วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

2600

แต่เมื่อเขาได้ฉินหยุน ท่าที่จึงค่อยโอนอ่อน เป็นเพราะฉินหยุน คือคนที่เขา
ให้ความนับถืออย่างยิ่งผู้หนึ่ง!
“น้องหยุน ข้านําพวกเขาไปลงทะเบียนก่อน รอที่นี่ จะพาเจ้า ไปชม
ตําหนักศักดิ์สิทธิ์วิญญาณสีครามให้ทั่ว ภายหลัง ข้าค่อย เรียกน้องสอง
และน้องสามมา ทุกคนจะได้พร้อมหน้ากัน!” เซี่ยอู่เฟิงกล่าว
“ขอรับ!” ฉินหยุนพยักหน้ารับ เซี่ยอู่เฟิ งเร่งรีบนํากลุ่มคนของสํานักตนเอง
ไปลงทะเบียน พวกเขาพยายามบ่งชี้ ว่าพวกตนย่อมเป็นผู้ชนะอันดับหนึ่ง
ใน ครั้งนี้อย่างไม่อาจบิดเบือน นอกจากนี้แล้ว ตําหนักศักดิ์สิทธิ์วิญญาณ
สีครามยังต้องการ แสดงพละกําลังให้อีกสี่ตําหนักได้รับชม
ฉินหยุนเชื่อว่าตําหนักศักดิ์สิทธิ์วิญญาณสีคราม ย่อมต้องทราบ ว่า
ตําหนักตะวันตกคิดเคลื่อนไหวในเงามืด ดังนั้น พวกเขาจึง ใช้โอกาสนี้
เคาะประตูหน้าตําหนักตะวันตก เป็นการเตือนพวก เขาว่าอย่าได้อวดดี
“ฉินหยุน!” เสียงเย็นหนึ่งดังขึ้นไม่ไกลออกไป ทว่าเสียงนี้ก็เผย ความ
ประหลาดใจออกอย่างเด่นชัด สําหรับฉินหยุน เสียงนี้ไม่แปลก เป็นเสวี่ย
ซือเยี่ย!
เสวี่ยซือเยี่ยเป็นหญิงแปลก นางมักผนึกอารมณ์เอาไว้โดยเสมอ กระทั่งถึง
ขั้นไม่คิดเผยเสียงให้ได้ยินด้วยซํ้า ดังนั้นนางจึงเป็น หญิงที่เฉยชาและเย็น
ชา เสวี่ยซือเยี่ยเองก็เข้าร่วม นางวันนี้สวมใส่ชุดสีม่วงเหมือนอย่าง เคย
รูปลักษณ์ของนางหาได้แปรเปลี่ยนไม่ ทว่าออร่าที่ร่างกาย ปลดปล่อย
ออกนั้นแข็งแกร่งยิ่งขึ้น เป็นผลให้รูปลักษณ์ของนาง ยิ่งมายิ่งเย็นจับใจ
นางไม่เคยพูดจาใดกับบุรุษจนกระทั่งถึงตอนนี้ และยังเป็นนาง ที่ออกปาก
เรียกชื่อฉินหยุนตั้งแต่ไกล
“ซือเยี่ย!” ฉินหยุนยิ้ม
“เจ้ามาก็หรือ หากต้องเจอข้า ต้องขอ อภัยแล้วหากเจ้าไม่มีโอกาสชนะ!”
“ยังไม่แน่!” เสวี่ยซือเยี่ยกล่าวเสียงเบา
“ข้าตอนนี้อยู่ขอบเขต กายวรยุทธ์ระดับที่เก้า หากเจ้าไม่อาจใช้ยันต์
วิญญาณและ อุปกรณ์วิญญาณระหว่างการแข่งขัน เจ้าก็ใช่ว่าจะเอาชนะ
ข้า ได้ง่าย!”
ตอนที่ 297 อาจารย์จารึกระดับลึกล ้า
พอฉินหยุนเห็นเสวี่ยซือเยี่ยมั่นใจ เขาจึงยิ้มตอบ “ตอนนี้เจ้า มั่นใจเพียงนี้
ข้าชักอยากสู้กับเจ้าสักคราหนึ่งแล้ว!”
“เป็นข้าไม่อยากสู้กับเจ้า พระเจ้าที่ทราบว่าเจ้าแข็งแกร่ง เพียงใดยามต้อง
ต่อสู้เอาเป็นเอาตาย หากพวกเราสู้กันจนถึงตาย มันคงไม่ดีกับพวกเราทั้ง
คู่” เสวี่ยซือเยี่ยกล่าว
ขณะฉินหยุนสนทนากับเสวี่ยซือเยี่ย เซี่ยอู่เฟิ งจึงเดินเข้ามา กล่าวกับฉิน
หยุน “สหายน้องหยุนหรือ? งั้นไปภัตตาคาร ด้วยกัน ข้าส่งคนไปเรียกน้อง
สามมาแล้ว พี่หลันเองก็จะมาด้วย เช่นกัน!”
เสวี่ยซือเยี่ยพยักหน้าก่อนตามหลังเซี่ยอู่เฟิงและฉินหยุนไป
“พี่ใหญ่เซีย ผู้สมัครเข้าร่วมการประลองที่ระดับเก้ามีจํานวน เท่าใดหรือ
ขอรับ?” ฉินหยุนเอ่ยถามเสียงเบา
“พวกเขาล้วนไม่ อ่อนด้อยใช่หรือไม่?”
“มีหลายคนที่ก้าวถึงขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เก้านับปีแล้ว เดิมเชี่ยวเย่ว์
หลานเองก็คิดอยากเข้าร่วมด้วย แต่ได้ยินว่านาง กําลังเตรียมเลื่อนระดับสู่
ขอบเขตวรยุทธ์เต๋า เพื่อหลีกเลี่ยง อาการบาดเจ็บ นางจึงไม่เข้าร่วม”
พวกเขาตอนนี้กําลังเดิน ออกจากโถงทดสอบ โดยมุ่งหน้าไปยังอาคารสูง
ซึ่งอยู่ไม่ไกล ออกไป เชี่ยวเย่ว์หลานเพิ่งเลื่อนระดับสู่ขอบเขตกายวรยุทธ์
ระดับที่เก้า กระนั้นกลับเตรียมตัวก้าวสู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋าแล้ว เรื่องนี้ทํา
เอาทั้งฉินหยุนและเสวี่ยซือเยี่ยประหลาดใจ
“ศิษย์จากตําหนักศักดิ์สิทธิ์ของท่านแข็งแกร่งเพียงใดกัน?” เสวี่ยซือเยี่ย
เอ่ยถาม
“พวกเขาล้วนแข็งแกร่ง กล่าวให้เจาะจงกว่านี้ ข้าไม่มั่นใจนัก ตัวข้าเองยัง
ไม่อาจเข้าใจพละกําลังของเจ้าอย่างกระจ่าง ดังนั้นจึงไม่ง่ายที่จะตัดสิน
ออกมา” เซี่ยอู่เฟิ งคิดอยู่พักหนึ่งจึงค่อย ส่ายหน้าและตอบ
“โดยสรุป หากคู่ต่อสู้ของเจ้าเป็นพวกเขา เช่นนั้นก็ระวังไว้ย่อมดีกว่า ได้ยิน
มาว่าตัวตนของพวกเขาไม่ได้ ดีสักเท่าใดนัก ดังนั้นต้องระวังพวกเขา
เอาไว้!”
“น้องหยุน มีศิษย์รุ่นเยาว์หลายคนของตําหนักศักดิ์สิทธิ์ที่มีข้อ พิพาทใหญ่
หลวงกับเจ้า โดยหลักก็เพราะเจ้าเป็นสามีของเชี่ยว เย่ว์หลาน นอกจากนี้
พวกเขาล้วนต้องการเกี้ยวพาราสีเชี่ยว เย่ว์หลาน พอพวกเขาพบเจ้า ย่อม
ต้องคิดใช้โอกาสนี้แสดง พละกําลังเป็นแน่” ฉินหยุนยิ้มตอบ
“เยี่ยมไปเลย นี่ค่อยเป็นการต่อสู้ที่ยุติธรรม หน่อย พวกเขาจะได้ลงมือ
เต็มที่ ข้าเองก็เช่นกัน!” เซี่ยอู่เพิ่งทราบว่าพละกําลังของฉินหยุนคล้ายหลุม
ไร้ก้น ครั้ง ล่าสุดที่เขาได้เห็นฉินหยุนโจมตีฝูงอสูรมังกรราชสีห์ เขาแทบไม่
อาจหยั่งถึงพละกําลังของฉินหยุน เซี่ยอู่เฟิงพาฉินหยุนและเสวี่ยซือเยี่ยไป
ยังโรงเตี้ยม มุ่งสู่ชั้นที่หรูหราที่สุด เพราะเขาเป็นนักบุญที่เหนือลํ้าของ
ตําหนักศักดิ์สิทธิ์ เขาจึงได้รับสิทธิประโยชน์มากมายให้ดื่มกินที่นี่อย่าง
เต็มที่
พวกเขาตอนนี้อยู่ในห้องส่วนตัว ขณะเพิ่งสั่งอาหารเสร็จ มู่ หรงต้าเหริน
ฮั่วจง และหลันเฟิ งจินก็มาถึงแล้ว
“น้องหยุน ในที่สุดเจ้าก็มาตําหนักศักดิ์สิทธิ์วิญญาณสีคราม! เจ้าต้องมา
ที่นี่เพื่อเข้าร่วมการแข่งขันเป็นแน่ ข้ากล้าพนันว่า เจ้าต้องชนะ!”
มู่หรงต้าเหรินคว้าตะเกียบขึ้นตักอาหารอย่างไม่ รีรอ เขาไม่เคยมีมารยาท
เช่นเคย ฮั่วจงยิ้มให้ “หากข้าอยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เก้า คงเข้า
ร่วมไปด้วยแล้ว น่าเสียดายนักเพียงขาดไปเล็กน้อย!”
“พี่รอง พี่สาม ไม่ใช่พวกท่านคิดอยากกินอาหารและไวน์ของพี่ ใหญ่เซีย
มาตลอดหรือ? ตอนนี้ได้เวลาแล้ว!” ฉินหยุนยิ้มกว้าง มู่หรงต้าเหรินเริ่มลุย
กินอาหาร ต่อหน้าคนคุ้นเคย เขายิ่งไม่มาก มารยาท หลันเฟิ งจินพอนั่งลง
จึงเอ่ยคําออก
“ซือเยี่ย ข้าได้ยินว่าเจ้ามา ที่นี่เพื่อเข้าร่วมตําหนักตะวันออกใช่หรือไม่?”
เสวี่ยซือเยี่ยพยักหน้ารับ “เอ่อ อันที่จริงตําหนักตะวันออกยอมรับข้าแล้ว
ภายหน้าข้าจะได้เป็นศิษย์ของตําหนักดวงดาว วิญญาณสีคราม หวังว่า
พี่หลันและศิษย์พี่คนอื่นจะช่วยดูแลข้า เป็นอย่างดีนะ!”
