเป็นเรื่องยอมรับได้ ฉินหยุนเพียงแยกวิญญาณยุทธ์ก่อน สังหารอีกฝ่าย ไม่ถือเป็นเรื่องอะไร!” คํากล่าวของหลันเฉิน ทําเอาผู้ ฝึกตนขอบเขตวรยุทธ์เต๋าไร้ซึ่งคํากล่าว

 

การแยกวิญญาณยุทธ์ออกมา ไม่ถือเป็นเรื่องอะไร! พวกเขาเหม่อลอย ราวกับเมื่อครู่ฟังอันใดผิดพลาด! “พวกเจ้าล้วนโง่เขลา!” หลันเฉินมองที่จ้าวฉวนและเอ่ยถาม “เจ้าเป็น

ถึงผู้อาวุโสใหญ่ของตําหนักจารึกเทวะที่นี่ เจ้าควรทราบว่าเรื่องราว เป็นอย่างไร หรือไม่ใช่?”

 

จ้าวฉวนพยักหน้ารับ “ในแดนยุทธ์อ้างว้าง การแยกวิญญาณออกมา และขัดเกลา เป็นเคล็ดวิชาที่แปลกออกไป ผู้ที่สามารถเข้าใจเคล็ด วิชานี้ จะถูกขนานนามเป็นผู้ขัดเกลาวิญญาณ! เปรียบดั่งอาจารย์แปร ธาตุและอาจารย์จารึก พวกเขาล้วนได้รับความเคารพอย่างสูงลํ้า!”


 


 


 


ตอนที่ 334 เส้นทางทดสอบ

 

นอกจากเซี่ยอู๋เฟิง บรรดาผู้ฝึกตนขอบเขตวรยุทธ์เต๋าที่เหลือซึ่งอยู่ ที่นี่ ล้วนเป็นผู้อาวุโสชราภาพ กระนั้นพวกเขากลับไม่เคยได้ยินเรื่อง เช่นนี้มาก่อน

 

ฉ่วยอี้ฮวยขมวดคิ้วกล่าว “จ้าวตําหนักใหญ่ เช่นนั้น… เรื่องนี้ หมายความว่าอย่างไร? เหตุใดพวกเราจึงไม่เคยได้ยิน?”

 

หลันเฉินถอนหายใจ “ผู้ขัดเกลาวิญญาณมีน้อยนัก กระทั่งใช้เวลา นับหลายสิบปียังหาผู้หนึ่งได้ยากยิ่ง ดังนั้นแล้ว เป็นปกติที่ข้าจะ ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้

 

“ฉินหยุนเชี่ยวชาญเคล็ดวิชาขัดเกลาวิญญาณ และยังเป็นอาจารย์ จารึก หากเขาแกะสลักผังจารึกที่วิญญาณยุทธ์ของตนเอง เขาจะขัด เกลามัน และวิวัฒนาการวิญญาณยุทธ์ มันจะยิ่งทําให้วิญญาณยุทธ์ แข็งแกร่งมากขึ้น!”

 

“น่าเสียดายนัก เขากลับเข้าไปยังสถานที่บัดซบนี่!”

 

ผู้คนล้วนมองปากทางเข้าถํ้าสีดํามืด ความรู้สึกแตกตื่นปรากฏในใจ พวกเขา

 

ตอนนี้พวกเขาเพิ่งได้ทราบ ว่าเคล็ดวิชาขัดเกลาวิญญาณ เป็นเคล็ด วิชาที่สูญหาย และยังเป็นวิชาที่ทําให้คนผู้หนึ่งแข็งแกร่งขึ้นได้!


 


 


 


“แต่ว่า… ฉินหยุนสังหารจ้าวตําหนักหยาง!” จ้าวตําหนักทิศใต้กล่าว “เรื่องนี้ถือเป็นอาชญากรรมร้ายแรง!”

 

“ข้าจะสืบสวนเรื่องนี้เอง! ในตําหนักตะวันตก ยังมีผู้อาวุโสอยู่อีก หลายคน! ข้าจะเรียกพวกมันมา ให้พวกมันคายอาชญากรรมที่จ้าว ตําหนักหยางก่อตลอดช่วงหลายปีมานี้!” หลันเฉินแค่นเสียง บินมุ่ง หน้าไปยังตําหนักตะวันตก

 

เซี่ยอู๋เฟิงมองที่ถํ้าและกล่าว ใครจะรู้ บางทีน้องหยุนอาจออกมาได้!”

 

“ฝันไปเถอะ! พวกเราตอนนี้เป็นแค่กองกําลังยุทธ์ระดับวิญญาณ รู้ ไหมเพราะอะไร? เพราะผู้อาวุโสขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณทั้งสองคน เข้าไป และไม่อาจออกมาได้!”

 

จ้าวตําหนักทิศเหนือแค่นเสียงเย็น ไม่ว่าฉินหยุนจะแข็งแกร่ง เพียงใด เขาจะแข็งแกร่งไปกว่าขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณหรือ?”

 

สีหน้าของเซี่ยอู๋เฟิงแปรเปลี่ยน เขาเพิ่งทราบตอนนี้เอง ว่าผู้ฝึกตน ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณสิ้นชีพที่ภายในนั้น!

 

ตอนนี้เขาจึงได้เข้าใจ ว่าเหตุใดหลันเฉินมั่นใจว่าฉินหยุนไม่อาจ ออกมา

 

“กลับกันก่อน ไปดูอาการของแม่นางหยาง!” หลันฮัวอวี้ถอนหายใจ บบ่าเซี่ยอู๋เฟิงก่อนจากไป


 


 


 


จ้าวฉวนเองก็เสียดายรุนแรง ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและฉินหยุน ถือว่าไม่แย่

สําหรับฉินหยุน เขาเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตวรยุทธ์เต๋าแล้ว ทั้งยังมี พรสวรรค์ทางวิถีจารึกสูงลํ้า ในภายหน้า เขาย่อมต้องมุ่งหน้าสู่แดน ยุทธ์อ้างว้าง สร้างชื่อเสียงลือไกลที่นั่น

แต่ตอนนี้ ฉินหยุนกลับเข้าไปในถํ้าตรงหน้า…

เมื่อเข้าไปแล้ว หมายความถึงเขาต้องผ่านบททดสอบอันลึกลํ้าและ ่าสะพรึงของประตูจารึก

ที่ลานกว้างตําหนักตะวันตก หลันเฉินเข้าตรวจสอบอาการบาดเจ็บ ของหยางฉีเย่ว์ เขาถอนหายใจ “แก่นเต๋าเสียหายหนัก คงยากที่จะฟื้น คืน”

ที่ยากยิ่งกว่าคือการฟื้นฟูวิญญาณยุทธ์ เพราะวิญญาณยุทธ์จันทรา ทองม่วงบาดเจ็บร้ายแรง มันฉีกขาดออกเป็นชิ้น เศษเสี้ยววิญญาณ ยุทธ์ส่วนใหญ่หลุดพ้นจากร่าง การจะฟื้นคืนให้กลับสู่สภาพเดิมเป็น เรื่องยาก

“จ้าวตําหนักใหญ่ ฉินหยุนอยู่ที่ใดกันขอรับ?” มู่หรงต้าเหรินเอ่ยถาม “เข้าประตูจารึกไปแล้ว!” หลันเฉินถอนหายใจ “เฟิงจิน พานางกลับ ไปพักก่อน! ข้าช่วยคงสภาพวิญญาณยุทธ์จันทราของนางเอาไว้แล้ว ที่เหลือคือให้ตัวนางค่อย ฟื้นฟูเรี่ยวแรงกลับมา!”


 


 


 


พอหยางฉีเย่ว์ได้ทราบ ว่าฉินหยุนเข้าสู่ประตูจารึก นางอึ้งไปวูบก่อน ความเจ็บปวดในหัวใจเข้าแทรกแซง นางอยู่ที่ตําหนักตะวันออกมา ก่อน ดังนั้นจึงทราบดี ว่าประตูจารึกมีความน่าสะพรึงเพียงใด!

 

มู่หรงต้าเหริน ฮั่วจง หลันเฟิงจิน และเสวี้ยซือเยี่ย พวกเขาต่างก็ ทราบถึงความน่ากลัวของประตูจารึก เมื่อพวกเขาได้รู้ว่าฉินหยุนเข้า ไป ความรู้สึกของพวกเขา มันคล้ายกับต้องแยกจากฉินหยุนไป ตลอดกาล!

 

มิตรสหายของฉินหยุน พลันเกิดความโศกขึ้นอย่างไม่อาจถ่วงรั้ง!

 

หลันเฉินมองกลุ่มผู้อาวุโสตําหนักตะวันตก กล่าวเสียงเย็นเยือก “มา กับข้า ไปที่หอคอยทัณฑ์สวรรค์!”

 

เมื่อบรรดาผู้อาวุโสได้ยินเช่นนี้ ร่างพวกเขาคล้ายไร้สิ้นเรี่ยวแรง พวกเขาหวาดกลัวยิ่ง กระนั้นก็ไร้ทางเลือก มีแต่ต้องตามไป

 

ผู้คนที่รวมตัวในงานเลี้ยงเริ่มกระจายตัวกันออกไป ระหว่างทาง กลับ ล้วนแต่สนทนาถึงเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ขาดปาก

 

ที่หน้าทางเข้าถํ้าประตูจารึก สามพี่น้องจรัสแสงล้วนยืนอยู่ พวกเขาขอติดตามฉินหยุน มักคาดหวังอยู่เสมอว่าฉินหยุนจะเข้าร่วม ตําหนักตะวันออก กระนั้น พวกเขาไม่เคยคาดคิด ว่าการมาถึง ตําหนักตะวันออกของเขาจะเป็นในรูปแบบนี้!


 


 


 


เสวี้ยซือเยี่ย มู่หรงต้าเหริน และฮั่วจงต่างก็อยู่ที่นี่ สายตาพวกเขาจับ จ้องไปยังถํ้าสีดําสนิท

 

“น้องหยุนแตกต่างจากผู้อื่น บางทีอาจออกมาได้?” ฮั่วจงกล่าว

 

“บางที!” มู่หรงต้าเหรินตอบ “สถานการณ์เช่นนี้ก็ไม่เลว ดีกว่าให้ พวกเราทราบว่าเขาตาย อย่างน้อยพวกเราก็ยังมีความหวังอยู่บ้าง”

 

“ผู้อาวุโสหลายคนเคยเข้าไปยังประตูจารึก พวกเขาล้วนอยู่ขอบเขต วรยุทธ์เต๋า ผ่านไปหลายสิบปี ไม่มีผู้ใดได้ออกมา!” พี่ใหญ่ของสาม พี่น้องกล่าวขึ้น

 

“ประตูจารึกของตําหนักตะวันออก เหตุใดจึงสร้างสถานที่ทดสอบ เช่นนี้ขึ้นมา? ความตายของศิษย์จํานวนมากจากตําหนักดวงดาว วิญญาณสีคราม ก็หมายถึงความเสื่อมถอยของตําหนักดวงดาว วิญญาณสีครามด้วยนี่!” มู่หรงต้าเหรินอดไม่ได้ที่จะสบถออก

 

ฮั่วจงกล่าว “พี่รอง กลับกันก่อน! น้องหยุนได้ก้าวสู่ขอบเขตวรยุทธ์ เต๋าแล้ว พวกเราเองก็ต้องแข็งแกร่งให้มากขึ้นกว่านี้!”

 

* * *

 

ฉินหยุนที่เพิ่งเข้าไปในถํ้าของประตูจารึก เขาร่วงหล่นสู่อาคม

สังหาร!


 


 


 


และอาคมสังหารนี้ เป็นสิ่งที่ทับซ้อนกันระหว่างอาคมนรกนํ้าแข็ง เสียดแทงกระดูก กับอาคมอัคคีแยกวิญญาณ มันคืออาคมสังหาร นํ้าแข็งอัคคี!

 

“อ๊าก!”

