วันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

หลันฮัวอวี้ยิ้มตอบ “ตราบเท่าที่มีความสามารถ กระทั่งทำแผ่นหิน
ขึ้นก็ยังได้!”

ถึงตอนนี้เอง ทุกคนต่างทราบว่าฉินหยุนเองก็โดนกดดันเช่นเดียวกัน
เขาเองก็อยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เด้า ความแข็งแกร่งแก่นภายใน
ของเขา ย่อมต้องด้อยกว่าผูฟิกตนขอบเขตวรยุทธ์เต๋า

ตอนที่ 305 ะ ยันต์รวบรวมนำ

ปริมาณพลังงานที่ยันต์สามารถบรรจุ เป็นไปอย่างจำกัด หากบรรจุ
พลังงานของผูป็กตนขอบเขตวรยุทธ์เต๋า เช่นนั้นมันย่อมแข็งแกร่ง
กว่าของผูพึกตนขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เก้า

ไม่ใช่เพียงแค'ฉินหยุน อาจารย์จารึกท่านอื่น ที่อยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์
ระดับที่เก้า ต่างก็มีความหนักอึ้งในใจ

พวกเขารู้สึกว่าหากผ่านรอบที่สองไดัย'อมน่าพึงพอใจ พวกเขาไม่คิด
ปล่อยวางแค'ที่ตรงนี้

“ฉินหยุน เจ้ามั่นใจหรือไม'?” หลันเฟิงจินเอ่ยถาม นางเองก็คาดหวัง
ว่าฉินหยุนจะสามารถเจ้าจนถึงรอบสุดทาย

ฉินหยุนเป็นอาจารย์จารึกระดับสูง กระนั้นเขากลับมีพื้นฐานอยู่ที่
ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เก้า!

ไม่ก้องกล่าวลึงก้อื่น กระมั่งเขาเองยังทราบ ว่าตนไม่น่าจะผ่านการ

ทดสอบรอบนี้ไก้หากไม'มีทางรับมือ

ถึงตอนนี้เอง เขาพลันนึกวิธีการรับมือขึ้นได้!

“จ้ายังไม่ทราบ แต่ทุกอย่างก้วนสามารถลองสู!” ฉินหยุนถอนหายใจ

เบา

อุปกรณ์ที่เขาใช้ทำยันต์ และแกะสลักผังวิญญาณ เป็นทางผู้จัดมอบให้

มีเพียงแต่เมื่อเขาใช้ปากกาลึกลํ้าสะห้อนจิต เขาจึงสามารถเพิ่มระดับ
การลงรายละ เอียดให้มากขึ้นได้!

อาจารย์จารึกขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เด้า หากพวกเขาด้องการ
กลบจุดอ่อนนี้ พวกเขาก็ได้แต่ทุ่มเทความพยายาม ลงรายละเอียด
อย่างถี่ด้วน รวมถึงตัววัสดุก็ด้วย

ตอนนี้ ทางผู้ชัดงานได้เริ่มแจกจ่ายมีดแกะสลัก เตาหลอม และสัอน
หลอมเหมือนอย่างเมื่อวาน พวกมันลูกวางเอาได้บนสนามแข่งขัน

“นี่ไม่สมควรมีป็ญหาอื่นใดแล้ว!” พอหลันยัวอวี้กล่าวคำจบ เขาหยุด
ไปครู่หนี่ง ไม่มีผู้ใดเอ่ยถามคำถามใดอีก ดังนั้นเขาจะเผยเสียงดัง
“เช่นนั้น เริ่มได้!”

นาฬิกาทรายขนาดใหญ่ลูกพลิกกลับด้าน เป็นการเริ่มจับเวลา

แรกเริ่ม อาจารย์จารึกต่างวุ่นวาย

วัสดุที่พวกเขาใช้ ล้วนเป็นสิ่งที่พวกเขานำมาด้วย

บางคนใช้หนังสัตว์ของสัตว์ระดับวิญญาณ ห้างก็ใช้เกราะหรือกระดูก
ของสัตว์

ส่วนใหญ่พวกเขาจะใช้วัสดุทั้งสามอย่างนี้

วัสดุเหล่านี้ทั้งหมดทนทาน มันสามารถบรรจุพลังงานปริมาณมหาศาล
เอา เวเ เด

ทางด้านผู้รับชมการแข่งขัน พวกเขารู้สึกว่านี่เป็นการสิ้นเปลือง
ทรัพยากร

เป็นเพราะ การต้องเสียวัสดุชั้นดีเหล่านี้เพื่อแกะสลักยันต์รวบรวมนํ้า
ระดับต์า มันเป็นการเสียของจนเกินไป!