มู่หรงต้าเหรินยิ้มตอบ “ย่อมดี ย่อมดี หน่วยของพวกเราใน ตําหนัก
ดวงดาววิญญาณสีครามยิ่งมายิ่งแข็งแกร่ง! น้องหยุน เล่าเมื่อใดคิดเข้า
ร่วม? ด้วยความสามารถระดับเจ้า ย่อมได้รับ การดูแลเช่นเดียวกับพี่
ใหญ่เซี่ยแล้ว”
เซี่ยอู่เฟิง หลันเฟิ งจิน ทั้งสองหันสายตามองฉินหยุน พวกเขา คิดคาดหวัง
ให้เขาเข้าร่วมเช่นเดียวกัน
“ดังข้าเคยพูดไป เมื่อข้าจัดการเชี่ยวหยางหลงและได้รับ ตําแหน่งหัวหน้า
ศิษย์ของตําหนักตะวันตก!” ฉินหยุนยิ้มอ่อน
“เหตุใดพวกท่านลืมเลือนเช่นนี้กันเล่า?” มู่หรงต้าเหรินถอนหายใจ
“ตัวสารเลวเชี่ยวหยางหลงนั้น ไม่ใช่ อะไรที่ง่ายรับมือด้วย! พี่ใหญ่เซี่ยคือ
ขอบเขตวรยุทธ์เต๋า ดังนั้น จึงเคยสู้กับเชี่ยวหยางหลงครั้งหนึ่ง เจ้าควรถาม
เขาว่าอีกฝ่าย แข็งแกร่งขนาดไหน!” หลันเฟิ งจินยกจอกไวน์ดื่มไปอีกใหญ่
“ข้าประมือกับเชี่ยวหยาง หลงมาก่อน เขาแข็งแกร่งจริง!”
“ข้าสามารถจัดการเชี่ยวหยางหลง แต่หากข้าทุ่มสุดตัว จะเป็น ข้าทํา
ตัวเองได้รับบาดเจ็บ!” ใบหน้าของเซี่ยอูเฟิ งเคร่งเครียด ขณะกล่าว
“น้องหยุน เจ้าต้องก้าวสู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋าจึงค่อย จัดการเขาได้!” ฮั่วจง
ถอนหายใจ
“ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะก้าวสู่ขอบเขตวรยุทธ์ เต๋า! พวกท่านล้วนอายุยี่สิบ
ดังนั้นจึงเป็นเรื่องง่ายก้าวสู่ ขอบเขตวรยุทธ์เต๋า ทว่าน้องหยุนอายุยังไม่ถึง
สิบแปดปีเลย ด้วยซํ้า!”
“ข้าไม่เคยได้ยิน ว่ามีผู้ใดที่อายุน้อยกว่ายี่สิบปีสามารถก้าวสู่ ขอบเขตวร
ยุทธ์เต๋า กระทั่งเชี่ยวเย่ว์หลาน ยังต้องเก็บตัวหลาย ปีจึงค่อยก้าวสู่
ขอบเขตวรยุทธ์เต๋าได้!”
“อย่าได้พูดเรื่องนี้แล้ว ดื่มกินกันดีกว่า!” ฉินหยุนยิ้มกว้าง ขณะยกแก้วเป็น
การเชื้อเชิญทุกคน ไม่มีผู้ใดคิดอยากวางแรงกดดันแก่ฉินหยุนเพิ่ม ดังนั้น
จึงไม่คิด กล่าวเรื่องนี้ต่อ พวกเขาร่วมดื่มกับฉินหยุน ฉินหยุนดื่มไวน์ไปอีก
ใหญ่ค่อยถาม
“งานที่จัดขึ้นโดยตําหนัก ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณสีคราม ค่อนข้างยิ่งใหญ่นัก นี่
ย่อมเป็นพวก เขาคิดอยากแสดงพลังอํานาจแน่” หลันเฟิ งจินพยักหน้า
“เป็นเช่นนั้น เพราะตําหนักตะวันตกและ ตําหนักใต้ ช่วงนี้ยิ่งมายิ่ง
แข็งแกร่ง พวกเขาคิดอยากสะกดข่ม ตําหนักศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นพวกเราจึงใช้
โอกาสนี้ แสดงพละกําลัง ของตําหนักศักดิ์สิทธิ์ พวกเราจะกลายเป็น
สะกดข่มพวกเขาใน งานครั้งนี้แทน!”
ฉินหยุนยิ้มตอบ “แผนการของตําหนักศักดิ์สิทธิ์คงโดนข้า ทําลายแล้ว ข้า
ย่อมเป็นผู้ที่สะกดข่มทั้งตําหนักดวงดาว วิญญาณสีคราม!”
มู่หรงต้าเหรินหัวเราะตอบ “น้องหยุน ครั้งนี้ดูเจ้ามั่นใจนัก! พวกเราก็คาด
เดากันว่าเจ้าต้องมา แต่คิดว่าเจ้าจะเข้าร่วม เพียงแต่การประลองจารึก
เสียอีก”
“ฉินหยุน ข้าเองก็คิดว่าเจ้าน่าจะเข้าร่วมการประลองจารึก ได้ ยินว่า
รางวัลการประลองจารึกครั้งนี้ค่อนข้างลํ้าค่าไม่น้อย แต่ เจ้ากลับไม่เข้า
ร่วม! ไม่ว่าเจ้าจะคิดเห็นเช่นไร การประลองจารึกย่อมไม่มีการบาดเจ็บ
ถือว่าปลอดภัยกว่าเยอะ” หลันเฟิง จินเอ่ยคํา
เสวี่ยซือเยี่ยเอ่ยถาม “พี่หลัน ความหมายที่ท่านพูด คือท่านก็ เข้าร่วมการ
ประลองจารึกเช่นกันหรือ?”
หลันเฟิ งจินจึงหัวเราะออก “แน่นอน! ข้าเป็นอาจารย์จารึก ระดับสูงยังสาว
ย่อมเข้าร่วมการประลองจารึกอยู่แล้ว ไม่ว่าข้า จะได้รับอันดับหนึ่งหรือไม่
ข้าก็ยังคงได้รับอยู่ดี ตําหนัก วิญญาณดวงดาวสีคราม ย่อมมอบข้อเสนอดี
งามแก่ข้าเพื่อให้ เข้าร่วมการแข่งขันนี้ พวกเขาอย่างน้อยก็ต้องไว้หน้า
สํานักพวกเรา!”
“พี่หลัน ระดับจารึกของท่านสมควรดีใช่หรือไม่? เป็นท่าน มั่นใจว่า
สามารถได้รับสามอันดับแรก?” ฉินหยุนเอ่ยถาม
“โอกาสได้รับอันดับหนึ่งย่อมไม่มาก! สําหรับสามอันดับแรก ยากจะกล่าว
แต่อันดับของข้าย่อมไม่ตํ่าเตี้ยอย่างแน่นอน!” หลันเฟิงจินกล่าวอย่าง
มั่นใจ
“น่าเสียดายที่เจ้าไม่เข้าร่วม ไม่เช่นนั้น ด้วยพละกําลังระดับเจ้า การได้เป็น
ห้าอันดับแรกไม่ น่าจะมีปัญหา เจ้าต้องทราบว่าการประลองจารึกของปีนี้
หาได้ เล็กไม่ ทั้งหมดล้วนเป็นอาจารย์จารึกระดับกลางและสูงที่ไหล หลั่ง
จากทั่วสารทิศเพื่อเข้าร่วม”
ฉินหยุนส่ายศีรษะและยิ้มตอบ เขาคิดเก็บเรื่องตนเข้าร่วมการ แข่งขันทั้ง
สองเป็นการชั่วคราว ไว้เขาค่อยพูดถึงเรื่องนี้เมื่อถึง เวลา
ผ่านทั้งการกินอาหารและหยอกล้อ พวกเขาคุยกันอยู่พักหนึ่ง จึงค่อย
ออกมา ฉินหยุนกลับสู่โถงทดสอบ ก็พบว่าจ้าวฉวนกลับมาพอดีเช่นกัน
“ผู้อาวุโสใหญ่ คืนนี้พวกเราพักผ่อนที่ใดขอรับ?” ฉินหยุนถาม
“วางใจ ข้าย่อมจัดแจงทุกอย่างแก่เจ้าแล้ว! ในตําหนัก ศักดิ์สิทธิ์ ข้ามี
สหายในหมู่อาจารย์จารึก” จ้าวฉวนพอกล่าวจบ เขาจึงพาฉินหยุนเดิน
ผ่านเส้นทางเล็ก แคบ พาหนะเบาเคลื่อนที่ผ่านตําหนักศักดิ์สิทธิ์ไป
ไม่นานจากนั้น จ้าวฉวนและฉินหยุนค่อยมาถึงป่ าเล็กทางตอน เหนือของ
ตําหนัก ในป่ าเล็กแห่งนี้ มีบ้านไผ่อยู่หลายหลัง และหลังตรงหน้าพวก เขา
นี้ ก็มีโต๊ะหินขนาดใหญ่ตั้งเอาไว้
ด้านข้างโต๊ะหิน เป็นชายชราในชุดสีขาวไว้หนวดเครายาว เขา กําลังถือ
พู่กันวาดเขียนอะไรสักอย่างบนโต๊ะหิน ไม่มีผู้ใดทราบ ว่าเขากําลังวาดอัน
ใดอยู่ หลังจากฉินหยุนและจ้าวฉวนเดินมาถึง ผู้อาวุโสหนวดเครา ยาวก็
ยังตั้งสมาธิเช่นเคยอยู่ เขากําลังมองโต๊ะหินพร้อมใช้พู่กัน ขนาดใหญ่วาด
เขียนบางสิ่งลงไป
พอเข้าใกล้ระยะหนึ่ง ฉินหยุนค่อยประหลาดใจ พบว่าแม้คนผู้นี้ มีหนวด
เคราและเส้นผมสีขาว ทว่าใบหน้ากลับยังเยาว์และหล่อเหลา ภายใต้คิ้วสี
ขาวราวหิมะและแหลมคมดั่งดาบ ดวงตาคู่นั้นเผยประกายความแข็งแกร่ง
ออกมาขณะจับจ้องที่ ปลายพู่กัน
“เหล่าหลัน เป็นเจ้าฝึกฝนผังจารึกอีกแล้ว! วิธีการนี้ออกจะยาก ไปเสีย
หน่อยนะ!” จ้าวฉวนหัวเราะเล็กน้อย
“ข้านําสหายน้อย มาอยู่ที่นี่ด้วยพักหนึ่ง” ชายชราที่หล่อเหลาและใบหน้า
ยังเยาว์ผู้นี้ พลันปล่อยวางงาน ในมือ ชุดผังจารึกพลันปรากฏบนโต๊ะหิน
จากนั้นจึงหายวับไป ฉินหยุนตระหนก
แม้เพียงชั่วครู่ เขาก็บอกได้ว่าชุดผังจารึกเมื่อ สักครู่นี้ ทั้งซับซ้อนและลึก
ลํ้าเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ มันยัง เกิดขึ้นเป็นพลังวิญญาณอ่อน ๆ ด้วยซํ้า
โดยทันทีเขาจึงเข้าใจ ว่าชายชรากําลังใช้พู่กันเพื่อโคจรพลังวิญญาณใน
อากาศสร้างขึ้นเป็นผังจารึก นี่จะช่วยให้เขาสร้าง เสริมศักยภาพถึงระดับ
หนึ่งได้สําเร็จ ทว่ากระบวนการมันยากเย็นเกินไป!