 

ฉินหยุนที่นอนในค่ายอาคม ส่งเสียงร้องออกเบา โชคดีที่เขาปลุก สายเลือดราชสีห์สวรรค์แล้ว จึงไม่หวั่นเกรงต่อพลังของนํ้าแข็งหรือ อัคคีเพลิง

 

แต่ที่ทําเขารู้สึกเจ็บปวด ก็เพราะมันมีพลังจิตพิเศษเข้าโจมตีวิญญาณ ของเขา

 

อาคมสังหารนี้ แตกต่างไปจากที่เคยเผชิญเมื่องานประลอง อาคมสังหารที่ใช้ในการแข่งขัน สามารถออกมาได้ทุกเมื่อ แต่ทางด้านอาคมสังหารในประตูจารึก ทันทีเมื่อมีคนเข้ามา คนผู้นั้น

จะติดอยู่ภายใน ต้องหาทางบุกฝ่าออกไปด้วยตัวเอง!

 

“ไม่แปลกใจเลยที่หลายคนไม่อาจออกไปได้ ผู้คนส่วนใหญ่มักจะ ตายตั้งแต่เข้ามา!” ฉินหยุนคิดกับตัวเองเช่นนี้ สภาพรอบด้านเป็นสี ดํามืด เขาไม่อาจมองเห็นหรือสัมผัสถึงสิ่งอื่นใดได้เลย

 

ที่เขาต้องทําตอนนี้ คือทะลวงออกจากค่ายอาคม!


 


 


 


“โมโม รู้วิธีฝ่าค่ายอาคมนี้ออกไปไหม?” ฉินหยุนเร่งรีบเอ่ยถาม หาก เขาต้องทําลายค่ายอาคมด้วยตัวเอง ย่อมต้องใช้เวลามาก

 

“ให้ข้าปลดปล่อยพลังจิตออกไปลองดู!” โมโมไม่อาจออกมา ไม่เช่นนั้น นางที่อ่อนแอ ยามโดนพลังของอาคมสังหารเข้า ชีวิตของนางจะตก ยู่ในอันตรายร้ายแรง

 

พลังจิตของโมโมค่อนข้างพิเศษ มันคล้ายคลึงกับจิตวิญญาณต้น กําเนิด ขณะแปรเปลี่ยนเป็นเส้นสายสีขาว มันเริ่มยืดขยายออกจาก ข่มุกเม็ดแรกของวิญญาณเทวะเก้าตะวัน

 

ฉินหยุนมองที่กระแสพลังจิตของโมโม พร้อมกันนี้ก็นึกถึงไข่มุก เม็ดที่สองของวิญญาณเทวะเก้าตะวัน

 

ก่อนหน้านี้ เขาไม่อาจเปิดใช้งานไข่มุกเม็ดที่สอง เพราะยังไม่ ข็งแกร่งเพียงพอ

 

แต่ตอนนี้เขาก้าวสู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋าแล้ว เขาสมควรเปิดไข่มุกเม็ด ที่สองได้!

 

“ไข่มุกเม็ดที่สองจะมีอะไรอยู่กันนะ?”

 

ตอนนี้วิญญาณของฉินหยุนตกอยู่ภายใต้การโจมตีของอาคมสังหาร พลังจิตของเขาได้รับผลกระทบรุนแรง เขาไม่อาจทดลองเปิดไข่มุก เม็ดที่สองตอนนี้ได้


 


 


 


โมโมใช้พลังจิตของนาง สํารวจตรวจสอบอาคมสังหารอยู่ครู่หนึ่ง กล่าวออกด้วยความเสียใจ “พี่หยุน ข้าไม่อาจหาพบ ถ้าข้าออกไปได้ ข้าจะทําการสํารวจมันได้ละเอียดกว่านี้! ท่านคิดให้ข้าออกไป ทดลองดูหรือไม่?”

 

“ย่อมไม่ เจ้าออกมามีแต่จะเป็นอันตราย!” ฉินหยุนครอบครอง สายเลือดราชสีห์สวรรค์ เขาไม่หวาดเกรงต่อพลังของนํ้าแข็งและ อัคคีเพลิงของค่ายอาคมสังหาร ทว่าวิญญาณของเขายังได้รับ ผลกระทบ

 

“ข้าสามารถทนได้!” แม้โมโมดูบอบบาง กระนั้นนางหาได้หวั่นเกรง ไม่ นางพร้อมจะทําทุกหนทางเพื่อช่วยเหลือฉินหยุน

 

ตอนนี้เอง ฉินหยุนพลันนึกถึงเสื้อคลุมลึกลํ้าวิญญาณสีคราม เขานํา มันออกมา ทดลองสวมใส่เข้าที่กาย พบว่าสามารถต้านทานการ โจมตีพลังจิตของค่ายอาคมสังหารไว้ได้

 

เขาเร่งร้อนหยดเลือด เป็นการทําให้เสื้อคลุมลึกลํ้าวิญญาณสีคราม ยอมรับเขาเป็นเจ้านาย ด้วยวิธีการนี้ จะยิ่งทําให้มันสามารถ ปลดปล่อยพลังป้องกันอันแข็งแกร่งออกมาได้มากขึ้น

 

ไม่นานนัก ฉินหยุน ผู้สวมใส่เสื้อคลุมลึกลํ้าวิญญาณสีคราม พลัน เผยรอยยิ้มออก ความเจ็บปวดที่หัวของเขาเลือนหายหมดสิ้นแล้ว


 


 


 


เขาปล่อยให้โมโมออกมาโดยอยู่ในตัวเสื้อ ด้วยวิธีการนี้ นางจะ ามารถตรวจสอบอาคมสังหารได้ง่ายดายขึ้น

 

สําหรับฉินหยุน เขารวบรวมพลังจิต คิดเปิดไข่มุกเม็ดที่สองของ ิญญาณเทวะเก้าตะวัน

 

ในอดีต พลังจิตของเขามักจะถูกไข่มุกเม็ดที่สองขัดขวางเอาไว้

 

ตอนนี้ ในที่สุดเขาค่อยมีโอกาสเหยียบย่างเข้าไป

 

ผ่านทางพลังจิต เขาจึงได้เห็นค่ายอาคมอยู่ภายในไข่มุกเม็ดที่สอง! “สารเลวนัก มันถูกขัดขวางเอาไว้! เราต้องทําลายค่ายอาคมนี่ด้วย!” เมื่อฉินหยุนพบว่าค่ายอาคมขัดขวางพลังจิตของเขาเอาไว้ เขาจึงสบถ

ออกเสียงเบา

 

ตอนนี้เขาเริ่มพิจารณาสํารวจค่ายอาคม พบว่ามันไม่ใช่เรื่องยาก ทําลายลง แต่กระนั้นก็ต้องใช้เวลา

 

ตอนนี้เขาตกอยู่ภายใต้ค่ายอาคมสังหาร จึงไม่อาจสงสบใจทําลาย ค่ายอาคมภายในไข่มุก ดังนั้นต้องรอจนกว่าจะปลอดภัยเสียก่อน

 

พอฉินหยุนคิดว่าตนสามารถเปิดไข่มุกเม็ดที่สองได้แล้ว เขาลอบ ยินดีขึ้นมา เขากําลังคาดหวัง คิดอยากเปิดมันออกอย่างสมบูรณ์ ดยเร็วที่สุด


 


 


 


โมโมพลันกล่าวขึ้น “ได้แล้ว ข้าขัดขวางผังจารึกที่เป็นส่วนสําคัญ ของอาคมสังหารไว้ชั่วคราวแล้ว!”

 

ฉินหยุนสัมผัสได้ ว่าพลังที่ค่ายอาคมสังหารปลดปล่อยออกเริ่มอ่อน แรง เขาจึงเก็บโมโมเข้าไปในไข่มุกเม็ดแรก!

 

พร้อมกันนี้ เขานําเอาไข่มุกส่องสว่างออกมา สาดแสงทั่วบริเวณ ตรงหน้า ก้าวเดินออกจากค่ายอาคมสังหาร

 

ภายในถํ้าเป็นเส้นทางเดินสี่เหลี่ยม กว้างและสูงราวสี่ถึงห้าเมตร มี อยแกะสลักบนผนังถํ้าจํานวนมาก

 

“สถานที่อะไรกันนี่!”

 

ินหยุนได้เห็นเส้นทางซึ่งแกะสลักผังจารึกแปลกประหลาดนานา

ชนิด เขาลอบตื่นตระหนก พวกมันเป็นค่ายอาคมที่ซับซ้อนอย่างยิ่ง

 

ที่ทําเขาสงสัยที่สุด คือพื้นซึ่งสมควรมีซากศพจํานวนมาก กระนั้น กลับสะอาด ราวกับมีคนคอยทําความสะอาดมันอยู่เสมอ

 

พอคิดเช่นนี้ ฉินหยุนอดไม่ได้จนรู้สึกขนลุกขึ้นมา!

 

เขายิ่งมายิ่งระแวดระวัง สํารวจโดยรอบ ไม่ช้าจึงพบค่ายอาคมอยู่ ตรงหน้า กระนั้นเขาไม่อาจนึกออกได้ว่านี่เป็นค่ายอาคมอันใด


 


 


 


เขาไม่คิดอยากทราบว่าอาคมนี้คืออะไร เพราะเมื่อปลดปล่อยโมโม ออก นางทําการเข้าขัดขวางผังจารึกของค่ายอาคมโดยชั่วคราว ทําให้ ค่ายอาคมสูญเสียความสามารถ

 

หลังจากผ่านถํ้ามาระยะหนึ่ง เส้นทางเดินจากสี่เหลี่ยมแปรเปลี่ยน เป็นทางโค้งชัน วนรอบทางเข้าขึ้นไป!

 

ระหว่างทาง มีอาคมหลายประเภท กระนั้นพวกมันก็ถูกโมโมทําลาย ไปทีละอาคม

 

ฉินหยุนยังคงมีไข่ผลึกแก้วมังกรอสูรอยู่จํานวนหนึ่ง เพียงฟองหนึ่ง ็พอให้โมโมได้ฟื้นฟูกําลังแล้ว

 

เดินอยู่ครึ่งค่อนวัน ในที่สุดเขาก็มาถึงสถานที่ซึ่งปราศจากค่ายอาคม

 

“โมโม เจ้ากลับเข้าไปก่อน ข้ากังวลว่าด้านหน้าอาจมีกับดัก!” ฉิน หยุนเก็บโมโมใส่มิติเก็บของ ก้าวเดินออกไปด้านหน้าด้วยความ ระแวดระวัง

 

ผนังของที่นี่สะอาดสะอ้าน ไม่มีผังจารึกใดแกะสลักเอาไว้ เพราะ เหตุนี้ฉินหยุนจึงกังวลว่ามันอาจมีกับดักคงอยู่

 

ฉินหยุนปลดปล่อยราชันราชสีห์วิญญาณ ให้หุ่นเชิดราชสีห์นําทาง ไป หากมีกับดักจริง เช่นนั้นหุ่นเชิดต้องโดนก่อน


 


 


 


ตลอดเส้นทางยาว ตามผนังหาได้มีผังจารึกประหลาดใดคงอยู่ไม่

 

แม้ฉินหยุนอยู่ในทางเดิน เขาก็ทราบว่านี่เป็นเส้นทางในภูเขา เป็น เส้นทางที่วนรอบภายในเอาไว้

 

ด้วยก้าวเดินเชื่องช้าลง เขาหยุดลงและคิดพักผ่อน ผ่านไปราววัน หนึ่งแล้ว กระนั้นที่นี่กลับไม่มีกับดักใด การเดินทางถึงกับปลอดภัย อย่างที่คาดไม่ถึง!

 

ที่ฉินหยุนไม่ทราบ คือด่านทดสอบที่เขาผ่านมา พวกมันคือผังจารึก ึกลับที่น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง

 

อาคมสังหารระดับลึกลํ้าจํานวนมากคงอยู่ กระนั้นด้วยเพราะโมโม จึงทําให้เขาผ่านมาได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องเผชิญหน้ากับอาคมสังหาร ใดจนกระทั่งถึงตอนนี้


 


 


 


ตอนที่ 335 เส้นทางดวงดาว

 

ภายหลังการเดินผ่านเส้นทางปลอดภัยจนถึงปลายทาง ฉินหยุนโดน วางเอาไว้ด้วยม่านแสงสีทอง

 

เขามองที่สัญลักษณ์ตรงด้านข้าง บนนั้น มันมีอักษรขนาดใหญ่คงอยู่ ‘เส้นทางแปรสภาพกระดูก

 

“แปรสภาพกระดูก?”

 

ฉินหยุนมองที่ม่านแสงตรงหน้า พร้อมสูดลมหายใจเข้าลึก!

 

อย่างชัดเจน การผ่านม่านแสงตรงหน้าไป คือการเข้าสู่เส้นทางแปร สภาพกระดูก

 

ที่ขอบเขตกายวรยุทธ์ วัชระกระดูกถือเป็นสิ่งสําคัญ และเส้นทางแปรสภาพกระดูกนี้ ชัดเจนว่ามีเป้าหมายที่วัชระกระดูก! ฉินหยุนไม่คิดกล้าเข้าไป เพราะเขาไม่ทราบว่าเส้นทางนี้มีเบื้องลึก

เบื้องหลังน่าสะพรึงใดซุกซ่อนเอาไว้

 

“ต้องตรวจสอบมันให้ดี!”

 

เขาไม่อาจเข้าไป พลังจิตก็ไม่อาจผ่าน ดังนั้นจึงไม่ทราบว่าควร รวจสอบมันอย่างไรดี


 


 


 


ผ่านการครุ่นคิดไปพักหนึ่ง เขานําเอาไข่มุกจํานวนหนึ่งออกมา เริ่ม กะสลักผังวิญญาณบนเม็ดไข่มุก

 

เขาคิดอยากขัดเกลาดวงตาขึ้น

 

หลังจากไข่มุกถูกขัดเกลาแล้ว เขานําเอาเส้นเอ็นสัตว์อสูรระดับ วิญญาณ เริ่มทําการหลอมพวกมันเข้าด้วยกัน หลังผ่านกระบวนการ เรียบร้อย พวกมันจึงบางอย่างยิ่ง ทว่าก็เชื่อมต่อกับไข่มุกเรียบร้อย

 

เขาโยนไข่มุกผ่านม่านแสง ด้วยเส้นเอ็นสัตว์ที่เชื่อมต่ออยู่กับไข่มุก มันทําให้เขาสามารถเชื่อมต่อพลังจิตกับไข่มุกได้

 

ด้วยวิธีนี้ จะทําให้เขาได้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นภายในผ่านทางไข่มุก หลังจากไข่มุกเข้าไปในม่านแสงสีทอง มันเริ่มลอยขึ้น ผ่านทางไข่มุก เขาได้เห็นนํ้าสีทองอ่อนจางจํานวนมากเบื้องหลัง

ม่านแสง เพราะเหตุนี้ไข่มุกที่เบาจึงลอยขึ้น! เบื้องหลังม่านแสงสีทอง แท้จริงเป็นมวลนํ้า! หรือก็คือ มันเป็นเส้นทางนํ้า!

หลังจากนั้น เขาจึงโยนต้นขาของสัตว์อสูรระดับวิญญาณผ่านม่าน แสงเข้าไป


 


 


 


ทันทีเมื่อต้นขาเข้าสู่ภายใน กระดูกของมันเริ่มหลอมละลาย กระนั้น เลือดเนื้อกลับยังมีสภาพดีอยู่!

 

“ของเหลวนี้ประหลาดนัก มันหลอมเหลวเพียงแต่กระดูก!”

 

ฉินหยุนถึงกับสูดลมหายใจเย็นเข้าปอด กระดูกสัตว์อสูรระดับวิญญาณ ถือได้ว่าแข็งแกร่ง กระนั้นพวกมันกลับสลายตัวอย่างง่ายดาย เส้นทาง แปรสภาพกระดูกนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว!

 

หากเขาบุ่มบ่ามเข้าไป วัชระกระดูกในร่างกายคงถูกหลอมละลาย

 

พอคิดดังนี้ ก็ทําเอาเขาขนหัวลุก!

 

ขณะนั่งกับพื้นและคิ้วขมวด เขากําลังคิดหาความเป็นไปได้

 

ฉินหยุนคิดได้หลายทาง กระนั้นกลับไม่มีใดในพวกมันที่น่าจะทํา ได้จริง

 

ยกตัวอย่าง เขาสามารถขัดเกลาเปลือกนอกที่แข็งแกร่งคุ้มกันเอาไว้ รือไม่ก็ขัดเกลาเสื้อผ้าที่ป้องกันของเหลว

 

“ใช่แล้ว ยังมียันต์วิญญาณไล่นํ้า!”

 

ฉับพลันเขานึกขึ้นมาได้ ครั้งลงไปในบ่อนํ้ามันก่อนหน้านี้ ยันต์ไล่ ํ้าถือว่ามีประโยชน์อย่างยิ่ง


 


 


 


มันทําให้เขาสามารถหลบเลี่ยงการสัมผัสถูกนํ้ามันสัตว์ ดําดิ่งสู่ส่วน ลึกของบ่อนํ้ามันสัตว์ได้

 

ฉินหยุนขว้างยันต์ไล่นํ้าออก ผ่านม่านแสงสีทองเข้าสู่ภายใน

 

หลังยันต์ไล่นํ้าเข้าไปภายในแล้ว จึงไม่มีของเหลวใดลอยอยู่ในรัศมี สองถึงสามเมตรจากตัวยันต์กระดูก!

 

“ได้ผล!” ฉินหยุนลอบยินดี จากนั้นเขาจึงเริ่มขัดเกลาอุปกรณ์ที่ เอาไว้ใช้หลบเลี่ยงนํ้า

 

แน่นอนว่า เขาไม่คิดขัดเกลายันต์ที่ง่ายดาย

 

เขาต้องการขัดเกลาชุดเสื้อผ้าด้วยหนังสัตว์อสูรระดับวิญญาณ พร้อม กันนี้ ยังต้องวางชุดผังวิญญาณไล่นํ้าหลายชุดเอาไว้บนตัวพวกมัน

 

“ดี เพื่อให้ปลอดภัยที่สุด เราต้องขัดเกลาขึ้นเป็นอุปกรณ์วิญญาณชั้น เลิศ!”

 

ฉินหยุนนําเอาแผ่นหนังสัตว์ วัสดุนานาชนิด และเริ่มทําการหลอม อยู่ในเส้นทางเดินแห่งนี้

 

เขาใช้เวลาตลอดทั้งวัน จึงค่อยขัดเกลาชุดเสื้อผ้าขึ้นมาได้สําเร็จ เสื้อผ้าเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นอุปกรณ์วิญญาณชั้นเลิศ เขาได้แกะสลักผัง ิญญาณไล่นํ้าจํานวนหลายชุดเอาไว้บนตัวเสื้อผ้า


 


 


 


“หวังว่าจะได้ผลนะ!”

 

ขณะสูดลมหายใจเข้าลึก เขาเปิดการทํางานของผังวิญญาณไล่นํ้าบน ชุดเสื้อผ้า พร้อมกันนี้จึงพุ่งกายผ่านม่านแสงสีทองเข้าไป

 

ทันทีที่เข้ามา ของเหลวรอบด้านจึงถูกผลักออก!

 

“ด้วยพลังของสามแก่นเต๋า คิดว่าน่าจะคงสภาพของอุปกรณ์ชุดนี้ได้ หลายวัน เส้นทางแปรสภาพกระดูกนี้ อย่างน้อยก็คงไม่มีทางใช้เวลา หลายวันกว่าจะถึงปลายทางอย่างแน่นอน!”

 

ฉินหยุนเคลื่อนกายผ่านเส้นทางแปรสภาพกระดูก ว่ายนํ้าไปอย่าง รวดเร็ว

 

ตราบเท่าที่เขาขึ้นถึงด้านบนยอดเขา เท่ากับว่าเขาผ่านการทดสอบ ของประตูจารึก และจะได้เป็นศิษย์ของสํานักจารึก!

 

สํานักจารึกไม่มีศิษย์ในแม้สักคน ตราบเท่าที่มีผู้ใดผ่านการทดสอบ บุคคลนั้นจะเป็นจ้าวสํานัก!

 

“หัวหน้าศิษย์นับเป็นอะไร? ช่างเล็กจ้อยนัก ได้เป็นจ้าวสํานักจารึก ถึงจะดูอลังการกว่า!”

 

ฉินหยุนรู้สึก ว่าตอนนี้ตนอยู่ไม่ไกลจากตําแหน่งจ้าวสํานัก เขาถึง ั้นลอบคาดการณ์ด้วยซํ้าว่าต้องได้เป็น


 


 


 


เส้นทางนํ้าแห่งนี้ค่อนข้างยาว เขาต้องใช้เวลาทั้งสิ้นสามวันกว่าจะ ว่ายนํ้าผ่านออกมาได้

 

ระหว่างทาง เขาหาได้พบเจอศพใดไม่ จนอดไม่ได้ที่จะสงสัย ว่าศพ ที่สมควรมีอยู่ถูกดูดกลืนกลายเป็นพลังงานไปหมดแล้วหรือไร

 

ฉินหยุนออกจากม่านแสงสีทอง จบสิ้นการทดสอบเส้นทางแปร สภาพกระดูก ตอนนี้ที่เขาเผชิญหน้า คือเส้นทางสีดําสนิท!

 

ความมืดมิดเช่นนี้ มันถึงขนาดที่ไม่อาจใช้แสงส่องสว่าง!

 

ฉินหยุนนําเอาไข่มุกส่องแสงออกมา เมื่อแสงปะทะกับผนังกําแพง มันถูกความมืดเข้ากลืนกิน

 

เขาแตกตื่นไปวูบ กระนั้นพร้อมกันนี้ เขาก็ได้มองไปยังผนังกําแพงสี ดํารอบด้าน เขาได้เห็นจุดแสงอ่อนจางอยู่จํานวนหนึ่ง!

 

“นี่จะต้องเป็นผังจารึก!”

 

ฉินหยุนไม่อาจเห็นผังจารึก ทั้งยังไม่อาจสัมผัสถึงพลังงานใดที่เข้า โจมตี

 

เขาปล่อยโมโมออกมา พยายามให้นางช่วยสัมผัสถึงผังจารึกอัน ลึกลับนี้


 


 


 


โมโมพิจารณาสํารวจอยู่พักหนึ่ง ทว่าก็ไม่อาจสัมผัสถึงความผันแปร ของผังจารึกลึกลับนี้ได้

 

“เราต้องขึ้นไปให้สูงกว่านี้ นี่น่าจะใกล้ถึงยอดเขาแล้ว!”

 

ฉินหยุนคาดเดา ว่าเส้นทางมืดมิดแห่งนี้ สมควรเป็นการทดสอบด่าน สุดท้าย

 

หลังพักผ่อนชั่วครู่ เขาค่อยรวบรวมความกล้าก้าวเดินออกไป

 

ผ่านไปพักหนึ่ง เขาค่อยประหลาดใจ ที่พบว่าจุดแสงอ่อนจางเหล่านั้น แท้จริงเป็นดวงดาว!