“นามฉินหยุน ใช่หรือไม่?” ผู้อาวุโสมองที่ฉินหยุน ยิ้มและเอ่ย ปากออก
ถาม “ฉินหยุน นี่คือสหายข้า หลันฮัวอวี้ เขาเป็นอาจารย์จารึกระดับ ลึกลํ้า
สามารถขัดเกลาอุปกรณ์ระดับลึกลํ้าได้” จ้าวฉวนกล่าว
“ยินดีที่ได้พบขอรับท่านผู้อาวุโส!” ฉินหยุนเร่งรีบกล่าวทักทาย อย่างมี
มารยาท กระนั้น เขาก็ยังคงมีความอึ้งที่ไม่อาจปิดได้มิด เขาถึงขั้นได้พบ
อาจารย์จารึกระดับลึกลํ้าที่ยังมีชีวิตอยู่ด้วย ตนเอง! หลันฮัวอวี้ยิ้มและ
พยักหน้ารับ
“เด็กน้อยเฟิ งจินเอ่ยถึงเจ้าแก่ ข้ามาหลายครั้ง นอกจากนี้นางยังแสดง
ยันต์สะกดกายที่เจ้าขัด เกลาแก่ข้าด้วย นับว่าน่าซึ่ง สําหรับผู้ที่อายุยัง
เยาว์เพียงนี้แต่มี ศักยภาพถึงระดับนี้ หาได้ยาก หาได้ยากนัก!”
“ผู้อาวุโส พี่หลันเป็นอะไรกับท่านหรือขอรับ?” ฉินหยุนเองก็ ทราบ ว่าห
ลันเฟิ งจินย่อมมีพื้นเพไม่ธรรมดา
“นางเป็นหลานสาวของข้า!” หลันฮัวอวี้ หัวเราะออก
“เด็กสาว ผู้นั้นสืบทอดผังจารึกของข้า เป็นข้าหวังว่านางจะประสบ
ความสําเร็จเช่นข้าในภายหน้า!” ปู่ของหลันเฟิ งจิน แท้จริงเป็นผู้ทรง
อํานาจเพียงนี้ ดังนั้นแล้ว ครอบครัวของนางย่อมต้องไม่ธรรมดาอย่าง
แน่นอน! ฉินหยุนยิ่งสับสน หลันเฟิ งจินมีงูที่แข็งแกร่งเพียงนี้ เหตุใดนาง
จึงต้องการให้เขาสร้างยันต์ต่อชีวิต? ด้วยพละกําลังของหลันฮัวอวี้” เขา
ย่อมต้องทํามันขึ้นได้อย่างง่ายดาย
“เหล่าหลัน หลานสาวของเจ้าเองก็ลงทะเบียนเข้าร่วมการ ประลองจารึก!
เป็นเจ้าคิดว่านางจะได้อันดับใด?” จ้าวฉวน หัวเราะ
หลันฮัวอวี้ กล่าวตอบ “กระทั่งคนนอกระดับกลางยังสามารถ เข้าร่วมการ
ประลองจารึก ทว่าการทดสอบพื้นฐาน เฟิ งจินย่อม มีพื้นฐานแข็งแกร่ง ทั้ง
ยังเป็นขอบเขตวรยุทธ์เด็ด้วยวัยเยาว์ กระทั่งตาเฒ่าพวกนั้นไม่ดีเท่านาง
ข้าก็ไม่อาจมั่นใจได้ การแข่งขันมีทั้งสิ้นห้ารอบ เมื่อพิจารณาแล้ว นาง
สามารถเข้ารอบ ที่สามได้ก็ถือว่าดีแล้ว!”
ตอนที่ 298 นักบุญที่หยิ่งผยอง
จ้าวฉวนยิ้มอ่อน เขาไม่ได้บอกต่อหลันฮัวอวี้ ว่าฉินหยุนเข้า ร่วม
เช่นเดียวกัน ในหลายวันถัดมา ฉินหยุนอยู่ที่บ้านไม้ของหลันฮัวอวี้ โดย
หลัก เขาจะตรวจสอบวิชายุทธ์ที่ตนเชี่ยวชาญ หลายวันให้หลัง จ้าวฉวน
ค่อยมาแจ้งเขา ให้ไปยังตําหนักยุทธ์ วิญญาณ เพราะการแข่งขันกําลังจะ
เริ่มต้นขึ้นแล้ว!
ที่ตรงกลางของตําหนักยุทธ์วิญญาณ มีที่โล่งกว้างขนาดใหญ่ มาก มัน
เป็นลานจัตุรัสกว้างที่ล้อมด้วยฝูงชน พวกเขาบางคน มาที่นี่ เพื่อเข้าร่วม
การประลองยุทธ์ ขณะที่ผู้อื่นซึ่งเป็นศิษย์ ของตําหนักดวงดาววิญญาณสี
คราม เพียงมาเพื่อรับชม ฉินหยุนทราบว่า การประลองจารึกจะเริ่มขึ้น
ในช่วงบ่ายที่ ตําหนักวิญญาณจารึก
ส่วนรอบหลังจากนั้น เขาไม่ทราบว่าจะมีช่วงเวลาขัดแย้ง ระหว่างทั้งสอง
การแข่งขันหรือไม่ เขาได้แต่ต้องก้าวไปทีละก้าว หากเวลาทับซ้อน เขาก็
ต้องตัดสินใจว่าจะยอมปล่อยวางด้านทางด้านการประลองยุทธ์ รอบแรก
โดยหลักก็เพื่อคัดกรอง ความสามารถของผู้เข้าร่วม และกําจัดเอาผู้ที่
อ่อนแอออกไป มีเพียงผู้ที่ยืนหยัดจนกระทั่งถึงสิ้นสุด จึงสามารถเข้าร่วม
การ ประลองยุทธ์ได้!
พอฉินหยุนมาถึงที่ทางเข้าตําหนักยุทธ์วิญญาณ เขาได้เห็นกลุ่ม นักบุญ
หลายคนกําลังยืนออกันอยู่ เซี่ยอูเฟิง ฮั่วจง และมู่หรงต้าเหรินเองก็อยู่ แม้
พวกเขาไม่ได้ เข้าร่วม พวกเขาก็คิดอยากมารับชมอะไรตระการตาบ้าง
อย่างไรแล้ว ฉินหยุนและยอดฝีมือรุ่นเยาว์หลายคนของตําหนัก ศักดิ์สิทธิ์
ที่เข้าร่วม
“น้องหยุน การแข่งขันประลองยุทธ์จะเริ่มเป็นทางการในวันนี้ หวังว่าจะได้
เห็นเจ้าแสดงความสามารถที่เหนือลํ้าออกมา!” เซี่ยอูเฟิงยิ้มกล่าว
“ขอรับ ข้าย่อมทําเต็มที่!” ฉินหยุนพยักหน้ายิ้มรับ เด็กหนุ่มในชุดรัดรูปสี
นํ้าเงินทองคําพลันก้าวเดินเข้ามาหาฉัน หยุน เป็นเด็กหนุ่มร่างบางทว่า
ใบหน้าหล่อเหลา กระนั้น ใบหน้าหล่อเหลานี้ก็ยังเปี่ยมด้วยความอหังการ
สายตานั้น พิจารณาฉินหยุนด้วยความเดียดฉันท์และริษยา
“เจ้าคือคู่หมั้นของเซี่ยวเย่ว์หลาน?” เด็กหนุ่มเอ่ยถามด้วย นํ้าเสียงรังเกียจ
“ก็แค่นี้ ไม่เห็นจะมีอะไรพิเศษ!” เซี่ยอูเฟิ งเผยสีหน้าเย็นเยือก
“จื้ไค่หลิน เจ้าหมายความว่า อย่างไร?” แต่ เด็กหนุ่มอหังการผู้นี้นามจี้ไค่
หลิน ฉินหยุนได้ยินหลันฮัวอวี้เอ่ย ถึงมาก่อน กล่าวกันว่าเขาอายุเยาว์ที่สุด
ท่ามกลางขอบเขต กายวรยุทธ์ของตําหนักศักดิ์สิทธิ์ ด้วยอายุสิบแปดปี
พร้อมเส้นวิญญาณถึงเจ็ดเส้น เขาครอบครองวิญญาณยุทธ์สัตว์ใน
ตํานาน กิเลนสายฟ้า เขายังเยาว์ยิ่งกว่าเชี่ยวเย่ว์หลานราวสองถึงสาม
เดือน
ทว่าเป็น เขาเชื่อมั่นว่าพละกําลังของตนเองเหนือลํ้ากว่าเชี่ยวเย่ว์หลาน
นอกจากนี้ เขายังเป็นที่รู้จักในวงกว้าง ว่าเป็นคนหนุ่มที่สุดและ แข็งแกร่ง
ที่สุด ของขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เก้าในตําหนัก ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณสี
คราม!
ทั้งนี้ ครอบครัวของจี้ไค่หลินและบรรพบุรุษ ถือตําแหน่งสําคัญ ของ
ตําหนักดวงดาววิญญาณสีคราม ทั้งสองฝ่ายถือว่าทรง อํานาจกันทั้งคู่ จี้
ไค่หลินเป็นบุคคลผู้ซึ่งถูกกล่าวขานมากที่สุดในตําหนัก ดวงดาววิญญาณ
สีคราม ดังนั้นแล้ว จึงเป็นปกติที่เขาจะมอง เหยียดต่อผู้อื่น
“ไม่มีอันใด ข้าเพียงรู้สึกว่าเขาไม่เหมาะสมกับเชี่ยวเย่ว์หลาน! หากเขา
ตายเสียที่นี่ เย่ว์หลานก็จะเป็นของข้า!” จี้ไค่หลิน หัวเราะ
“หากข้าได้พบเขาบนลานประลอง ย่อมต้องเอาชนะได้ อย่างแน่นอน ถึง
ตอนนั้น เย่ว์หลานจะได้เห็นว่าคู่หมั้นของนาง อ่อนแอเพียงใด!”
นักบุญหนุ่มอีกคนเดินเข้ามากล่าวเหยียด
“ฉินหยุนอ่อนแอกว่า เชี่ยวเย่ว์หลานตั้งแต่แรกแล้ว เรื่องนี้ทุกคนต่างทราบ
กันดี ดังนั้นทุบตีมันไปย่อมไม่ได้อะไร บางทีอาจยิ่งทําให้เชี่ยวเยว์ หลาน
เกลียดชังเจ้ามากขึ้นด้วยซํ้า!”
“ไอ้หยา ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าคงไม่กล้าทุบตีมันแล้ว! เฮ้อ เป็น บุรุษเพศ
เติบโตมาอย่างไรให้โดนสตรีเพศปกป้อง ช่างน่าอับ อายนัก!” จี้ไค่หลิน
กล่าวเย้ย
“ฉินหยุน ข้าต้องบอกเลยว่านับ ถือเจ้านัก ความสามารถในการกินผลไม้
ก่อนสุกงอมของเจ้า ช่างลํ้าเลิศในโลกหล้า สงสัยนักว่าอะไรกันที่เจ้าใช้
ล่อลวงเย่ว์ หลานให้หลงเจ้าเพียงนี้ได้!”
“ตราบเท่าที่เจ้าฆ่าฉินหยุน เจ้าก็มีโอกาสได้รู้!” นักบุญคนหนึ่ง หัวเราะ
“แต่เจ้ากล้าหรือไม่เล่า?”
เซี่ยอู่เฟิงกล่าวคําออกเสียงเย็น “พวกเจ้าพูดกันพอแล้ว จงรีบ ไปเข้าร่วม
การแข่งขันประลองยุทธ์! ผู้ใดแข็งแกร่งกว่า จะเผย ออกผ่านการประลอง
ยุทธ์ คําพูดไม่อาจบ่งบอกถึงกําลัง!”
จี้ไค่หลินคล้ายไม่กล้ายั่วยุเซี่ยอูเฟิ ง เขาได้แต่แค่นเสียงใส่ฉิน หยุนก่อน
เดินเข้าตําหนักยุทธ์วิญญาณ “น้องหยุนอย่าได้มีโทสะ เจ้าพวกนี้ก็เป็น
เช่นนี้” เซี่ยอู่เฟิง กล่าว
ฉินหยุนมองตามจี้ไค่หลินและกล่าวอย่างเฉยชา “แน่นอนว่าข้า ไม่โกรธ
คนเช่นมันไม่มีค่าคู่ควรให้ข้าต้องโกรธ!”
กล่าวคําจบ เขาก็เร่งรีบเดินเข้าไปตําหนักยุทธ์วิญญาณ ภายในตําหนัก
ยุทธ์วิญญาณ ผู้ฝึกตนที่เข้าร่วมล้วนมาถึง ทั้งหมดมีเกินกว่าพันคน พวก
เขาเหล่านั้นทั้งหมดต่างอยู่ ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เก้า ชายวัย
กลางคนถือว่าเยอะที่สุด นอกนั้นจะเป็นคนจากสถาบัน ยุทธ์ระดับเสวียน
รวมถึงผู้ที่มาจากตําหนักดวงดาววิญญาณสี ครามก็เช่นกัน
ที่ต้องตาที่สุด ย่อมเป็นกลุ่มนักบุญของตําหนักศักดิ์สิทธิ์ วิญญาณสีคราม
พวกเขาล้วนแข็งแกร่ง เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็วิบ วับเป็นประกาย ฉินหยุนและ
เสวี่ยซือเยี่ยยืนด้วยกันขณะรับฟังกฏของรอบที่ หนึ่ง การประลองยุทธ์มี
ทั้งสิ้นห้ารอบ และรอบที่ห้าจึงเป็นการ ประลองยุทธ์ของจริง ส่วนสี่รอบ
แรกทั้งหมดเป็นการคัดตัว หลังจบการประลองยุทธ์
เมื่อนั้นจึงเป็นพิธีเฉลิมฉลองตําหนัก ศักดิ์สิทธิ์ที่ครบรอบห้าพันปี ตําหนัก
ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณสีคราม เชื่อมั่นว่าผู้ชนะของการ ประลองยุทธ์ และการ
ประลองจารึก ย่อมต้องเป็นคนของ ตนเอง เมื่อถึงเวลางานพิธี หากผู้ชนะ
เป็นคนนอก คงน่าดูชม ไม่ใช่น้อย สําหรับผู้ที่มารับชมการประลอง ต่างได้
ยินว่าเชี่ยวเย่ว์หลานไม่ เข้าร่วม พวกเขาล้วนเสียใจ ทว่าฉินหยุนมาถึงจึง
ค่อยทําให้พวกเขาไม่ผิดหวังเท่าใดนัก
ในเมื่อฉินหยุนก้าวถึงขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เก้า เขาย่อม ต้อง
แข็งแกร่ง แต่ว่าเขาแข็งแกร่งเพียงใด ยังไม่มีผู้ใดทราบ ณ เวลานี้ การ
ประลองยุทธ์ถือเป็นการรวมกันของผู้ฝึกตน ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่
เก้า ทั้งหมดล้วนเป็นคู่ต่อสู้ของฉัน หยุน เมื่อถึงเวลา ทุกคนจะได้เห็น
พละกําลังของฉินหยุน!
“รอบแรกเป็นการทดสอบความอดทนทางจิต พวกเจ้าเรียง แถวหน้า
กระดานสิบ และทดสอบสิบคนต่อครั้ง!”
หญิงวัย กลางคนที่รับหน้าที่ดําเนินงานตะโกนขึ้นเสียงจริงจัง โดยทันที
ผู้เข้าร่วมแข่งขันจึงตั้งแถวเรียงสิบรอคอยให้การ ทดสอบเริ่มขึ้น
การทดสอบพลังจิต รับหน้าที่โดยลูกแก้วปีศาจลวงตา ยิ่งก้าว เดินเข้าสู่ใจ
กลางตําหนักยุทธ์วิญญาณได้มากเท่าใด ก็ยิ่ง หมายความถึงพลังจิตที่
แกร่งกล้าเท่านั้น พื้นที่กว้างตรงกลางของตําหนักยุทธ์วิญญาณ จัดเตรียม
เอาไว้ เพื่อการทดสอบเป็นพิเศษ
คนกลุ่มแรกสิบคน พวกเขาต่างถือลูกแก้วสีดําไว้ในมือ หลัง เสียงระฆังดัง
ขึ้น พวกเขาค่อยก้าวเดินออกไปด้านหน้า
บางคนก้าวได้เพียงสองก่อนจะล้มลงกับพื้นและตะโกนร้อง ราว กับพบ
เห็นภูตผีก็ไม่ปาน บางคนค่อยกรีดร้องหลังก้าวไปได้ราวสี่ถึงห้าก้าว ราว
กับพวก เขาเจ็บปวดยิ่ง ผู้อื่นล้วนเผยสีหน้าชั่วร้ายออก ราวกับพวกเขา
กําลังทําเรื่องที่ชวนให้ไม่ควรกล่าวถึง
“ลูกแก้วปีศาจลวงตาสามารถปลุกปีศาจภายในใจบุคคล และ ยิ่งขับเน้น
ให้ความคิดชั่วร้ายนั้นทะยานสูงสุด หลังถือไว้และ ก้าวเดิน มันจะสร้าง
ภาพลวงตาแก่พวกเขาถึงสิ่งที่พวกเขา ต้องการ ดังนั้นแล้ว พวกเขาจะได้
ทําในสิ่งที่ปกติไม่อาจหรือไม่ กล้ากระทํา แน่นอนว่า ภาพลวงตายิ่งสมจริง
เมื่อพวกเขาทํา เรื่องเลวร้าย พวกเขาย่อมต้องถูกลงทัณฑ์!” ชายชราที่เป็น
ผู้ชมคนหนึ่ง อธิบายถึงลูกแก้วปีศาจลวงตา
ศิษย์รุ่นเยาว์หลายคนค่อยเข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น พวกเขา รู้สึกยินดี
ขึ้นมาที่ไม่เข้าร่วม ไม่เช่นนั้น พวกเขาคงได้เผยความ ชั่วร้ายภายในใจ
ออกมาอย่างแน่นอน!
หากพลังจิตไม่กล้าแกร่ง ย่อมถูกยั่วยุโดยปีศาจภายในใจ โดยง่าย
ความคิดอันชั่วร้ายของพวกเขาจะยิ่งเด่นชัด พวกเขา จะเริ่มคลั่ง และ
เริ่มทําสิ่งชั่วร้ายต่อภาพหลอน การทดสอบรอบแรก จํานวนผู้เข้าร่วมคือ
ห้าร้อยคน หากคนผู้ หนึ่งก้าวออกไปได้มากที่สุด พวกเขาจะได้รับรางวัล
เป็นไข่ผลึก แก้วสัตว์อสูร!
เพียงพริบตา กลุ่มคนสิบคนเมื่อครู่ มากที่สุดทําได้เพียงสิบห้าก้าวก็เกิดบ้า
คลั่งขึ้นมา ทว่า ผลลัพธ์เท่านี้ก็เพียงพอทําให้ผู้คน ทอดถอนใจด้วยความ
ชื่นชมแล้ว หลายต่อหลายคน ไม่อาจก้าวได้ถึงสิบ ถัดจากนั้น ถึงคราวของ
ศิษย์นักบุญจากตําหนักศักดิ์สิทธิ์ วิญญาณสีคราม!
ฉินหยุนอยู่ด้านหลัง เขายืนนิ่งรับชมกลุ่มผู้ฝึกตนเยาว์วัยที่สุด และ
แข็งแกร่งที่สุด สายตานี้จับจ้องที่จื้ไค่หลิน! จี้ไค่หลินมั่นใจในตนเองมาก
มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย เป็น รอยยิ้มที่อหังการ ลูกแก้วดําปีศาจลวงตาถือ
อยู่ในมือ เขาก้าว เดินออกอย่างรวดเร็ว หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว... ห้า
สิบก้าว... หนึ่งร้อยก้าว..
ทุกคนล้วนอดไม่ได้ที่จะร้องออก เมื่อจี้ไค่หลินเดินถึงหนึ่งร้อยก้าว สภาพ
คือเหงื่อไหลหลั่ง เขา เร่งรีบวางลูกแก้วปีศาจลวงตากับพื้น เพื่อหลีกเลี่ยง
ไม่ให้ ตนเองต้องเผยสภาพน่าเกลียดออกมา สําหรับนักบุญคนอื่น พวก
เขาสามารถทําได้แปดสิบถึงเก้าสิบก้าว เท่านี้ถือว่าน่าพึงพอแล้ว เรื่องนี้
ทําเอาผู้ฝึกตนหลายคนได้ เห็น ถึงความแตกต่างกว้างใหญ่ระหว่างศิษย์
ทั่วไปและศิษย์นักบุญ
ศิษย์ของทั้งสี่ตําหนักก็ทําได้ดี พวกเขาทั้งหมดสามารถก้าวไป ได้หลายสิบ
ก้าว ถือว่าทําได้ดีกว่าศิษย์ของสถาบันยุทธ์ระดับ เสวียน!
“ไค่หลินและคณะสมควรได้รับการฝึกฝนมาล่วงหน้า!” เสวี้ยซื่อเยี่ย ผู้ซึ่ง
ยืนตรงหน้าฉินหยุน แค่นเสียงเย็นกล่าวออก
“ศิษย์ ทั้งหมดของตําหนักดวงดาววิญญาณสีคราม มีเส้นทางการฝึก เป็น
แบบแผนนานหลายปี เพราะเหตุนั้นพวกเขาจึงก้าวหน้าได้ดียิ่งกว่าผู้ฝึก
ตนอื่น!”
“ซื่อเยี่ย เจ้ากลัวหรือ? เจ้ายังเยาว์และงดงาม หากถูกบังคับให้ ต้องเผย
ด้านน่าเกลียดออกมา เช่นนั้นคงไม่ดีนัก!” ฉินหยุน หัวเราะ ?
“ย่อมไม่กลัว ข้ามีความคิดชั่วร้าย แต่ตั้งแต่ยังเยาว์ พวกมันหา ได้หนัก
หนา พวกมันล้วนถูกข้าสะกดเอาไว้! หากข้าต้องการ ก้าวสักหลายก้าว
ย่อมไม่ใช่ปัญหา!” เสวี่ยซือเยี่ยกล่าว
ฉินหยุนไม่คิดสงสัยต่อคําพูดนาง เขาอยู่กับเสวี่ยซือเยี่ยมาก ระยะหนึ่ง
ดังนั้นจึงเห็นได้ว่านางแทบไม่แปรเปลี่ยนอารมณ์ให้ เห็น ชัดเจนว่านี่ก็เป็น
การฝึกฝนของนางอย่างหนึ่ง
“ฉินหยุน เจ้าเล่า? ตลอดช่วงหลายปีมานี้ เจ้าถูกรังแกและ ทรมาน
นอกจากนี้ สาวงามทั้งหมดรอบกายเจ้าล้วนมีสัมพันธ์ อันดีด้วย ย่อมมี
โอกาสให้เกิดขึ้นได้มากมาย ข้างหากจึงควร เป็นห่วงเจ้า!” เสวี่ยซือเยี่ยก
ล่าว
“เจ้ายังเป็นคนหุนหันพลัน แล่น แน่ใจแล้วหรือ?”