 

ยิ่งเขาเดินเข้าไปใกล้มากเพียงใด ดวงดาวก็ยิ่งส่องแสงมากขึ้นเท่านั้น! เพียงไม่นาน เขาจึงรู้สึกได้ ว่าเขาเคยเห็นอะไรที่คล้ายกันนี้มาก่อน! มันทําเขานึกย้อนในความทรงจํา ถึงค่ายอาคมใหญ่ที่ยอดเขาชี้นํา

ิญญาณดวงดาว

 

ย้อนกลับไป ตอนที่เขาเข้าสู่ค่ายอาคมใหญ่แห่งนั้น เขาได้ประสบการณ์ ารท่องไปในทะเลมวลหมู่ดาวที่ชวนสะพรึง

 

ท่ามกลางทะเลหมู่ดาวกว้างใหญ่ มีดวงดาวขนาดใหญ่เกินใดเทียบ เปรียบนับไม่ถ้วน เป็นผลให้ความรู้สึกเล็กจ้อยและหวาดกลัวยิ่งสุม


 


 


 


หนา ยามเมื่อรับรู้ถึงความกว้างใหญ่ของทะเลดวงดาว มันทําให้ผู้รับ ู้กลับกลายเป็นประสบพบเจอกับความไร้ซึ่งพลัง

 

ขณะฉินหยุนเดินตามเส้นทางไป สัมผัสถึงความกลัวของเขายิ่งมายิ่ง เด่นชัด จนอดไม่ได้ที่จะหลั่งเหงื่อออก

 

“สงบใจเข้าไว้!”

 

เขาเร่งท่องบทร่ายของวิถีหัวใจตะวันดารา เพื่อคงสภาพจิตใจ ปกป้อง นเองจากการหลงทางท่ามกลางทะเลดวงดาว

 

เขาท่องบทร่ายไม่หยุด ความกลัวในหัวใจเขาค่อยสงบลง

 

ฉินหยุนก้าวเดินตามเส้นทางไป เขาค่อยเข้าใจว่าเหตุใดไม่มีผู้ใด สามารถผ่านการทดสอบ และเหตุใดพวกเขาไม่อาจออกไปได้!

 

อย่างแรก ที่ด่านทดสอบแรกนั้น มันเต็มไปด้วยค่ายอาคมสังหารอัน แกร่งกล้านานาชนิด ต้องอาศัยผู้ที่มีความรู้ทางอาคมแกร่งกล้า ค่อย ําลายพวกมันผ่านไปทีละหนึ่งอาคม

 

ด่านที่สอง เส้นทางแปรสภาพกระดูก มันเปี่ยมไปด้วยของเหลวที่ พร้อมจะละลายกระดูก

 

หากไม่เตรียมการให้ดี หากไม่สํารวจก่อนลงมือทําอะไร กระทั่งว่า อยู่ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณ กระดูกในร่างกายของพวกเขาย่อมต้อง ถูกหลอมเหลว


 


 


 


และในด่านที่สาม คนผู้หนึ่งจําเป็นต้องมีความรู้และเข้าใจวิญญาณ อย่างลึกลํ้า

ฉินหยุนพบว่า มีแต่ผู้ที่ฝึกฝนวิถีหัวใจตะวันดารา จึงสามารถอยู่เหนือ ความกลัวและผ่านด่านที่สาม “เส้นทางดวงดาวข่มขวัญ” ไปได้

 

ทั้งนี้ ยังเป็นเพราะเขาสามารถเข้าใจถึงความกว้างใหญ่ของทะเล ดวงดาวมาก่อน ไม่เช่นนั้นแล้ว เขาคงไม่มีทางผ่านการเดินทางครั้งนี้ อย่างไหลลื่นเป็นแน่

 

ผ่านไปหลายวัน ฉินหยุนยังคงเดินอยู่ในเส้นทางดวงดาวข่มขวัญ ความเร็วของเขายิ่งมายิ่งเพิ่มมากขึ้น

“เส้นทางสายนี้ยาวไกลนัก!” ฉินหยุนสํารวจมองโมโมภายในมิติเก็บของและเอ่ยถาม โมโม ตั้งแต่ข้าเข้าสู่เส้นทางดวงดาว ผ่านมากี่วันแล้ว?”

“ห้าวัน ว่าอะไร? พี่หยุนยังออกมาไม่ได้อีกหรือ?” โมโมเอ่ยถาม

 

ฉินหยุนรู้สึกเหมือนผ่านไปไม่นาน เขาไม่คิดเลยว่าเวลาจะผ่านไป แล้วถึงห้าวัน

 

“ใช่! โชคดีนักที่แค่เดินตามเส้นทางไป ไม่มีอันใดให้หลง”

 

ตามที่เขาคาดคิด ระยะทางที่เขาเดินผ่านมานี้ สมควรใกล้ถึงยอดเขา เต็มทีแล้ว


 


 


 


เส้นทางดวงดาวข่มขวัญหาได้มีอันตรายใดไม่ ความเร็วที่ใช้เดินจึง ยิ่งมายิ่งรวดเร็ว ดังนั้นอีกไม่นานเขาสมควรไปถึง

 

กระนั้นตอนนี้ปลายทางยังไม่อาจพบเห็น เขาได้แต่ก้าวเดินต่อไป ผ่านไปหลายวัน ฉินหยุนก็ยังคงอยู่ในเส้นทาง!

เขาเริ่มแตกตื่น เพราะเขาไม่ทราบว่าตนจะไปถึงปลายทางได้หรือไม่!

 

ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา เขาทั้งเดินสลับวิ่ง พักผ่อนเพียงชั่วระยะเวลา น้อยนิด

 

ลําพังเพียงภูเขาสีเงินที่เข้ามา ต่อให้จะมีอีกหลายสิบลูก เขาก็สมควร ีนป่ายถึงยอดเขาได้แล้ว

 

แต่ตอนนี้ เขายังติดอยู่ภายในถํ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ่านไปอีกหลายวัน

ฉินหยุนนั่งกับพื้น พักผ่อนชั่วระยะเวลาหนึ่ง จากนั้นค่อยยืนขึ้นและ ก้าวเดินต่อไป

 

เขาเข้าใจว่าเหตุใดหลันเฉิน ผู้ซึ่งอยู่ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณ จึงไม่ ไล่ตามเขาเข้ามา

 

กระทั่งเป็นผู้อยู่ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณ ก็ไม่ใช่ว่าจะสามารถรอด ้นออกไปอย่างมีชีวิตรอด


 


 


 


“ถํ้าที่เต็มไปด้วยค่ายอาคมสังหารไม่ถือว่ายาก เส้นทางแปรสภาพ กระดูกก็ไม่ได้หลอมเหลวเรา เส้นทางดวงดาวข่มขวัญก็ไม่ได้ข่ม ขวัญเราแต่อย่างใด แต่มันทําเอาเราเบื่อจนแทบตายตก!”

 

ฉินหยุนเริ่มออกวิ่งไปตามเส้นทาง เขาแทบจะเป็นบ้าอยู่รอมร่อ ทั้ง วิ่งและเดินมาหลายสิบวัน ยังไม่คล้ายจะพบเห็นปลายทาง!

 

เป็นเขาสงสัย ว่าเส้นทางนี้สมควรมีผังมิติระดับลึกลํ้าคงอยู่ มันจึงยืด ยาวออกไปนานถึงเพียงนี้

 

เวลาผันผ่าน เพียงพริบตา ฉินหยุนใช้เวลาถึงครึ่งปี วิ่งอยู่บนเส้นทาง ดวงดาวแห่งนี้ไม่ต่างอะไรกับคนบ้า!

 

ขาแทบหลั่งนํ้าตาออก

 

ทันใดนั้นเอง เขาได้พบเห็นประตูทองแดงปรากฏเบื้องหน้า เป็นเขา ยินดีจนถึงกับร้องไห้ออกมาจริง !

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า… ในที่สุดเราก็ถึงปลายทาง!” ฉินหยุนอดไม่ได้ ที่จะสะกด ความตื่นเต้นยินดีในหัวใจเอาไว้ จนหัวเราะดังลั่นออกมา

 

แม้เขายินดี เขาก็หาได้หย่อนความระวังลงไม่ ขณะเดินเข้าไปใกล้ ประตู เขายังคงระวังทุกฝีก้าว

 

“ราชันราชสีห์วิญญาณ ต้องขออภัยแล้ว รบกวนเจ้าอีกครั้งนะ!”


 


 


 


ฉินหยุนปลดปล่อยหุ่นเชิดราชสีห์ออกมา พร้อมกันนี้จึงเดินเข้าไป กล้ประตูทองแดง

 

เขายิ่งมายิ่งระแวดระวัง เขาต้องผ่านความยากลําบากไปมากกว่าจะ มาถึงตรงนี้ ดังนั้นเขาจะต้องไม่ตายอยู่ที่ส่วนสุดท้ายแห่งนี้!

 

ราชันราชสีห์วิญญาณเพียงส่งเสียง ทําการสัมผัสกับประตูทองแดง อยู่หลายครั้ง เขาพบว่าไม่มีการตอบสนองใดกลับมา

 

เดิมเขาคิดใช้ราชันราชสีห์วิญญาณเปิดประตูให้ แต่ก็พบว่าไม่อาจทํา ได้

 

ฉินหยุนเก็บหุ่นเชิดราชสีห์ ทําการตรวจสอบชุดผังธาตุแสงของ ตนเอง ชุดไล่นํ้า และชุดวิญญาณสีคราม

 

เขาสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันถึงสามชั้น ทําเอาเขาดูอ้วนท้วนขึ้นไม่ใช่ น้อย

 

หลังยืนยันได้แล้วว่าไม่มีปัญหาใด เขาก้าวเดินออก มือทั้งสองสัมผัส กับบานประตู ค่อย ผลักเปิดมันออกด้วยแรงเล็กน้อย

 

ประตูเริ่มเปิดออกทีละน้อย แสงสว่างสีขาวเจิดจ้าปรากฏผ่านรอย แยกประตู มันสาดส่องเส้นทางดวงดาวอันมืดมิดเบื้องหลัง

 

ประตูทองแดงเปิดออก ฉินหยุนก้าวเดินเข้าไป ภายในคือห้องโถง!


 


 


 


ด้วยสภาพเรียบง่าย มันเป็นห้องโถงวงกลม ขนาดไม่ได้ใหญ่โต อะไรมาก ประมาณยี่สิบเมตรเท่านั้น

เมื่อมองขึ้นไป เขาพบว่ามีป้ายชื่อเขียนคํา “ประตูจารึก” เอาไว้

 

“นี่คือโถงหน้าของประตูจารึกงั้นหรือ? ไม่โทรมไปหน่อยหรือไร?” ฉินหยุนเม้มริมฝีปาก

 

ในห้องโถงกลมแห่งนี้ มีเก้าอี้กว่ายี่สิบตัวชิดอยู่กับผนังกําแพง เก้าอี้ ตัวที่อยู่หน้าห้องโถงถือว่าใหญ่ที่สุด ตรงนั้นน่าจะเป็นเก้าอี้ของจ้าว สํานัก

 

ตลอดทางที่ผ่านมา ฉินหยุนพบเจอสารพัดกับดักนานาชนิดในด่าน ทดสอบประตูจารึก ดังนั้นแล้ว เขายังคงระแวดระวังขณะเดินเข้าไป เมื่อเดินเข้ามาแล้ว เขาเริ่มพิจารณามองอีกครั้ง ฝีเท้ายังคงก้าวเดินมุ่ง

ไปอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งเก้าอี้ตัวใหญ่ที่สุดปรากฏตรงหน้าของเขา “เท่านี้ถือว่าเราผ่านการทดสอบแล้วงั้นหรือ?” ฉินหยุนพินิจเก้าอี้ก่อนนั่ง หัวใจเต้นรุนแรงจนแทบออกมานอก หน้าอก เขาหันมองรอบ

ที่พบ ประตูจารึกแห่งนี้มีห้องเพียงหนึ่ง หาได้มีห้องลับใดอยู่ไม่

 

ฉับพลันนี้เอง โต๊ะหินวงกลมค่อยเคลื่อนขึ้นจากตรงกลางของห้อง โถง บนโต๊ะหินดังกล่าว มีกล่องหนึ่งตั้งเอาไว้!


 


 


 


พอฉินหยุนได้เห็นกล่องนี้ เขาเริ่มตื่นเต้นขึ้นมา เขาก้าวเดินออกไป มือเอื้อมออกไปเปิดกล่อง

 

ภายในกล่อง เป็นจี้ห้อยคอหยกสีขาว รูปทรงคล้ายนํ้าวน นอกจากจี้ห้อยคอหยกแล้ว ยังมีสมุดหนังสัตว์เล่มบางอยู่สองเล่ม หนึ่งเขียนเอาไว้ “อักขระดวงดาว” ขณะที่อีกหนึ่งเขียน “อักขระ

จันทรา


 


 


 


ตอนที่ 336 ตําหนักดวงดาววิญญาณสีม่วง

 

ฉินหยุนเดิมคิด ว่าน่าจะมียันต์วิญญาณ และผังจารึกใดที่สืบทอดแต่ เฉพาะประตูจารึก

 

ที่เขาไม่คาดคิดก็คือ มันกลับกลายเป็นสิ่งพิเศษอย่างยิ่ง อย่างอักขระ ดวงดาว และอักขระจันทรา!

 

เขาเร่งรีบเปิดสมุดทั้งสองเล่ม พลิกหน้าแล้วหน้าเล่า เขาได้พบ ว่าผัง จารึกด้านในซับซ้อนอย่างยิ่ง แต่ละหน้าทั้งหนาแน่นและยุ่งเหยิง มัน ไร้ซึ่งรูปแบบอย่างสิ้นเชิง

 

“สิ่งนี้ไม่ใช่อะไรที่จะเข้าใจได้ในระยะเวลาอันสั้น มันยากเกินไป!”

 

ฉินหยุนเพียงได้เห็นถึงกับปวดหัว เมื่อพลิกถึงหน้าสุดท้าย เขาจึงได้ พบแผ่นกระดาษแข็ง

 

มีประโยคหนึ่งเขียนเอาไว้ “ผู้ที่ไม่อาจผ่านด่านขัดเกลาที่สาม จะ ไม่ได้รับอนุญาตให้เรียนรู้อักขระดวงดาวและจันทรา

 

ฉินหยุนไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงเขียนเช่นนี้ ประตูจารึกยิ่งมายิ่งลึกลับ กว่าที่เขาคาดคิด พวกเขาครอบครองอักขระดวงดาวและจันทราที่ แข็งแกร่ง กระนั้นกลับไม่ส่งต่อไปยังศิษย์ของตําหนักดวงดาว ิญญาณสีคราม


 


 


 


เช่นกัน การต้องผ่านทั้งสามด่านที่น่าสะพรึงเหล่านั้น มันทําให้อัจฉริยะ หลายต่อหลายคนต้องเสียชีวิต

 

“สงสัยนัก ว่าประตูจารึกแท้จริงมีความลับอื่นใดซุกซ่อนอยู่อีก!” ฉิน หยุนมองจี้ห้อยคอหยกสีขาว ราวกับมันแทรกซึมสู่จิตใจของเขา วามรู้สึกแปลกประหลาดเริ่มปรากฏ

 

เมื่อเขาหยดเลือดลงที่จี้ห้อยคอหยก เขาเริ่มรู้สึกถึงความกระจ่างชัด! โดยทันที ข้อมูลจํานวนมหาศาลพลันไหลหลั่งสู่จิตใจของเขา! เพียงอึดใจ เขาได้ทราบเรื่องราวของประตูจารึกขึ้นมาระดับหนึ่ง “เป็นแบบนี้! อักขระดวงดาวและจันทรา ทั้งสองต่างเป็นอักขระ

ต้องห้ามและพิเศษยิ่ง หากไม่มีคุณสมบัติที่จะได้เรียนรู้พวกมัน จะ กลายเป็นว่าต้องแบกรับถึงความเจ็บปวดสะท้อนกลับ จากการศึกษา พวกมันจนถึงแก่ความตาย!”

 

อักขระลึกลับต้องห้าม ย่อมนําพามาซึ่งเภทภัย หากไม่มีคุณสมบัติ เพียงพอ ย่อมเป็นการเสี่ยงอันตรายหากคิดใช้งานอักขระลึกลับ ต้องห้าม

 

ี่คือทั้งหมดที่ฉินหยุนได้ทราบ

 

หลังหยดเลือดที่จี้ห้อยคอหยก เขาจึงสามารถควบคุมประตูลับใน ห้องโถงแห่งนี้ได้


 


 


 


เขากําจี้ห้อยคอหยกเอาไว้แน่น เปิดบานประตูออก จากนั้นจึงก้าว เดินออกไป ยืนหยัดอยู่ที่ปากถํ้าเหนือยอดเขา

 

“ผ่านไปกว่าครึ่งปี! ในที่สุดก็ออกมาได้!”

 

โดยไม่ทันรู้ตัว ฉินหยุนถึงกับวิ่งออกจากถํ้าด้วยความยินดี

 

ตอนนี้เขาผ่านการทดสอบแล้ว และได้เป็นศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของ สํานักจารึก กล่าวได้ว่าเขาคือจ้าวสํานัก!

 

ขณะยืนบนยอดเขา รับชมทั่วทั้งตําหนักดวงดาววิญญาณสีคราม เขา คิดเร่งรีบไปหาหยางฉีเย่ว์ ต้องการทราบว่าอาการบาดเจ็บของนาง เป็นอย่างไรบ้างแล้ว

 

“หืม? เหมือนจะมีคนอยู่ข้างล่าง!” ฉินหยุนมองลงไป ยังถํ้าทางเข้าที่ ชายเขา ด้านล่าง เป็นสามคนที่สวมใส่ชุดสีม่วง เขาอดไม่ได้ที่จะ ขมวดคิ้ว

 

ศิษย์ของตําหนักดวงดาววิญญาณสีครามล้วนแต่สวมใส่ชุดสีนํ้าเงิน เหตุใดพวกเขาจึงสวมใส่ชุดสีม่วง นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

 

ฉินหยุนทะยานกายลงจากฟ้า จึงได้เห็นเด็กหนุ่มทั้งสาม ที่หน้าตา เหมือนกันแทบไม่มีผิดเพี้ยน

 

เป็นแฝดสาม สามพี่น้องจรัสแสง!


 


 


 


้าโหยวเป็นบุคคลแรกที่พบเห็นฉินหยุน

 

ฉินหยุนสวมใส่ชุดคลุมลึกลํ้าวิญญาณสีคราม พร้อมทั้งชุดคลุมสีดํา ทับที่ด้านนอก เส้นผมของเขาค่อนข้างยุ่งเหยิง กระนั้นยามเมื่อมอง ลงมา สายตาของเขาทั้งสุกสว่างและเปี่ยมด้วยความมาดมั่น

 

“อาจารย์… นายท่าน!” ต้าโหยวร้องอุทานขึ้น

 

แฝดทั้งสามคนเผยสีหน้าประหลาดใจพร้อมเพรียงกัน พอได้เห็นยิ่ง บว่าน่าขบขันไม่น้อย

 

ฉินหยุนยิ้มกว้าง “พวกเจ้ารอข้าหรือ? จริงด้วย เหตุใดจึงสวมใส่ชุดสี ม่วง? ตําหนักดวงดาววิญญาณสีครามตัดสินใจเปลี่ยนสีชุดหรือ?”

 

“นายท่าน เป็นท่าน! ท่านทําได้ ท่านเป็นจ้าวสํานักจารึกแล้ว!” ต้า หยวอุทานร้องออกอย่างตื่นเต้นยินดี

 

“ฮ่าฮ่า!” ฉินหยุนยิ้มตอบ เร่งรีบตอบมา เหตุใดจึงสวมใส่ชุดสีม่วง?”

 

ขณะพูดคุยถึงเรื่องราว ต้าโหยวถอนหายใจยาว “ตําหนักดวงดาว วิญญาณสีครามของพวกเราจบสิ้นแล้ว พวกเราไม่มีตําหนักดวงดาว วิญญาณสีครามอีกต่อไป!”

 

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” ฉินหยุนขมวดคิ้ว เร่งรีบเอ่ยถาม


 


 


 


สามพี่น้องจรัสแสงสรุปเรื่องราวโดยย่อ บอกเล่าให้ฉินหยุนได้ฟังถึง รื่องราวในช่วงครึ่งปีที่ผ่านพ้น

 

เรื่องราวคือ สํานักที่มีนามว่า “ตําหนักดวงดาววิญญาณสีม่วง” ได้ คลื่อนคล้อยมาจากแดนยุทธ์อ้างว้าง

 

สํานักแห่งนี้ มีความเชื่อมโยงเหนียวแน่นกับตําหนักดวงดาววิญญาณ สีคราม

 

ตําหนักดวงดาววิญญาณสีม่วง เพียงรับแต่ศิษย์หญิง กระนั้นพวกเขา แข็งแกร่งยิ่ง ทั่วทั้งสํานักมีผู้ฝึกตนขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณราวหกคน

 

จ้าวตําหนักดวงดาววิญญาณสีม่วง ได้เอ่ยคําท้าต่อหลันเฉิน หากนาง พ่ายแพ้ เช่นนั้นตําหนักดวงดาววิญญาณสีม่วง จะกลายเป็นขึ้นตรง ต่อตําหนักดวงดาววิญญาณสีคราม

 

หากนางชนะ ตําหนักดวงดาววิญญาณสีคราม จะต้องตกเป็นหนึ่ง ดียวกับตําหนักดวงดาววิญญาณสีม่วง

 

ท้ายที่สุด หลันเฉินพ่ายแพ้ เพราะเหตุนั้นตําหนักดวงดาววิญญาณสี ครามจึงถูกผนวกรวม!

 

ฉินหยุนพอได้ยินดังนี้ เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มลําบากใจ เขาเอ่ยถาม “เช่นนั้นแล้ว ผู้อาวุโสหลันเฉินไปที่ใดแล้ว?”


 


 


 


“จ้าวตําหนักใหญ่… ท่านบอกว่าคิดไปสํารวจเทือกเขาเมฆมังกร เขา ได้พาเซี่ยอู๋เฟิงไปด้วย!” ต้าโหยวเผยความไม่ยินดี “ผู้ฝึกตนขอบเขต วรยุทธ์เต๋าของตําหนักดวงดาววิญญาณสีคราม ไม่อาจยอมรับตําหนัก ดวงดาววิญญาณสีม่วง ดังนั้นพวกเขาจึงแตกกระจายแยกจากกันไป

 

“เจ้าคนหัวล้านผู้นั้น หลังพ่ายแพ้สูญเสียตําหนักดวงดาววิญญาณสี คราม ถึงขั้นสะบัดตูดหนีหาย ช่างเห็นแก่ตัวนัก!” ฉินหยุนอดไม่ได้ ี่จะสบถออก

 

เดิมที เขาคิดว่าหลังได้เป็นจ้าวสํานักจารึก เคียงข้างหลันเฉิน เขาจะ ยิ่งเพิ่มพูนความแข็งแกร่งได้มากขึ้น

 

แต่ตอนนี้ หลันเฉินพ่ายแพ้ สูญเสียทั้งตําหนักดวงดาววิญญาณสี คราม มันทําเอาเขามีโทสะ!

 

“พวกเจ้า คนของตําหนักดวงดาววิญญาณสีม่วงพูดคุยด้วยง่าย หรือไม่?” ฉินหยุนเร่งรีบเอ่ยถาม

 

“ทั้งหมดล้วนเป็นผู้หญิง พละกําลังของพวกนาง ล้วนมากลํ้ากว่า ตําหนักดวงดาววิญญาณสีครามของพวกเรา เพราะเหตุนั้นพวกนาง จึงปรามาสต่อพวกเรา!” ต้าโหยวเอ่ยอย่างอับจน “ข้าได้ยินว่า การ เคลื่อนคล้อยมาอย่างกะทันหัน ของตําหนักดวงดาววิญญาณสีม่วง ก็ มีความข้องเกี่ยวกับหลุมฝังเซียนด้วย!”