“แน่นอน!” ฉินหยุนยิ้มตอบ เขาฝึกฝนวิถีหัวใจตะวันดารา ทั้ง ยังมี
ประสบการณ์อันน่าสะพรึงในห้วงเอกภพ เขาประสบต่อ สภาพทางจิต
หลากหลายกว่าจะได้รับตะวันทมิฬมาครอบครอง กล่าวได้ว่า เขาควบคุม
ตัวเองได้ค่อนข้างดีเยี่ยม คิดต่อต้าน ภาพลวงตา สําหรับเขาแล้วไม่ใช่
ปัญหา
ผ่านไปพักหนึ่ง ค่อยถึงคราวเสวี่ยซือเยี่ย
เสวี่ยซือเยี่ยเป็นหนึ่งในผู้ฝึกตนสาวอายุเยาว์ นางฝึกฝนถึง ขอบเขตกายวร
ยุทธ์ระดับที่เก้า แทบเทียบเคียงได้กับฉินหยุน ดังนั้นนางจึงได้รับความ
สนใจไม่น้อย ศิษย์หลายคนจากตําหนักดวงดาววิญญาณสีครามมีโทสะ
ยาม เมื่อเห็นเสวี่ยซือเยี่ยยืนอยู่หน้าฉินหยุน นี่ก็เพราะฉินหยุนมี เชี่ยวเย่ว์
หลานอยู่แล้ว กระนั้นเขายังคิดเอาอกเอาใจหญิงสาว ที่เหนือลํ้าเช่นนี้อีก
คนหนึ่ง เสวี่ยซือเยี่ยถือลูกแก้วปีศาจลวงตา ก้าวเดินออกรวดเร็ว เพียง
พริบตา กว่ายี่สิบก้าวผ่านไปแล้ว เสียงฮือฮารอบด้านจึงดังขึ้น!
“นางยังคงเดินต่อไปได้! น่าทึ่งนัก! สาเหตุว่าทําไมศิษย์ของ ตําหนัก
ดวงดาววิญญาณสีครามสามารถเดินได้หลายก้าว ย่อม เป็นเพราะฝึกฝน
กับลูกแก้วปีศาจลวงตาบ่อยครั้ง สําหรับเสบี้ย ซื้อเยี่ย นางเพียงเพิ่งเข้า
ร่วมตําหนักตะวันออก เป็นนางไม่เคย ได้รับการฝึกเช่นนี้มาก่อน!”
“สี่สิบก้าว!”
“ห้าสิบห้า!”
ผ่านไปห้าสิบห้าก้าว เสวี่ยซือเยี่ยค่อยวางลูกแก้วปีศาจลวงตา นางสูดลม
หายใจเข้าลึก คล้ายเกือบสูญเสียการควบคุมไป ผลลัพธ์ที่ได้ ทําเอาศิษย์
ที่เหนือลํ้าหลายคนของตําหนัก ดวงดาวรู้สึกอับอาย กระทั่งนักบุญยังต้อง
มองเสวี่ยซือเยี่ยใหม่! ถัดจากนี้ ในที่สุดก็ถึงคราวฉินหยุน! หลายคนต่าง
มองอย่างคาดหวัง ว่าจะเขาจะทําได้ถึงระดับไหน!
ตอนที่ 299 ผู้แข็งแกร่ง
ฉินหยุนรับเอาลูกแก้วปีศาจลวงตามาลูกหนึ่ง กระชับมันไว้ แน่นในมือ
ก่อนฝีเท้าก้าวออก ขณะเดินออกไป เขารู้สึกได้ถึงพลังจิตจากคลื่นอารมณ์
นานา ชนิดแทรกซึมเข้าสู่ร่างกาย จากนั้นจึงไหลสู่สมอง ขณะก้าวที่สอง
พลังจิตนั้นเริ่มรุนแรงขึ้น ราวกับมันคิดกลืนกิน จิตสํานึกของเขา
ภาพมายานานาชนิดพลันปรากฏ ความแข็งแกร่ง ความงาม และสมบัติ
ภาพมายานานาชนิด ปรากฏขึ้น ทันทีเมื่อภาพมายาเหล่านี้เผยให้เห็น คน
ผู้หนึ่งย่อม ต้องยินดีและเกิดความรู้สึกท่วมท้น จากนั้น พวกเขาจะคว้า
เอา ภาพมายาเหล่านั้น มาครอบครองให้หมดทั้งสิ้น นี่เป็นเพียงระลอก
แรกของภาพมายา เมื่อเขาเข้าสู่ระลอกแรก ย่อมต้องมีระลอกที่สอง
ภาพมายาระลอกที่สอง ฉินหยุนไม่ทราบ มันเป็นเพราะเพียง คิด เขาก็
สามารถลบล้างพลังจิตเหล่านั้นที่ไหลเข้ามาได้ เพียงพริบตา เขาก้าวไป
แล้วกว่าสิบก้าว!
เรื่องนี้ชวนประหลาดใจ เพราะเท่านี้ถือว่าเกินกว่าศิษย์ของสถาบันยุทธ์
ระดับเสวียนจํานวนมากแล้ว!
ทุกคนต่างรู้สึก ว่าเขาไม่น่าจะไปได้ไกลกว่ายี่สิบก้าว แต่แล้ว เพียงพริบตา
ยี่สิบก้าวผ่านพ้น ฉินหยุนยังคงมีสีหน้าสงบ
สําหรับฉินหยุน ลูกแก้วปีศาจลวงตา ไม่ต่างอะไรกับหินก้อนหนึ่ง มันไม่
อาจส่งผลกับอารมณ์ของเขาได้ ทุกครั้งที่ก้าวเดิน เป็นเขามั่นใจ เป็นเขา
ก้าวออกต่อไปไม่หยุด ทั้งยังไม่มีสีหน้าเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด! ผ่านไป
แล้วห้าสิบก้าว!
ทุกคนที่นี้ ต่างส่งเสียงร้องฮือฮากันออกมา
มากกว่าห้าสิบก้าว หมายความถึงเขามีระดับเทียบเคียงกับ ศิษย์ของ
ตําหนักดวงดาววิญญาณสีครามแล้ว!
ลูกแก้วปีศาจลวงตาที่ฉินหยุนถืออยู่ พลันสูญเสียอํานาจภายใต้ การ
สะกดข่มของเขา ด้วยเหตุนี้ มันจึงไม่ส่งผลใดกับเขาแพ้ เพียงนิด เมื่อถึง
ก้าวที่เจ็ดสิบ ทุกคนล้วนกายแข็งที่อย ฉินหยุนก้าวถึงระดับเดียวกับ
นักบุญวิญญาณสีคราม กระทั่ง เหนือลํ้ากว่าพวกเขา และตอนนี้ สีหน้า
ของเขายังคงสงบเช่น เคย กระทั่งเผยความผ่อนคลายด้วยซํ้า
จี้ไค่หลินอดไม่ได้ที่จะกําหมัดแน่น เขาคือผู้ที่ก้าวเดินได้มาก ที่สุดในการ
ทดสอบรอบแรก แต่แล้วฉินหยุน กําลังจะก้าวเกิน กว่าเก้าสิบก้าวแล้ว!
ก้าวที่หนึ่งร้อย!
ทุกคนอุทานร้องเสียงดัง บ้างก็สงสัยว่าลูกแก้วปีศาจลวงตานั้น มีปัญหา
อะไรหรือไม่!
ทางด้านฉินหยุน เขายังก้าวเดินออกอย่างต่อเนื่อง! ผ่านไปหนึ่งร้อยห้าสิบ
ก้าว เขาจึงค่อยหยุด และวางลูกแก้ว ปีศาจลวงตาไว้กับพื้น!
“ฉิน ฉินหยุน หนึ่งร้อยห้าสิบก้าว!” ผู้อาวุโสที่รับหน้าที่ดูแล ตะโกนขึ้นเสียง
ดัง จากนั้นจึงจดบันทึกสถิติของฉินหยุนเอาไว้ ฝูงชนพลันระเบิดเสียงร้อง
ฮือฮาดังขึ้น!
“เหนือกว่าจี้ไค่หลิน!”
“ลูกแก้วปีศาจลวงตานั่นมีปัญหาอะไรหรือไม่?”
“ตําหนักดวงดาววิญญาณสีคราม สถิติสูงที่สุดคือหนึ่งร้อยสี่สิบ ก้าว และ
นั่นก็เป็นผู้อาวุโสเฒ่าชรา เขากระทั่งเหนือกว่าผู้ อาวุโสของตําหนัก
ดวงดาววิญญาณสีคราม!”
“เป็นไปไม่ได้ ต้องมีการโกงเกิดขึ้นแน่!” ศิษย์หลายคนของตําหนักดวงดาว
ต่างพูดคุยกันเองอย่างออกรส
หลันเฟิ งจินรับชมอยู่ไกลออกไป นางขมวดคิ้วกล่าว “พลังจิต ของฉินหยุน
น่าสะพรึงยิ่ง กระทั่งข้ายังได้อย่างมากก็หนึ่งร้อยก้าว เขากระทั่งทําได้ถึง
หนึ่งร้อยห้าสิบก้าว!”
“ได้ยินมาว่า สถิติสูงที่สุดคือหนึ่งร้อยสี่สิบแปดก้าวโดยผู้อาวุโส! ฉินหยุน
ถึงขั้นเหนือกว่าผู้อาวุโส!” เซี่ยอู่เฟิ งอุทานออก ผู้เฒ่าหลายตอบสนองด้วย
สีหน้าไม่ยินดี พวกเขารู้สึกลําบากใจ ต่อเรื่องนี้
พวกเขามั่นใจ ว่าฉินหยุนไม่เคยผ่านการฝึกฝนอะไรเช่นนี้มา ก่อน นี่ย่อม
เป็นครั้งแรกที่เข้าใช้งานลูกแก้วปีศาจลวงตา แต่ ผลลัพธ์ที่ได้นี้ ไม่อาจเชื่อ
ได้ลง!
“ผู้อาวุโส ฉินหยุนต้องโกงเป็นแน่!” จี้ไค่หลินไม่ยินยอมรับ ผลลัพธ์ เขาเร่ง
ร้อนตะโกนขึ้น สายตาของเขามองตํ่าต่อฉิน หยุนมาโดยตลอด แต่ครานี้
ฉินหยุนกลับเหนือลํ้ากว่าเขา มันทํา เอาเขารู้สึกราวกับโดนแมลงวันกัดกิน
นักบุญอื่น รวมถึงศิษย์อื่นจากตําหนักดวงดาววิญญาณสีคราม ต่างก็
ทักท้วงเช่นเดียวกัน
ผู้อาวุโสในชุดนํ้าเงินเร่งรีบเดินไปหาฉินหยุน เขาตรวจสอบ ลูกแก้วปีศาจ
ลวงตาด้วยมือตัวเอง เป็นมันไร้ซึ่งปัญหาใด เขา ส่ายศีรษะและตอบกลับ
“ลูกแก้วทํางานเป็นปกติ หาได้มี ปัญหาใดไม่!”
สีหน้าทุกคนต่างสับสน หากลูกแก้วปีศาจลวงตาปกติ เช่นนั้น แล้วปัญหา
อยู่ที่ใด?
ไม่มีผู้ใดเชื่อว่าฉินหยุนจะทําได้ดีกว่าจี้ได้ หลินโดยไม่เคยผ่านการฝึกฝน
เฉพาะทางมาก่อน ฉินหยุนมีโทสะ เขาเพียงใช้พลังจิตที่แข็งแกร่งปกป้อง
สมอง ตนเองจากลูกแก้วปีศาจลวงตา อารมณ์ด้านลบที่รุกลํ้าทั้งหมด ถูก
กําจัด แต่เขากลับโดนตั้งข้อสงสัย!
“ผู้อาวุโส โปรดให้ฉินหยุนเริ่มการทดสอบอีกครั้ง นอกจากนี้ พวกเรายัง
ต้องป้องกันไม่ให้เขาโกงได้ในครั้งนี้” จี้ไค่หลินเป็น คนแรกที่ไม่ยอมรับ
เพราะเขามั่นใจว่าตนต้องเหนือลํ้ายิ่งกว่า ฉินหยุน ฉินหยุนแค่นเสียง
“ในเมื่อเจ้ากล่าวหาว่าข้าโกง จงบอกข้า ว่า ข้าโกงในการทดสอบพลังจิตนี้
อย่างไร?”
“ง่ายดาย ตราบเท่าที่ไม่ปล่อยให้มือของเจ้าสัมผัสลูกแก้ว ปีศาจลวงตา
ย่อมไม่เป็นไร เจ้าเป็นอาจารย์จารึก ย่อมมีวิธีการ กระทําโดยไม่ให้ถูกพบ
เห็นได้”
คํากล่าวของไค่หลินทําเอา หลายคนเห็นด้วย ผู้อาวุโสกล่าว “เอาตามนี้
ให้ข้าผูกมัดลูกแก้วปีศาจลวงตา แขวนไว้กับหน้าอกของฉินหยุน มือของ
เขาจะไม่อาจสัมผัสกับ ลูกแก้วปีศาจลวงตา ด้วยวิธีนี้จะไม่มีทางโกงได้
อย่างแน่นอน!”
จี้ไค่หลินพยักหน้า “หากทําเช่นนั้น และยังคงก้าวได้หนึ่งร้อย ก้าว ข้าก็
ยินยอมรับความพ่ายแพ้!”
“แม้ข้าไม่เคยฝึกฝนโดยใช้ลูกแก้วปีศาจลวงตามาก่อน แต่พลัง จิตของข้า
แข็งแกร่งด้วยวิธีการฝึกฝนทางอื่น”
ฉินหยุนรู้สึกไม่ยินดีที่ถูกผู้คนมากมายสงสัย “เอาอย่างนี้เป็นไร ให้ผูก
ลูกแก้วปีศาจลวงตากับข้าสองลูก! หากข้ายังเป็นอันดับ หนึ่ง มอบไข่ผลึก
แก้วสัตว์อสูรแก่ข้าสักสองฟองเป็นอย่างไร? หากสงสัยข้านัก เช่นนั้นก็ต้อง
แสดงความใจกว้างออกบ้าง นี่จึง ค่อยนับว่ายุติธรรม!”
เขาคิดอยากผูกมัดลูกแก้วปีศาจลวงสองสองลูกไว้กับตัวเอง นี่ มันบ้าไป
แล้ว! ลูกแก้วปีศาจลวงตาเพียงหนึ่ง ก็ทําให้ผู้คนร่วงหล่นสู่กับดัก ของ
ปีศาจร้าย หากเป็นสองลูก อาจเกิดการบ้าคลั่ง การกระทํา นี้เสี่ยงเกินไป!
หลังจากผู้อาวุโสหลายท่านหารือกัน พวกเขาค่อยยอมรับ ข้อตกลงของฉิน
หยุน ตําหนักศักดิ์สิทธิ์วิญญาณสีครามรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพ ดังนั้น
พวกเขาย่อมต้องแสดงความใจกว้างออกมาบ้าง ฉินหยุนมีลูกแก้วปีศาจ
ลวงตาสองลูกผูกกับร่างกาย หนึ่งที่อก หนึ่งที่หลัง เขากางแขนออก ดังนั้น
ทุกคนจึงได้เห็นว่ามือเขา ไม่ได้สัมผัสกับลูกแก้วปีศาจลวงตา ตําหนักยุทธ์
วิญญาณกลายเป็นเงียบงัน พวกเขาล้วนจ้องมอง ฉินหยุนเดินไปก้าวแล้ว
ก้าวเล่า! สิบก้าว ยี่สิบก้าว สามสิบก้าว... ห้าสิบก้าว.... ตําหนักยุทธ์
วิญญาณที่เงียบงันกลายเป็นเดือดพล่านขึ้นมา!
ครั้งนี้ไม่มีผู้ใดสงสัยว่าฉินหยุนคดโกง ไม่มีผู้ใดคิดว่าลูกแก้ว ปีศาจลวงตา
มีปัญหา!
แต่พวกเขายังคงไม่เชื่อ ด้วยอายุเยาว์เพียงนี้กลับควบคุม ตนเองได้ถึง
ระดับนี้ เขาย่อมต้องแข็งแกร่งถึงขนาดที่ลูกแก้ว ปีศาจลวงตาถึงสองลูกไม่
อาจส่งผลกระทบ!
ฉินหยุนมีลูกแก้วปีศาจลวงตาสองลูกมัดไว้กับร่าง หัวใจของ เขายังคงสงบ
เขาก้าวเดินต่อไปจนกระทั่งถึงหนึ่งร้อยห้าสิบก้าว!
สีหน้าจี้ไค่หลินกลายเป็นน่าเกลียด เขานึกว่าการควบคุมตนเอง ของเขา
ถือเป็นที่สุด เขานึกว่าสามารถได้รับอันดับหนึ่งในรอบ ที่หนึ่ง และนั่นจะ
ทําให้เขาได้ดื่มดํากับคําสรรเสริญจากผู้อื่น แต่ตอนนี้ พลังจิตและสภาวะ
จิตใจของฉินหยุน กลับเหนือลํ้า กว่าจี้ไค่หลิน!
จี้ไค่หลินครอบครองเจ็ดเส้นวิญญาณ รวมถึงวิญญาณยุทธ์ กิเลนสายฟ้า
เดิมเขาคือดาวเด่นในหมู่ดาว แต่ตอนนี้ ฉินหยุนกลับพรากเอาแสงดาว
ทั้งหมดไปจากเขา!
ที่น่าหัวเราะขบขันยิ่งกว่า คือก่อนหน้านี้เขาเย้ยหยันฉินหยุน ว่าไม่คู่ควร
กับเชี่ยวเย่ว์หลาน! หลันเฟิ งจินหัวเราะเบา “เจ้าหนูนี่ ซุกซ่อนอะไรไว้เยอะ
นัก! ไม่ นึกเลยว่าเขาจะฝึกฝนพลังจิตได้ถึงระดับนี้! จี้ไค่หลินคงโกรธ จน
หน้าเขียวแทบตายแล้ว!”
“ในชีวิตการฝึกฝนของน้องหยุน บ่อยครั้งเขาต้องอดทนต่อ ความเจ็บปวด
นานาชนิด มันทําให้เขามีเจตนํ้าจงทางสภาวะ จิตที่แข็งแกร่ง!” เซี่ยอู่เฟิ ง
ขมวดคิ้ว
“พวกเราไม่ทราบว่าเขา ฝึกฝนผ่านอะไรมาบ้าง!” รอบแรกจบลง ฉินหยุน
คือผู้ที่ก้าวได้มากที่สุด ดังนั้นจึงได้รับ รางวัล เป็นไข่ผลึกแก้วสัตว์อสูรสอง
ฟอง!
หลายคนต่างอิจฉา หากพวกเขานําไปแลกเป็นแต้มเสวียน ไข่ ผลึกแก้ว
สัตว์อสูรสองฟอง เท่ากับหนึ่งร้อยล้านแต้มเสวียน!
“ฉินหยุน ข้าย่อมต้องชนะเจ้า! เพียงเพราะมีพลังจิตแข็งแกร่ง หาได้
หมายความถึงเจ้าแข็งแกร่ง!” จี้ไหลินเดินผ่านฉินหยุน แค่นเสียงเย็นกล่าว
คํา จากนั้นจึงค่อยเดินจากไป
ฉินหยุนมองฝูงชน เขาเห็นหลันเฟิ งจิน เซี่ยอูเฟิง ฮั่วจง และ สหายอีก
หลายคน เขาทักทายพวกเขาเหล่านั้นด้วยท่าทางจาก ระยะไกล แม้เขามี
รอยยิ้มที่ใบหน้า แต่เขารู้สึกผิดหวังไม่น้อย เพราะเขา ไม่อาจเห็นหยางฉี
เย่ว์
หยางฉีเย่ว์ก้าวสู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋าแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่ต้อง เก็บตัวฝึกฝน
ในช่วงเวลานี้ นางเองก็เป็นนักบุญของตําหนัก ศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน ทว่านาง
ไม่มา การประลองยุทธ์รอบที่หนึ่ง กว่าครึ่งของผู้เข้าแข่งขันถูกคัด ออก
และนี่ก็เกือบได้เวลาบ่ายแล้ว
ถึงตอนนี้ หลายคนเร่งรีบไปจากตําหนักยุทธ์วิญญาณ หลายคน มาที่นี่
เพื่อรับชมการประลองยุทธ์ รวมถึงการประลองจารึก ด้วยเช่นเดียวกัน
การประลองยุทธ์ แข็งแกร่งที่สุดก็แค่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับ ที่เก้า
ทว่าการประลองจารึก มีผู้เฒ่าหลายคนเข้าร่วมการแข่งขันด้วยตนเอง
สําหรับผู้เยาว์หลายคน อาจารย์จารึกเฒ่าชราเหล่านี้ คือผู้ที่ทรงศักดิ์ศรี
อย่างยิ่ง หลันเฟิ งจินเองก็เร่งรีบไปยังตําหนักวิญญาณจารึก นางเองก็ เป็น
อาจารย์จารึกที่ลึกลับและต้องตามากที่สุดคนหนึ่ง!
“หลันเฟิ งจินย่อมต้องเหนือลํ้ากว่าผู้มีพรสวรรค์ทั้งหลาย นาง เป็นหญิง
สาว และด้วยอายุเยาว์ขนาดนี้ นางกลับเป็นอาจารย์ จารึกระดับสูง เพียง
เรื่องนี้ ผู้อาวุโสกว่า และอาวุโสน้อยกว่า ล้วนต้องละอาย!”
“ได้ยินมาว่า หลันเฟิ งจินเป็นอาจารย์จารึกที่อายุน้อยที่สุดใน การแข่งขัน
ครั้งนี้”
“ไอ้หยา หากเป็นเช่นนั้น พวกเราก็ต้องช่วยเป็นกําลังใจแก่นาง แล้ว” ศิษย์
หลายคนของตําหนักศักดิ์สิทธิ์วิญญาณสีครามเร่งรีบเข้า มาในตําหนัก
ฉินหยุนเองก็เข้าร่วมการประลองจารึก เขานําเอาเหรียญตรา หยกยืนยัน
ตัวตนออกมา จากนั้นจึงค่อยเดินเข้าไปยังสนาม ประลอง “ฉินหยุนอย่าได้
ชักช้า จงทําให้เต็มที่ พวกเราจะได้เห็นชัดกับ ตา!”
เสวี่ยซือเยี่ยกล่าวเร่ง ชั่วจงและมู่หรงต้าเหรินต่างก็ตามฝูงชนเดินออกมา
จากตําหนัก ยุทธ์วิญญาณ อาจารย์จารึกเฒ่าชรา ย่อมได้รับความเคารพ
อย่างสูง พวกเขา เหล่านั้นล้วนมีลูกศิษย์หรือผู้น้อยติดตามมารับชม เป็น
ปกติที่ จะพวกเขาให้กําลังใจผู้อาวุโสของตนเอง!
ฉินหยุนตามกลุ่มคนไป หลังเข้าในตําหนักวิญญาณจารึก เขา ค่อยเห็น
กลุ่มคนยืนแยกกันอยู่ ท่ามกลางพวกเขาเหล่านั้น ห้า ตําหนักของตําหนัก
ดวงดาวมีคนเยอะที่สุด จากนั้นจึงเป็น สถาบันยุทธ์ระดับเสวียนทั้งสาม!