 


 


 


จริงด้วย! แม่นางหลันเฟิงจิน ได้ถูกผูกมัดเอาไว้กับประตูของตําหนัก ดวงดาววิญญาณสีคราม!” เอ้อโหยวพลันเอ่ยขึ้น

 

ฉินหยุนถึงกับสะท้าน กล่าวออกด้วยความกราดเกรี้ยว “เหตุใดพวก มันทํากับพี่หลันเช่นนั้น? ไปที่ประตู!”

 

หลันเฟิงจินคือศิษย์ของเขา แต่แล้วนางกลับถูกผูกมัดเอาไว้กับประตู!

 

ระหว่างทางไปยังประตู ฉินหยุนได้ทราบ ว่าหลันฮัวอวี้เองก็ไปจาก ตําหนักดวงดาววิญญาณสีครามแล้ว

 

ศิษย์หลายคนของตําหนักดวงดาววิญญาณสีคราม ถูกส่งตัวออกไป ล่าสัตว์อสูร พวกเขาล้วนไม่มีอิสรภาพ ดังนั้นจึงลอบจากไป

 

ตอนนี้ศิษย์ของตําหนักดวงดาววิญญาณสีครามเหลืออยู่เพียงน้อยนิด

แล้ว!

 

เหตุผลว่าทําไมหลันเฟิงจินถูกผูกมัดเอาไว้ ก็เพราะนางไม่ยินยอม รับตําหนักดวงดาววิญญาณสีม่วงเป็นอาจารย์

 

ด้วยพรสวรรค์วิถีจารึก และขอบเขตวรยุทธ์เต๋าของนาง ถือว่าไม่เลว รวมทั้งนางเป็นหญิงสาว เป็นปกติที่นางจะเป็นที่ต้องตา

 

ฉินหยุนยังได้ทราบ ว่าหยางฉีเย่ว์และเชี่ยวเย่ว์หลาน ต่างถูกจ้าว ําหนักดวงดาววิญญาณสีม่วงพรากตัวเอาไป


 


 


 


ศิษย์หญิงส่วนใหญ่ของตําหนักดวงดาววิญญาณสีคราม ต่างย้ายไป ยังตําหนักดวงดาววิญญาณสีม่วง มีแต่ศิษย์ชายที่ต้องอยู่เบื้องหลัง ได้แต่รอรับคําสั่งอย่างไม่อาจบิดพลิ้ว!

 

ที่หน้าประตูตําหนักดวงดาววิญญาณสีคราม หลันเฟิงจินสวมใส่ชุด สีดํา นางถูกมัดเอาไว้กับเสาด้วยโซ่สีทองม่วง เส้นผมของนางยุ่ง เหยิง ใบหน้าเปรอะเปื้อน ดวงตาแทบเปี่ยมด้วยสีโลหิต

 

ตรงหน้าหลันเฟิงจิน เป็นหญิงวัยกลางคนจํานวนหนึ่งสวมใส่ชุดสี ม่วงยืนอยู่

 

ด้านนอกประตู มีศิษย์ตําหนักดวงดาวหลายคนรับชมเรื่องราว

 

ศิษย์เดิมของตําหนักดวงดาววิญญาณสีคราม ต่างมองหลันเฟิงจินที่ ูกผูกมัดเอาไว้ด้วยสีหน้ารวดร้าว

 

หนึ่งในนั้น มีหญิงคนหนึ่งคางแหลม กําลังหยิกที่ใบหน้าของหลัน เฟิงจิน นํ้าเสียงเย็นเยือกกล่าวออก “หลันเฟิงจิน เจ้าปฏิเสธขนม หวาน คิดอยากกินวัตถุรสขมเอง! ท่านยายจารึกสีม่วงจากตําหนัก ดวงดาววิญญาณสีม่วงของพวกเรา คิดรับเจ้าเป็นศิษย์ กระนั้นเจ้า กลับปฏิเสธ!”

 

“นี่เป็นโอกาสที่แม้กระทั่งพวกเราก็ไม่อาจได้รับ! แค่เจ้ายอมรับมัน จะตายหรือไร?”


 


 


 


“เหอะ ข้ามีอาจารย์แล้ว!” หลันเฟิงจินส่งเสียงแค่นดัง “และอะไรคือ ท่านยายจารึกสีม่วง? ถึงกับใช้วิธีการตํ่าช้าคิดบังคับข้ารับนางเป็น อาจารย์ เจ้าก็เห็นไม่ใช่หรือยังไงว่านางหาได้ดีดังที่กล่าวอ้าง!”

 

“กระทั่งปู่ของเจ้า หลันฮัวอวี้ ยังต้องยอมรับความพ่ายแพ้ต่อหน้า ท่านยายจารึกสีม่วงของพวกเรา! แล้วอาจารย์เจ้านับเป็นอะไร?” หญิงวัยกลางคนคางแหลมกล่าวกราดเกรี้ยว ท่านยายจารึกสีม่วง เป็นบุคคลที่เจ้าไม่อาจกล่าวล้อเล่นด้วยได้!”

 

นางกล่าวคําจบ จึงตบเข้าที่ใบหน้าของหลันเฟิงจิน ฝ่ามือนั้นใช้แรง ออกอย่างไม่ปรานี ตบใบหน้าหลันเฟิงจินจนชอกชํ้า!

 

“เหอะ!” หลันเฟิงจินโพล่งโทสะออก “ต่อหน้าอาจารย์ข้า พวกเจ้าก็ ได้เป็นแค่เศษสวะ!”

 

“อาจารย์เจ้าทรงพลังเพียงนั้น? เช่นนั้นจงให้มันออกมา! กระทั่งว่าข้า ตบตีเจ้าจนตาย มันก็ไม่อาจออกมา หรือว่าไม่ใช่?” หญิงวัยกลางคน เงื้อมือขึ้น เตรียมตบเข้าที่ใบหน้าของหลันเฟิงจินอีกฉาดหนึ่ง!

 

ขณะฝ่ามือนั้นเคลื่อนลง สายลมรุนแรงพัดผ่าน เด็กหนุ่มร่างสูงกํายํา สวมใส่ชุดสีดําได้ปรากฏกายข้างหลันเฟิงจิน!

 

เพี๊ยะ!


 


 


 


เสียงตบใบหน้าดังก้อง!

 

ผู้ที่โดนตบหน้า หาได้ใช่หลันเฟิงจิน แต่เป็นหญิงวัยกลางคนผู้นั้น!

 

หญิงวัยกลางคน ที่เมื่อครู่เกือบจะตบที่ใบหน้าของหลันเฟิงจิน กลายเป็นฝ่ายร่างกระเด็นเพราะโดนตบที่ใบหน้า กระทั่งนางยังไม่ รู้ตัว เพียงพริบตาก็กระเด็นไปไกลแล้ว!

 

บรรดาศิษย์ต่างกรีดร้องออกด้วยความแตกตื่น!

 

ต้องทราบว่า หญิงวัยกลางคนเมื่อครู่นี้อยู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋า กระนั้น กลับโดนตบที่ใบหน้า นางถึงขั้นโดนตบอย่างไม่รู้ตัวจนร่างกระเด็น!

 

ทางด้านเด็กหนุ่มชุดสีดําที่เพิ่งปรากฏตัว แม้สภาพเส้นผมยุ่งเหยิงไป บ้าง กระนั้นใบหน้าก็หล่อเหลาเด่นชัด ใบหน้านี้เปี่ยมด้วยความ มั่นใจ หนักแน่น และมากล้นด้วยเสน่ห์

 

พอบรรดาศิษย์ได้เห็นใบหน้านี้ พวกเขาต่างร้องอุทานอย่างแตกตื่น! “เป็นฉินหยุน!”

“เขาเข้าประตูจารึกไป ทั้งยังรอดชีวิตออกมาได้!” “เขาเป็นจ้าวสํานักจารึกแล้ว!”

“จ้าวตําหนักใหญ่ไม่อยู่แล้ว ไม่เช่นนั้น เขาต้องยินดีมากแน่!”


 


 


 


“ว่าไป ไม่ใช่ว่าฉินหยุนเชี่ยวชาญเคล็ดวิชาปีศาจอย่างขัดเกลา วิญญาณหรือ?”

 

“นั่นไม่ใช่เคล็ดวิชาปีศาจ! ฉินหยุนคือความภาคภูมิของตําหนัก ดวงดาววิญญาณสีครามของพวกเรา!”

 

ได้ยินฝูงชนกล่าวเช่นนี้ กลุ่มหญิงสาวชุดสีม่วงข้างกายหลันเฟิงจิน ต่างเริ่มถอยห่าง

 

“ข้าคืออาจารย์ของหลันเฟิงจิน! ผู้ใดมัดนางเอาไว้ที่นี่? หากมันไม่มา คุกเข่าขออภัยต่อนาง ข้าจะฉีกกระชากตําหนักดวงดาววิญญาณสี ม่วงให้เป็นชิ้น!” เสียงของฉินหยุนสงบยิ่ง กระนั้นกลับเปี่ยมด้วย วามทรงอํานาจพร้อมจิตสังหารรุนแรง

 

มีหญิงอีกคนที่อยู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋า กระนั้นนางกลับไม่กล้ากระทํา การบุ่มบ่าม!

 

แขนราชสีห์สวรรค์ของฉินหยุนทอแสงวูบ อสนีบาตอัคคีทองม่วง ฟาดฟันโซ่ที่เสา มันขาดออกจากกันโดยทันที!

 

หลันเฟิงจินที่อ่อนแรง ล้มลงในอ้อมแขนของฉินหยุน

 

“อาจารย์!” หลันเฟิงจนอดไม่ได้จนต้องร้องเสียงเบาออก เป็นนางทั้ง ยินดีและตื่นเต้น


 


 


 


หลันเฟิงจินนับฉินหยุนเป็นอาจารย์ของนาง!

กระนั้น ก็ไม่มีศิษย์ผู้ใดของตําหนักดวงดาววิญญาณสีคราม รู้สึกว่า เรื่องราวนี้ผิดแผก นี่ก็เพราะพรสวรรค์ทางวิถีจารึกของฉินหยุนอยู่ในระดับชั้นแนว หน้า นอกจากนี้ เขาในตอนนี้ยังเป็นถึงจ้าวสํานักจารึก!

“ฉินหยุน เจ้ามันปีศาจร้าย ที่เชี่ยวชาญเคล็ดวิชาขัดเกลาวิญญาณ!”

หญิงวัยกลางคนกัดฟันแน่นตะโกนขึ้น

ฉินหยุนแค่นเสียงออก “วิชาปีศาจงั้นหรือ? บางทีจ้าวตําหนักพวกเจ้า คงตัวสั่นระริกด้วยซํ้าหากจะได้เรียนรู้วิชาปีศาจนี่!” เขาส่งถ่ายพลังจากโทเทมต้นไม้สู่หลันเฟิงจิน ช่วยนางฟื้นฟูอาการ จากนั้นจึงเอ่ยถาม “พี่หลัน ผู้ใดผูกท่านไว้ที่นี่?”

“เป็นพวกมัน!” หลันเฟิงจินตะโกนกราดเกรี้ยว “พวกมันตั้งใจจะบีบ บังคับข้า ให้ท่านยายอะไรของพวกมันเป็นอาจารย์ข้า แต่ข้าปฏิเสธ เพราะเหตุนั้นพวกมันจึงใช้วิธีตํ่าช้าเช่นนี้ต่อข้า!”

ฉินหยุนหรี่ตา กวาดมองหญิงวัยกลางคนและกล่าวเย็นเยือก “จง คุกเข่าลง กล่าวขอโทษต่อพี่หลันด้วยตนเอง หรือเจ้าคิดอยากให้ข้า บังคับพวกเจ้าคุกเข่า? จงเลือก!”

บรรดาหญิงวัยกลางคนเหล่านี้ ล้วนเผยสีหน้ากราดเกรี้ยว เป็นไป ไม่ได้ที่พวกนางจะยอมคุกเข่า!