ตําหนักวิญญาณจารึก มีความกว้างขวางยิ่งกว่าตําหนักยุทธ์ วิญญาณ
มันสามารถจุผู้คนนับหมื่น ทว่าวันนี้มีคนจํานวน เพียงหลักพันเท่านั้น ฉิน
หยุนมองกลุ่มคนจากสถาบันยุทธ์ชิงเสวียน พวกเขา เหล่านั้น แท้จริงเป็น
พวกผู้อาวุโสที่ขับไล่เขาออกมา!
“พวกเรามีอาจารย์จารึกเข้าร่วมการแข่งขันไม่น้อยเลย!” เสียง หนึ่งดังขึ้น
เป็นผลให้ทั้งห้องโถงกลายเป็นเงียบงัน บุคคลที่เป็นประธานการแข่งขัน
คือชายชราที่มีเส้นผมและ หนวดเครายาวสีขาว ใบหน้านั้นราวกับเด็ก
หนุ่ม ผู้นี้คือปู่ของหลันเฟิ งจิน หลันฮัวอวี้ยิ้ม นํ้าเสียงของหลันฮัวอวี้ปก
คลุมพวกเขาด้วยชั้นพลังงาน เป็นผล ให้ทุกคนต้องสงบเสงี่ยมไม่กล้าเอ่ย
คําใด ฉินหยุนนําเอาตราหยกออกมา ก้าวเดินออกไปสู่สนามแข่งขัน
กว้างขวางตรงกลาง
ตอนที่ 300 เปลวเพลิงทองม่วง
ทุกคนในห้องโถงต่างมุ่งเน้นความสนใจไปยังลานกว้างตรง กลาง ขณะ
พวกเขารับชมผู้อาวุโสของตนเองก้าวเดินออกมา ฝูงชนยิ่งมายิ่งเผยเสียงที่
ดังขึ้น จนทําให้คลื่นเสียงดังไม่หยุด ตอนนี้ หลันเฟิ งจินก้าวเดินเข้ามาใน
ลานกว้าง ทั่วทั้งที่นั่งผู้ชม ฮือฮากันออก พวกเขาชื่นชมความงดงามนาง
กล่าวชมนาง เป็นอาจารย์จารึกอัจฉริยะ ทั้งยกย่องนางที่ก้าวถึงขอบเขต
วร ยุทธ์เต๋าได้ตั้งแต่ยังเยาว์ สีหน้าของหลันเฟิ งจินเฉยชา หาได้ไหวหวั่นไม่
นางนําเอาเตา หลอม ค้อน และแท่นหลอมออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง ที่ลาน
แข่งขัน ผู้อาวุโสหลายท่านทรงพลัง สําหรับผู้เยาว์ นางไม่อาจอวดดีในที่นี้
ได้ “หลันเฟิ งจินเองก็เข้าร่วม!”
“นางช่างแตกต่างจากโฉมงามหลายคนนัก เสน่ห์หาได้อ่อนนุ่ม แต่เป็นให้
ความรู้สึกแข็งแกร่ง!”
“หญิงดิบเถื่อนเช่นนี้ ช่างสร้างความประทับใจได้เหลือล้น!”
“หากเทียบด้านนี้ คงยากหาผู้อื่นมาเทียบเคียงนาง!” ทุกคนต่างมองที่ห
ลันเฟิ งจินขณะสนทนากันเสียงเบา ฉินหยุนฝ่าฝูงชนมา ในที่สุดเขาก็เดิน
ผ่านพ้นจากทางเดินสู่ สนามแข่งขัน เขากําลังก้าวเดินเชื่องช้าออกไป ด้วย
หลายเหตุผล เมื่อฝูงชนได้เห็นฉินหยุนปรากฏตัว พวกเขา เงียบงันคล้าย
ศีรษะตกหล่นที่พื้น!
“ฉินหยุน นี่เจ้ามาผิดที่หรือไม่? ที่นี่ไม่ใช่การประลองยุทธ์ แต่ เป็นสนาม
ประลองจารึก และก็ผิดเวลาเช่นเดียวกัน!”
“คงไม่ใช่ว่าดื่มฉลองจนเมามายจนเลอะเลือนหรอกนะ?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!!” “มาที่นี่มีแต่จะยิ่งแสดงความโง่เขลาออกมา!” ฝูงชนระเบิด
เสียงหัวเราะ
ขณะหลายคนหัวเราะใส่ฉินหยุน พวกเขาค่อยเห็นตราหยกที่ เขาติด
ประดับไว้ เขาคือผู้เข้าร่วมแข่งขัน! ฝูงชนหัวเราะกันไม่ออก พวกเขานึกขึ้น
ได้ว่าฉินหยุนเองก็เป็น อาจารย์จารึก เป็นปกติที่เขาจะเข้าร่วมการ
ประลองจารึก!
“หมอนี่ เอาจริงหรือนี่!”
“เขาเป็นแค่อาจารย์จารึกระดับต้น ไม่ใช่ว่ามีแต่ระดับกลาง และสูงจึงเข้า
ร่วมได้หรอกหรือ?”
“หรือเขาจะเป็นอาจารย์จารึกระดับกลางแล้ว?” อาจารย์จารึกระดับกลาง
ที่อายุยังไม่ถึงยี่สิบปี พอคิดเช่นนี้ ก็ทํา เอาผู้คนในหอใหญ่สติหลุด พวก
เขาถึงกับต้องสูดลมหายใจลึก เรียกสติ!
ทราบกันว่า อาจารย์จารึกระดับกลางในสนามแข่งขัน ล้วนเป็น ผู้เฒ่าเส้น
ผมสีขาวกันทั้งสิ้น แต่ทางด้านฉินหยุน เขาเป็นเด็กที่ ขนยังไม่น่าจะขึ้น
เต็มที่เลยด้วยซ้ํา แต่กลับได้เป็นอาจารย์จารึก ระดับกลาง มันทําเอาผู้คน
อึ้งทึ่ง!
และสิ่งที่น่าตกใจที่สุด คือฉินหยุนเข้าร่วมทั้งการประลองยุทธ์ และการ
ประลองจารึก! จี้ไค่หลิน ผู้ซึ่งรับชมอยู่ด้านข้าง สีหน้ากลายเป็นริษยา
หาก เทียบกับฉินหยุน เขายิ่งกลายเป็นดาวหม่นแสง
“น้องหยุนช่างน่าทึ่ง! ไม่เพียงแต่ทําลายการประลองยุทธ์ ยัง วางแผนคิด
ทําลายการประลองจารึกด้วย!” มู่หรงต้าเหริน หัวเราะ
“อาจารย์จารึกระดับกลางไว้ภายหน้าคงต้องให้เขา ช่วยขัดเกลาหุ่นเชิด
ระดับกลางแก่ข้าบ้างแล้ว!”
อาวุธวิญญาณระดับกลาง สําหรับตําหนักดวงดาววิญญาณสี คราม ก็ถือ
ว่าคุณภาพสูงไม่น้อยแล้ว นักบุญวิญญาณสีครามคนหนึ่งแค่นเสียง
“ฉินหยุนก็แค่เข้าร่วม หาความสนุกเปิดหูเปิดตาตนเอง เขาจะมี
ความสามารถอันใด เทียบได้กับผู้อาวุโสทั้งหลาย? เพียงแค่เรื่องหนึ่งเส้น
วิญญาณก็น่าหัวเราะมากพอแล้ว!”
มู่หรงต้าเหรินหัวเราะออกจากใจ “หนึ่งเส้นวิญญาณน่าหัวเราะ แต่แล้ว
พวกเจ้าที่มีห้าถึงหกเส้นวิญญาณ ไม่อาจทัดเทียมเขา ในด้านพลังจิต ไม่
ยิ่งน่าหัวเราะยิ่งกว่าหรือ?”
“มู่หรง เจ้าเองก็เป็นคนของตําหนักศักดิ์สิทธิ์วิญญาณสีคราม คิดยืนข้าง
ใดกันแน่? เจ้าคนทรยศ!” ศิษย์นักบุญกลายเป็นมี โทสะ
“ข้าเพียงพูดความจริง ไม่ใช่ว่าศิษย์ของตําหนักศักดิ์สิทธิ์ควร ยอมรับ
ความจริงหรือ? นี่ออกจะน่าขันเกินไปแล้ว!” มู่หรงต้า เหรินยิ้มตอบ ชั่ว
ขณะนี้เอง เสียงจ้าวฉวนดังขึ้น มันทั้งไม่เบาและไม่ดัง ทว่า ทั้งหอล้วนได้
ยิน
“สถาบันยุทธ์ชิงเสวียนขับไล่ฉินหยุน คราวนี้ พวกเจ้าคงได้สํานึกเสียใจ
แล้ว!” ผู้อาวุโสหลายคนของสถาบันยุทธ์ชิงเสวียนอยู่ที่นี่ ด้วยได้ยินคํา
ของจ้าวฉวน สีหน้าพวกเขากลายเป็นน่าเกลียด พวกเขาได้แต่ เงียบงันไม่
อาจตอบโต้!
ทว่า หลายคนหัวเราะเยาะพวกเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ช่าง เป็นเรื่องโง่
เขลาอย่างยิ่ง ที่พวกเขาขับไล่อาจารย์จารึกวัยเยาว์ เช่นฉินหยุน ยิ่งมา
อาจารย์จารึกยิ่งมากก็เข้าสู่สนามแข่งขัน ชั่วขณะที่พวก เขาเข้ามา หลาย
คนรู้สึกไม่สบายใจนักยามได้เห็นใบหน้า เยาว์วัยของฉินหยุน โดยเฉพาะ
อาจารย์จารึกจากตําหนัก ดวงดาววิญญาณสีคราม
“เห็นเป็นสนามเด็กเล่นหรือ นี่คือการแข่งขันทางการ เจ้าหนู เช่นเจ้าควร
หลบซ่อนตัว ทว่ากลับเข้าร่วมเพื่อความสนุก นี่ไม่ นับเสื่อมเสียหรือ?” ผู้
อาวุโสชุดสีนํ้าเงินที่เข้ารวมการแข่งขัน แค่นเสียงออก เป็นเขาไม่ยินดี
อย่างยิ่ง
“นี่คือปีศาจน้อยที่ก่อปัญหาไปทั่วในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา หรือ? มีจิต
วิญญาณคิดแข่งขันเป็นเรื่องดี แต่ควรประเมิน ตนเองเสียบ้าง!”
“เหอะ จ้าวฉวนจริงจังเกินไปแล้ว เจ้าคิดคาดหวังต่อเขาสูง เกินไป! เด็ก
น้อยที่คิดอวดดีผู้นี้อายุไม่น่ายืนยาว สําหรับอาจารย์จารึก สิ่งหนึ่งที่ควร
ตั้งใจคือศึกษาผังจารึกเพื่อให้มีที่ หยัดยืน!”
ฉินหยุนมองผู้อาวุโสเหล่านี้ที่ต่อว่าเขา พวกเขาล้วนสวมใส่ชุด สีนํ้าเงิน
พวกเขาคืออาจารย์จารึกในสังกัดตําหนักดวงดาว วิญญาณสีคราม ทั้งยัง
มีผู้มาจากตําหนักศักดิ์สิทธิ์ด้วยเช่นกัน ยิ่งเวลาผ่านไป ผู้อาวุโสหลายสิบ
คนจึงต่อว่าฉินหยุนกันไม่หยุด ปาก!
หลายคนด้านนอกสนามแข่งขัน พอได้ฉินหยุนโดนต่อว่าโดยผู้ อาวุโส
พวกเขาเกิดความสนใจ อยากรู้ว่าฉินหยุนจะตอบสนอง เช่นไร จี้ไค่หลิน
ตอนนี้ค่อยรู้สึกดีขึ้น เขายังผสมโรงร่วมต่อว่าฉินหยุน ไปด้วย สําหรับฉิน
หยุน เขาเพียงมีสีหน้าสงบหาได้ฟังเสียงนกกา ราวกับเขาไม่เห็นผู้เฒ่า
เหล่านี้ในสายตา ครั้งล่าสุดตอนอยู่ที่หอ หลักตําหนักจารึกเทวะ เขาก็เคย
สั่งสอนกลุ่มผู้เฒ่าเช่นนี้ไป บทเรียนหนึ่งแล้ว
ยังมีอาจารย์จารึกที่ยังมาไม่ถึง เขาไม่ทราบว่าเพราะติดขัดอัน ใดหรือไม่
ฉินหยุนเลือกนั่งข้างหลันเฟิ งจีน ที่นั่งพวกเขาอยู่ริมขอบ สนามแข่งขัน
อย่างไรแล้ว พวกเขาก็เป็นผู้ด้อยอาวุโสกว่า ดังนั้นจึงไม่มีทางได้นั่งตรง
กลาง
“ฉินหยุน ข้าไม่คิดว่าเจ้าเข้าร่วมทั้งสองอย่าง เป็นเจ้าโลภมาก นัก!”
หลันเฟิ งจินกล่าวต่อฉินหยุนทั้งยังหัวเราะ นางไม่สงสัยต่อความแข็งแกร่ง
ของฉินหยุนแม้เพียงนิด เดิม นางคิดว่าฉินหยุนไม่เข้าร่วมการแข่งขัน นั่น
ทําเอานางผิดหวัง ไปไม่น้อย
“ตอนนี้เป็นข้าไม่มีอะไรทํา ทั้งยังขาดแคลน ดังนั้นจึงคิดหาเงิน บ้าง
นอกจากนี้แล้ว ตําหนักศักดิ์สิทธิ์ของท่านยังร่ํารวยและ สูงส่ง รางวัลที่จะ
มอบให้ย่อมต้องดีไม่น้อย” ฉินหยุนหัวเราะ เสียงเบา เพื่อบํารุงเลี้ยงภูติตัว
น้อยนามโมโม เขาต้องสะสมทรัพยากรไว้ ให้มาก
ผู้เข้าร่วมมีไม่มาก เพียงสองร้อยเจ็ดสิบคน ท่ามกลางพวกเขา มีไม่ถึงหนึ่ง
ร้อยที่เป็นอาจารย์จารึกระดับสูง กล่าวได้ว่าส่วน ใหญ่เป็นอาจารย์จารึก
ระดับกลาง และระดับกลางสําหรับพื้นที่ ภูมิภาคชายแดนเช่นนี้ ก็ถือว่าดี
ยิ่งแล้ว
ผู้รับหน้าที่จัดการแข่งขัน คือปู่ของหลันเฟิ งจิน หลันฮัวอ เขา คืออาจารย์
จารึกระดับลึกลํ้า ทั้งยังได้รับความเคารพนับถือเป็น อย่างสูง อาจารย์
จารึกที่นี่ล้วนมองเขาด้วยความเคารพและอิจฉา หลันฮัวอ กล่าวเสียงซัด
กระจ่าง
“ในรอบที่หนึ่ง จะมีเจ็ดสิบคน ถูกคัดออก หัวข้อการแข่งขัน คือการขัด
เกลาวัสดุพื้นฐานที่สุด ด้วยระยะเวลาที่จํากัด พวกเจ้าต้องขัดเกลากระดูก
เหล็กกล้า ระดับสูงที่ดีที่สุดออกมา!”
หลังจากนั้น อาจารย์จารึกที่เข้าร่วมจึงตั้งแถวตรงหน้าห ลันฮัวอวี่ รับเอา
เหล็กวิญญาณระดับสูงพร้อมกระดูกสัตว์ จํานวนหนึ่ง
แต่ละคนจะได้รับเหล็กวิญญาณระดับสูงหนักหนึ่งพันจิน และ กระดูกสัตว์
หนักหนึ่งพันจิน เพื่อขัดเกลากระดูกเหล็กกล้า ก็จําเป็นต้องผสานทั้งสอง
เข้า ด้วยกัน สําหรับอาจารย์จารึกระดับกลางและสูง การขัดเกลากระดูก
เหล็กกล้าระดับสูงไม่ใช่เรื่องยาก ที่ยากคือจะขัดเกลาอย่างไรให้ มี
คุณภาพที่ดี มันถือเป็นการทดสอบครั้งใหญ่ต่อระดับ ความสามารถของ
อาจารย์จารึก เมื่อขัดเกลากระดูกเหล็กกล้าระดับสูง ก็ไม่จําเป็นต้องใช้ผัง
จารึก
ดังนั้นแล้ว กระทั่งว่าอาจารย์จารึกจะมีผังจารึกดีเด่น เพียงใด ก็ไร้ค่า
เพียงขณะพวกเขารับวัสดุ หลันฮัวอวี้ จึงกล่าว “เก็บเอาเตา หลอมและ
ค้อนหลอมที่นํามาเสีย ที่ต้องใช้มีแต่แท่นหลอมเท่านั้น!” ไม่มีผู้ใดคิดว่ากฎ
การแข่งขันจะเป็นเช่นนี้
กระทั่งหลันเฟิ งจินยังชักสีหน้า นางไม่ทราบเหตุใดต้องเก็บเตา และค้อน
เมื่อขัดเกลาวัสดุ ค้อนหลอมและเตาหลอม คือสิ่งสําคัญที่สุด แต่ตอนนี้
พวกมันถูกสั่งเก็บไม่ให้ใช้งาน! หลันฮัวอวี้มองอาจารย์จารึกทั้งหมด ด้วย
สายตาคลางแคลง เขากล่าวเสียงเบา
“เมื่อขัดเกลาวัสดุ พวกเจ้าทั้งหมดไม่ได้รับ อนุญาตให้ใช้เตาหลอมและ
ค้อน นี่ก็เพื่อความยุติธรรม เพราะ ระหว่างการแข่งขัน ค้อนที่ดีกว่า เตา
หลอมที่ดีกว่า สามารถนํา ผลลัพธ์ที่แตกต่างอย่างมหาศาลออกมาได้!”
ฝูงชนฮือฮา ไม่ให้ใช้เตาหลอมขัดเกลา นี่ออกจะเป็นเรื่องยาก จนเกินไป
แล้ว!
เหล็กวิญญาณหนักหนึ่งพันจิน รวมถึงกระดูก พวกมัน จําเป็นต้องผ่านเตา
หลอมขนาดใหญ่ก่อนจึงค่อยหลอมรวม ออกมาได้ หลันฮัวอวี้ ไหวมือ ส่ง
ชายร่างกํายําหลายคนเดินออกมา มอบ ค้อนหลอมให้แก่อาจารย์จารึกคน
ละอัน
ค้อนหลอมเหล่านี้ คืออาวุธวิญญาณระดับตํ่า กระนั้น ก็ เพียงพอให้ใช้ขัด
เกลากระดูกเหล็กกล้าระดับสูง ฉินหยุนไม่มีข้อโต้แย้ง เพราะเปลวเพลิง
ของเขาแข็งแกร่ง นอกจากนี้ เขายังมีแขนราชสีห์สวรรค์ ดังนั้นจึงรู้สึกว่า
ปัญหา เหล่านี้ไม่นับเป็นอะไร
“พวกเจ้าไม่มีข้อโต้แย้งอันใดใช่หรือไม่? หากมีข้อโต้แย้ง เช่นนั้นจงถอนตัว
เสีย!” หลันฮัวอวี้ยิ้มบาง เขากวาดสายตา มองบรรดาอาจารย์จารึก ผู้ใด
กล้าโต้แย้ง? ทุกคนทําได้แต่ยอมรับ!
“ดี ตอนนี้ข้าจะเริ่มจุดธูปนี่เป็นธูปนับเวลา อยู่ได้ราวหนึ่งชั่ว ยาม!”
หลันฮัวอวี้พอกล่าวคําจบ เขาจึงโบกแขนเสื้อ จุดธูปสูง กว่าเมตรข้างกาย
ขึ้น อาจารย์จารึกผู้อื่น โดยทันทีจึงต้องเผยความสามารถ ปลดปล่อยเปลว
เพลิงออกมาเผาไหม้วัสดุ ท่ามกลางพวกเขา เปลวเพลิงของฉินหยุนเปล่ง
ประกายมาก ที่สุด มันคือเปลวเพลิงทองม่วงที่มีเอกลักษณ์
ด้วยแขนราชสีห์สวรรค์ เขาปลดปล่อยเปลวเพลิงออกจากฝ่า มือ เปลว
เพลิงทองม่วงเผาไหม้รุนแรงต่อเหล็กวิญญาณและกระดูก สัตว์หลายร้อย
จิน อาจารย์จารึกผู้อื่นล้วนทําเช่นเดียวกัน เปลวเพลิงของพวกเขา ร้อนแรง
ยิ่งกว่าของฉินหยุน!
อาจารย์จารึกทั้งหลาย พวกเขาต่างทุ่มสุดตัวเพื่อจุดเปลวเพลิง ขึ้น ทั่วทั้ง
โถงกว้างขวางกลายเป็นร้อนดั่งอยู่ในเตาหลอม!
“แม้ฉินหยุนมีเปลวเพลิงทองม่วง แต่ข้าสัมผัสได้ ว่าเปลวเพลิง ของมัน
อ่อนด้อยที่สุด ความร้อนยังห่างไกลจากอาจารย์จารึก ท่านอื่นอีกมาก!” จี้
ไค่หลินหัวเราะเดียดฉันท์
“ตอนนี้ทุกคนคง ได้เห็น ว่าระดับของมันตํ่าเตี้ยเพียงใด!” หลายคนเห็น
ด้วยในจุดนี้ พวกเขาพยักหน้ารับ!
แม้ความร้อนที่ปลดปล่อยออกจากเปลวเพลิงทองม่วงของฉิน หยุนน้อย
สุด แต่อํานาจการเผาไหม้ถือว่ารุนแรงที่สุด เหล็ก วิญญาณและกระดูก
สัตว์ที่เผาไหม้โดยอาจารย์จารึกท่านอื่น
ยังไม่ทันแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยซํ้า ทว่าของเขาแปร เปลี่ยนเป็นสีแดง
แล้ว! ตึง! ตึง! ตึง!
ฉินหยุนยกค้อนหลอมขึ้น จากนั้นจึงฟาดหวดทุบเข้าใส่เหล็ก วิญญาณ
เขาเป็นผู้แรกที่เริ่มการทุบหลอม! จี้ไค่หลิน เมื่อครู่เพิ่งกล่าวปรามาส
ตอนนี้สีหน้ากลายเป็นอับ อาย เขาไม่เข้าใจ ว่าเหตุใดเปลวเพลิงที่อ่อน
ด้อยของฉินหยุน กลับนําหน้าเหนือลํ้ากว่าอาจารย์จารึกระดับสูงท่านอื่น!
ทุกคนรู้สึกไม่เชื่อเมื่อเห็นฉินหยุนทําการหลอม พวกเขาต่างคิด ว่าอีกฝ่าย
ก็แค่มาเข้าร่วมเพื่อเล่นสนุก ที่พวกเขาไม่เคยคิดก็คือ อีกฝ่ายจะมาอย่าง
จริงจัง พื้นฐานของเขาไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่า อาจารย์จารึกระดับสูงท่าน
อื่นเลยสักนิด!

ไม่มีความคิดเห็น :

แสดงความคิดเห็น