 


 


 


ตอนที่ 337 สํานักวิญญาณหมัดมังกร

 

หญิงวัยกลางคนกลุ่มนี้ เดิมมาจากตําหนักตะวันตก ตําหนักทิศใต้ และตําหนักทิศเหนือ สองคนมาจากจักรวรรดิเทียนเชี่ยว เป็นผู้รับ น้าที่จับตามองเชี่ยวเย่ว์หลาน

 

ตอนนี้ พวกนางล้วนเข้าร่วมตําหนักดวงดาววิญญาณสีม่วง

 

พวกนางต่างอยู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋า กระทั่งในตําหนักดวงดาววิญญาณ สีม่วง สถานะของพวกนางก็ยังสูงส่ง!

 

สําหรับฉินหยุน เขาคิดอยากให้พวกนางคุกเข่ายอมรับความผิด แต่ พวกนางจะยอมรับได้อย่างไร?

 

หญิงวัยกลางคน ผู้ที่โดนตบหน้าร่างกระเด็นได้รับการช่วยพยุงขึ้น ครึ่งหน้าของนาง กลับกลายเป็นสีดําชํ้าเพราะแรงตบ เส้นผมก็ยุ่ง เหยิง คล้ายกึ่งไม่ได้สติเสียด้วยซํ้า

 

“ฉินหยุน! จะอวดดีเกินไปแล้ว! อย่าได้คิดว่าเจ้าดีเลิศเพียงเพราะมี สองวิญญาณยุทธ์! พวกเราหาได้อ่อนแอดั่งขยะจากตําหนักดวงดาว วิญญาณสีครามไม่!”


 


 


 


“ข้าจะนับสอง หากเจ้าไม่คุกเข่าลงขออภัยต่อพี่หลัน ข้าจะลงมือ!” ฉินหยุนกล่าวเสียงเย็น “หนึ่ง… สอง!”

 

ทันทีที่กล่าวคําจบ หมอกสีดําจึงเริ่มทะลักออกจากร่างกายเขา ปก คลุมร่างหญิงวัยกลางคนกลุ่มนี้เอาไว้!

 

ถัดจากนั้น พื้นดินเริ่มสั่นไหว! ดวงตาของฉินหยุนแปรเปลี่ยนกลายเป็นสีดํา! เขาใช้พลังวิญญาณยุทธ์สั่นไหว!

หญิงชั่วช้าเหล่านี้ ทั้งหมดต่างอยู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋าระดับที่หนึ่ง!

 

ขณะคลื่นกระแทกเข้าปกคลุม ร่างกายพวกนางโดนสะกดข่มด้วย คลื่นกระแทก กระอักเลือดออกจากปากคําโตโดยทันที!

 

“คุกเข่า!”

 

ฉินหยุนคําราม พื้นดินยิ่งสั่นไหวรุนแรง!

 

กลุ่มหญิงโฉดที่อหังการเหล่านี้ เผยเสียงกรีดร้องน่าสังเวชออกขณะ คุกเข่ากับพื้น กระเบื้องที่เริ่มปริแตก


 


 


 


กลุ่มศิษย์ที่ได้เห็นเรื่องราวนี้ พวกเขาอดไม่ได้ที่จะเผยความหวาดกลัว ออกอย่างรุนแรง!

 

กลุ่มผู้อาวุโสที่ทรงพลังอํานาจเหล่านี้ กลับโดนแรงกดดันสะกดข่ม จนถึงขั้นคุกเข่า กระอักเลือดออก ทั้งหมดนี้ก็เพราะขุมพลังภายใน ขั้นสูงของฉินหยุน!

 

“ไสหัวไป!”

 

ฉินหยุนโบกมือ ตบหน้าหญิงเหล่านั้น ส่งร่างกระเด็นไกลออกไป

 

ถัดจากนั้น เขาช่วยพยุงร่างของหลันเฟิงจินขึ้นมา ก่อนจะบินมุ่งหน้า ไปยังภูเขาสีเงินลึกลับของตําหนักตะวันออก เข้าสู่ถํ้าที่อยู่ยอดเขา

 

หลันเฟิงจินนั่งบนเก้าอี้ รับชมห้องโถงด้วยความตื่นเต้นยินดี “อาจารย์ ท่านถึงขั้นผ่านการทดสอบของประตูจารึก ช่างน่าเหลือเชื่อ นัก! โชคไม่ดี ปู่ของข้ามุ่งหน้าสู่เทือกเขาเมฆมังกรแล้ว เขาน่าจะ หาทางหวนคืนสู่แดนยุทธ์อ้างว้าง!”

 

ฉินหยุนยิ้ม “พี่หลัน ท่านเป็นศิษย์ข้า ในภายหน้า ท่านก็จะเป็นศิษย์ ของสํานักจารึก! ลืมเลือนเรื่องตําหนักดวงดาววิญญาณสีม่วงไป!”


 


 


 


“ตําหนักดวงดาววิญญาณสีม่วงถือว่ายอดเยี่ยม! แต่เพราะกลุ่มหญิง โฉดเหล่านั้นริษยาต่อข้า เพราะเหตุนั้นพวกนางจึงทําต่อข้าเช่นนี้!” หลันเฟิงจินแค่นเสียงกล่าว “อย่างไรแล้ว ข้ามีอาจารย์อยู่แต่แรก ย่อมไม่คิดรับผู้อื่นเป็นอาจารย์อีก!”

 

“เย่ว์หลาน ซือเยี่ย และอาจารย์หยาง พวกนางต่างเข้าร่วมตําหนัก ดวงดาววิญญาณสีม่วงหรือ?” ฉินหยุนเอ่ยถามด้วยนํ้าเสียงเป็นกังวล

 

หลันเฟิงจินพยักหน้ารับ ใช่! อาการบาดเจ็บของฉีเย่ว์ร้ายแรง วิญญาณ ยุทธ์ของนางก็บาดเจ็บรุนแรง ผู้คนจากตําหนักดวงดาววิญญาณสี ม่วงสามารถรักษานาง กระนั้น… ราคาที่ต้องจ่ายคือต้องอยู่ที่ตําหนัก ดวงดาววิญญาณสีม่วง

 

“เย่ว์หลานและซือเยี่ย ทั้งสองต่างเป็นศิษย์หญิงที่เลิศลํ้า พวกนางถูก พาตัวไปนานแล้ว ข้าได้ยินว่าได้รับการสอนสั่งโดยตรงจากจ้าว ตําหนักวิญญาณสีม่วง!”

 

ฉินหยุนเดินไปมาในห้องโถง จ้าวตําหนักใหญ่ไปยังเทือกเขาเมฆ มังกรจริงหรือ?”


 


 


 


“เขาไปพร้อมปู่ของข้า พวกเขากล่าว ว่าคิดอยากสํารวจหลุมฝังเซียน หากพวกเขาไม่กลับมา เช่นนั้นก็คงไปแดนยุทธ์อ้างว้างแล้ว ลันเฟิงจินตอบ

อย่างกะทันหัน เสียงตะโกนพลันดังจากด้านนอก ฉินหยุนรับฟัง เสียงนี้เป็นของฉ่วยอี้ฮวย เขาเร่งรีบเดินออกไป ร่อนลงที่พื้นเบื้องล่าง

ฉ่วยอี้ฮวย จ้าวตําหนักจากอดีตตําหนักตะวันออก และกลุ่มผู้อาวุโส ขอบเขตวรยุทธ์เต๋าหลายสิบคนต่างอยู่ที่นี่ พวกเขาล้วนรับชมฉินหยุน ด้วยอาการแตกตื่น

“ฉิน… ฉินหยุน เจ้าเป็นจ้าวสํานักจารึกแล้ว?” ฉ่วยอี้ฮวยสูดลม หายใจเข้าลึก เอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ ฉินหยุนนําจี้ห้อยคอหยกออกมา “ข้าได้รับมันมา สงสัยนักว่านี่เป็น ตราของจ้าวสํานักหรือไม่?”

ได้เห็นชิ้นหยก ฉ่วยอี้ฮวยและคณะต่างสูดลมหายใจเข้าลึก! “แสดงความเคารพต่อราชัน!” ฉ่วยอี้ฮวยโค้งกายโดยทันที พร้อมทั้ง ล่าวคําแสดงความนับถือ

ผู้อาวุโสคนอื่นที่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋า ต่างก็โค้งกายแก่ฉินหยุน


 


 


 


กระทั่งฉินหยุนยังประหลาดใจ ว่าจ้าวสํานักของประตูจารึกถึงกับมี ตําแหน่งเพียงนี้!

 

“ทุกท่านอย่าได้มากมารยาทแล้ว! สถานการณ์ตอนนี้ของตําหนัก ดวงดาววิญญาณสีครามเป็นอย่างไร?” ฉินหยุนขมวดคิ้วถาม “จ้าว ตําหนักใหญ่ เข้าไปยังเทือกเขาเมฆมังกรนานหรือยัง?”

 

“ตําหนักดวงดาววิญญาณสีคราม ได้ผนวกรวมเข้ากับตําหนักดวงดาว วิญญาณสีม่วง พวกเขาตอนนี้คือคนที่จัดการเรื่องราว! สําหรับตําหนัก ตะวันออก จ้าวตําหนักหลิงรับหน้าที่!” ฉ่วยอี้ฮวยมองไปยังหญิงชรา ข้างกาย

 

จ้าวตําหนักหลิงเป็นสตรีเพศ ดังนั้นนางจึงได้รับการยอมรับให้เป็น ศิษย์โดยตําหนักดวงดาววิญญาณสีม่วง ภายในตําหนักดวงดาว วิญญาณสีม่วง นางถือเป็นผู้อาวุโส

 

“เช่นนั้น จ้าวสํานักจารึกก็ถูกนับเป็นสมาชิกของตําหนักดวงดาว วิญญาณสีม่วงด้วย?” ฉินหยุนเอ่ยถาม

 

“ถูกต้อง! ทว่าก็สมควรได้รับการดูแลเป็นอย่างดี เพราะตําหนัก ดวงดาววิญญาณสีม่วงต่างทราบถึงความสําคัญของประตูจารึกเป็น


 


 


 


อย่างดี!” จ้าวตําหนักหลิงกล่าว “จ้าวสํานักฉิน จดหมายนี้ส่งถึงท่าน โดยจ้าวตําหนักดวงดาววิญญาณสีม่วง!”

 

จ้าวตําหนักหลิงส่งมอบจดหมายมา ฉินหยุนเปิดอ่านเนื้อหาด้านใน จดหมายนี้มาจากจ้าวตําหนักดวงดาววิญญาณสีม่วง เป็นการกล่าว

ขออภัยอย่างจริงใจต่อหลันเฟิงจิน และคิดเชิญเขาสู่ตําหนักดวงดาว วิญญาณสีม่วงเพื่อหารือ และให้นําหลันเฟิงจินร่วมทางไปด้วยได้ “พวกท่านเคยพบจ้าวตําหนักดวงดาววิญญาณสีม่วงมาก่อนหรือไม่? นางเป็นคนเช่นไร?” ฉินหยุนเอ่ยถาม

“นางเป็นคนสุภาพยิ่ง! ย้อนกลับไปตอนอยู่แดนยุทธ์อ้างว้าง นางเอง ก็เป็นคนที่ดีคนหนึ่ง! เรื่องราวของหลันเฟิงจินครั้งนี้ เป็นเพราะกลุ่ม หญิงโฉดเหล่านี้กระทําการตามอําเภอใจ พวกนางย่อมถูกลงโทษ สถานหนัก หากท่านคิดไปยังตําหนักดวงดาววิญญาณสีม่วง ข้า สามารถนําทางได้!” จ้าวตําหนักหลิงกล่าว

หญิงโฉดชั่วเหล่านั้น ถือเป็นเศษเดนตั้งแต่ตําหนักดวงดาววิญญาณ สีครามแล้ว เมื่อพบโอกาสได้ทําร้ายหลันเฟิงจิน พวกนางจึงก่อการ โดยไม่ยั้งคิด!


 


 


 


ฉินหยุนคิดอยากพบเจอเชี่ยวเย่ว์หลาน ดังนั้นเขาจึงพยักหน้ารับ “เช่นนั้น ให้ข้าไปพร้อมพี่หลัน!”

 

เขาบินขึ้น นําหลันเฟิงจินลงมาด้านล่าง

 

หลังได้พักชั่วระยะหนึ่ง สีหน้าของหลันเฟิงจินค่อยดีขึ้นบ้าง ทั้งยัง ปลี่ยนไปสวมใส่ชุดกระโปรงสีม่วงงดงาม

 

ฉินหยุน หลันเฟิงจิน และจ้าวตําหนักหลิงขึ้นรถลากบินได้ มุ่งหน้าสู่ ตําหนักดวงดาววิญญาณสีม่วง

 

ตําหนักดวงดาววิญญาณสีม่วง ตั้งอยู่เพียงระยะสองร้อยลี้จากตําหนัก ดวงดาววิญญาณสีคราม เพียงไม่นานพวกเขาก็มาถึง

 

ฉินหยุนอยู่ในรถลากลอยฟ้า เปิดหน้าต่างออกดู เขาได้เห็นตําหนัก วงดาววิญญาณสีม่วงอยู่เบื้องล่าง

 

ขนาดนั้นสมควรใกล้เคียงตําหนักดวงดาววิญญาณสีคราม เว้นแต่สี เป็นสีม่วง

 

สิ่งปลูกสร้างหลังใหญ่ภายใน ถูกก่อสร้างขึ้นจากผลึกแก้วสีม่วงเป็น ประกายงดงาม


 


 


 


สถานะของจ้าวตําหนักหลิงที่นี่ค่อนข้างสูง นางสามารถส่งขบวนรถ ลากตรงเข้าตําหนักดวงดาววิญญาณสีม่วง ก่อนจะร่อนลงจอดที่ลาน กว้างส่วนกลาง

 

ในลานกว้างแห่งนี้ มีหลายคนกําลังล้อมรอบสนามประลองยุทธ์ และ ที่สนามประลองยุทธ์ดังกล่าว ก็มีเสียงการต่อสู้อันตึงเครียดดังอยู่!

 

เมื่อฉินหยุนและคณะลงจากรถลาก พวกเขาจึงได้เห็นสตรีผู้หนึ่งใน ชุดสีม่วงอยู่บนลานประลอง นางกําลังประมือกับชายที่สวมใส่ชุดสี ทอง

 

ทั้งสองต่างอยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เก้า

 

“จ้าวตําหนักหลิง นี่เรื่องอะไรหรือ? ศิษย์ของตําหนักดวงดาววิญญาณ สีม่วง กําลังประมือกับผู้ใดอยู่กัน?” ฉินหยุนเอ่ยถาม

 

“เขาคือศิษย์ของสํานักวิญญาณหมัดมังกร!” จ้าวตําหนักหลิงตอบ “ตําหนักดวงดาววิญญาณสีม่วง สํานักวิญญาณหมัดมังกร สํานัก วิญญาณสายลม และหุบเขาวิญญาณลอยล่อง ทั้งสี่สํานักต่างเคลื่อน คล้อยลงมาที่นี่ด้วยกัน!”


 


 


 


“ทั้งสี่สํานัก ล้วนเป็นสํานักระดับวิญญาณ พวกเราทั้งหมดล้วนเป็น กองกําลังภายใต้สํานักระดับลึกลํ้า! สาเหตุว่าทําไมพวกเราถูกส่งมา ที่นี่ ก็เพื่อสืบสวนถึงเรื่องราวของหลุมฝังเซียน!”

 

“ตอนนี้ พวกเราอนุญาตให้ศิษย์ได้ประลองฝีมือกันเพื่อชิงตําแหน่ง ผู้นํา! แม้สํานักเหล่านี้ต่างอยู่ภายใต้สํานักระดับลึกลํ้า พวกเขา บ่อยครั้งก็เปิดศึกกันเอง!”

 

ฉินหยุนไม่คิดว่าแปลก การปะทะระหว่างสํานัก ก็เหมือนขั้วอํานาจ ในจักรวรรดิ ถือเป็นการเมืองที่ดุเดือดประเภทหนึ่ง

 

เขายังประหลาดใจ ที่สํานักทรงพลังทั้งสี่นี้ กลับเคลื่อนคล้อยลงมา ที่นี่ กล่าวได้ว่าแดนยุทธ์อ้างว้าง ให้ความสําคัญกับหลุมฝังเซียน มากมายเพียงใด!

 

ขณะที่ทางด้านหลุมฝังเซียน มันเต็มเปี่ยมไปด้วยความลับมากมาย ของเซี่ยฉีโหรว!

 

“กรี๊ด!”

 

หญิงในชุดสีม่วงบนลานประลองยุทธ์ พลันส่งเสียงร้องออก นางถูก ่งร่างกระเด็นจนปะทะกับเสาอาคมของลานประลองยุทธ์


 


 


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า… เด็กน้อย อย่าได้คิดว่าข้าจะเห็นใจ ให้ข้าได้เล่นสนุก ก่อน!” ชายร่างกํายําจากสํานักหมัดมังกรยกยิ้มชั่วช้า ฝีเท้าค่อยก้าว ดินเข้าหาหญิงในชุดม่วง

 

ใบหน้าของหญิงในชุดม่วงแปรเปลี่ยนเป็นซีดเผือด มันเปี่ยมด้วย ความหวาดกลัวและสิ้นหวัง นางหลับตาลง ใบหน้านองนํ้าตาอย่าง ไม่อาจอดกลั้น!

 

ฉินหยุนขมวดคิ้ว นี่เป็นศึกเสี่ยงชีวิต?”

 

จ้าวตําหนักหลิงถอนหายใจ “ในชั่วระยะเวลาก้านธูป ผู้อยู่รอดบน ลานประลองจึงเป็นผู้ชนะ! ในช่วงระยะเวลานี้ ค่ายอาคมใหญ่จะไม่ ปิดตัวลง ดังนั้นพวกเราจึงได้แต่ปล่อยให้คนด้านในกระทําตาม ต้องการ การประลองยุทธ์ มักโหดร้ายเช่นนี้เสมอ!”

 

หลันเฟิงจินขมวดคิ้ว “ข้าได้ยินมาก่อน กระนั้นกลับไม่เคยเห็น! ข้า ไม่เคยคิดเลยว่าการแข่งขันชิงความเป็นผู้นําของสํานัก ผลลัพธ์คือ การสังเวยชีวิตของศิษย์ ช่างโหดร้ายนัก!”

 

เพียงอึดใจ ชุดของผู้หญิงคนนั้นฉีกขาดออก ถูกสายตาเล้าโลมของ ชายร่างใหญ่พิจารณามอง นางขณะนี้เหลือเพียงชุดชั้นใน!


 


 


 


“ชายคนนี้ คิดอยากข่มขืนหญิงผู้นั้นที่ตรงนั้นเลยงั้นหรือ?” ฉินหยุน กล่าวขมวดคิ้ว นํ้าเสียงเจือปนด้วยความโกรธ

 

“อาจเป็นเช่นนั้น… ทว่าก็ไม่มีผู้ใดสามารถหยุดยั้งได้!” ใบหน้าของ ้าวตําหนักหลิงก็เปี่ยมด้วยโทสะเช่นกัน

 

บรรดาศิษย์ที่รับชมการประลอง ต่างมาจากสี่สํานักที่แตกต่างกันไป นอกจากศิษย์หญิงจากตําหนักดวงดาววิญญาณสีม่วง ศิษย์ชายจาก สํานักอื่น ล้วนมีสีหน้ามุ่งหวังต่อเรื่องราวเช่นนี้

 

ฉินหยุนมีโทสะ โดยทันที เขาทะยานผ่านอากาศออกไป

 

“สารเลวนัก จงหยุดเดี๋ยวนี้!” ฉินหยุนลอยตัวเหนือสนามประลอง ยุทธ์ คํารามออกด้วยเสียงดังก้อง

 

บรรดาผู้อาวุโสที่รับหน้าที่ดูแลต่างทะยานกายออกมา

 

“เจ้าเป็นใคร? คิดก่อปัญหาหรือ?”

 

ชายชราในชุดสีทองกล่าวเกรี้ยวกราด ชุดสีทองของเขาเป็นเช่นเดียว กับของชายร่างใหญ่บนลานประลอง อีกฝ่ายสมควรเป็นผู้ฝึกตนของ สํานักหมัดมังกร


 


 


 


ฉินหยุนกล่าวออกอย่างมีโทสะ ไม่เห็นหรือว่าเดรัจฉานนั่นคิดทํา อะไร?”

 

เบื้องล่าง ศิษย์หญิงของตําหนักดวงดาววิญญาณสีม่วงได้เห็นเด็ก หนุ่มหล่อเหลาปรากฏตัวประหนึ่งเทพ พวกนางทั้งประหลาดใจและ คิดนับถือ

 

พวกนางไม่เคยได้เห็นกับตา ว่าผู้กล้าสมควรเป็นเช่นไร แต่ตอนนี้ เมื่อพวกนางได้เห็นฉินหยุน จึงค่อยเข้าใจว่าผู้กล้าสมควรเป็นเช่นไร!

 

“นี่เป็นการประลองเสี่ยงชีวิต!”

 

ผู้อาวุโสนี้สัมผัสถึงออร่าของฉินหยุนได้ กระทั่งเขายังเผยความ หวาดเกรง กระนั้น เขาก็ไม่คิดว่าจะเป็นสิ่งที่เด็กหนุ่มอย่างฉินหยุน ามารถเผยออก

 

“อย่าได้เหยียดหยามการแข่งขัน! ข้าไม่เคยได้ยินว่ามีผู้ใดกล้าเหยียด หยามการแข่งขันประลองยุทธ์ก่อการถึงเพียงนี้!” ดวงตาฉินหยุน เปี่ยมด้วยโทสะ เขากล่าวด้วยนํ้าเสียงลุ่มลึก เมื่อหญิงสาวบนลานประลองยุทธ์เห็นคนยืนหยัดเคียงข้าง นางถึงกับ หวั่นไหว


 


 


 


กระนั้นนางก็ยังสิ้นหวัง เพราะหนทางเดียวที่จะช่วยนางได้ คือการ ทําลายค่ายอาคมของลานประลองยุทธ์!

 

ชายร่างใหญ่บนลานประลองยุทธ์หัวเราะชั่วช้า ไอ้เวรด้านบนนั่น มันไม่เคยเห็นผู้อื่นหาความสุขในการประลองยุทธ์หรือไร? เช่นนั้น ให้ข้าแสดงให้มันได้ดู ฮ่าฮ่าฮ่า!”

 

“หากเจ้าอยากช่วยนางนี่ เช่นนั้นก็ต้องทําลายค่ายอาคมให้ได้ก่อน! ค่ายอาคมนี้จะไม่ปิดลงจนกว่าพลังงานที่เก็บเอาไว้จะถูกใช้จนหมด! กระทั่งขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณก็ไม่อาจปิดมันได้โดยง่าย ฮ่าฮ่าฮ่า! เบิกตาเจ้าให้กว้าง รับชมว่าข้ามีความสุขเพียงใด!”

 

“นางสารเลวผู้นี้ ร้องไห้หาอันใด? อีกไม่นานจะถูกข้าปลิดชีพอยู่ แล้ว จงสุขสมร่วมกับข้าก่อน!”

 

ชายวัยกลางคนที่ตํ่าช้า ตบใบหน้าหญิงในชุดม่วงที่ร้องไห้ออกอย่าง ไร้ซึ่งความเมตตา เสียงหัวเราะตํ่าช้ารัวไม่หยุด การกระทํานี้ ยิ่ง อัปลักษณ์เลวทรามกว่ารูปลักษณ์ของเขาด้วยซํ้า


ไม่มีความคิดเห็น :

แสดงความคิดเห็น