“คราวนี้ฉินหยุนไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว! อาจารย์จารึกท่านอื่นที่ขอบเขต
กายวรยุทธ์ระดับที่เล้า ใบหน้าพวกเขาต่างสิ้นหวัง พวกเขาคงทราบ
ว่าไม่อาจล้าวลึงรอบลัดไปได้!”

“ฉินหยุนเพิ่งเลื่อนระดับสู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เล้า พลังภายใน
ย่อมต้องอ่อนด้อยกว่าผู้ที่อยู่วัยกลางคนและอาวุโสในระดับเดียวกัน
เขาย่อมต้องไม่อาจผ่านสู่รอบลัดไปได้อย่างแน่นอน!”

“อาจไม่เป็นเช่นนั้น ฉินหยุนยังคงแข็งแกร่ง นอกจากเปลวเพลิงทอง
ม่วงแล้ว เขายังมีแขนราชสีห์สวรรค์!”

“จริงด้วย โทเทมราชสีห์สวรรค์เป็นส่วนช่วยแก่เขาอย่างมหาศาล!”

ทุกคนต่างมีความเห็นแตกต่างกันออกไป ว่าฉินหยุนจะสามารถ
เซัาถึงรอบลัดไปได้หรือไม่

ในสนามแข่ง ฉินหยุนนำเอากระดูกสัตว์ระดับวิญญาณออกมา
จากนั้นจึงใส่พวกมันในเตาหลอม

จากนั้น เขานำเอากระดูกเหล็กกล้าระดับราชันสีนั้าเงินออกมา

“นั่นไม่ใช่กระดูกเหล็กกล้าระดับราชันหรือ? เขาคิดทำอะไร?”

“นั่นเขาไปเอากระดูกเหล็กกล้าระดับราชันมาจากที่ใด? ของเช่นนี้ลํ้า
ค่าอย่างยิ่ง เป็นไปไม่ไล้ที่อาจารย์จารึกระดับสูงจะสามารถขัดเกลา
ขึ้นมา!”

“เพียงเพื่อการแข่งนี้ เขาคิดทุ่มทุนเพียงนี้!”

อาจารย์จารึกหลายต่อหลายคนล้วนประหลาดใจ!

กระดูกเหล็กกล้าระดับราชัน เป็นสิ่งที่ฉินหยูนขัดเกลามันขึ้นล้วย
ตนเอง เขาหลอมมันขึ้นไล้ตั้งแต่เมื่อนานมาแล้ว!

หลันฮัวอวี้เองก็ประหลาดใจ เขาไม่คิดว่าจะถึงขั้นมีคนนำเอากระดูก
เหล็กกล้าระดับราขัน ออกมาใช่เป็นวัสดุตั้งต้น! เขาหันมองจ้าวฉวน
ที่ช่างสนามแข่ง คล้ายเป็นการสอบถามจ้าวฉวนว่าผู้ใดมอบใหัแก่เขา

จ้าวฉวนผายสองมือและยิ้มออก เป็นการบ่งบอกว่าเขาไม่ใช่ผู้มอบ
มันแก่เขา

หลันเฟิงจินทราบ ว่าฉินหยุนเป็นผู้ทำกระดูกเหล็กกล้าระดับราชันนี้
กระนั้น นางไม่คาดคิดว่าฉินหยุนจะใช้มันเพื่อทำยันต์!

เมื่อคิดทำยันต์วิญญาณ การเพิ่มกระดูกเหล็กกล้าเช้าไปสักเล็กน้อย
ถือว่าเป็นไปไล้ มันจะทำใน้ยันต์วิญญาณบรรจุพลังงานได้มากขึ้น

แน่นอนว่า ต่อให้ฉินหยุนใส่กระดูกเหล็กกล้าระดับราชัน ตัวยันต์ที่
เขาหลอมขึ้นก็ยังขาดแคลนหากเทียบลับผู้อยู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋า

อย่างไรแล้ว บรรดาอาจารย์จารึกที่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋า ก็ย่อมด้องทุ่ม
สุดตัวเพื่อกระบวนการทำยันต์ครั้งนี้เช่นเดียวลัน

ฉินหยุนไม่มีทางเถือกอื่น ทั้งหมดที่เขาทำได้มีแต่เพิ่มความลํ้าค่าแก่
วัสดุและความแม่นยำต่อผังวิญญาณแล้ว

วัสดุที่ใช้เพิ่มระดับความสามารถของยันต์ สามารถทำได้โดยง่าย
ส่วนทางด้านความวิจิตรนั้น ถือเป็นเรื่องยากเย็น!

ฉินหยุนหาได้ใช่คนเดียวไม่ที่กังวลถึงรายละเอียด อาจารย์จารึก
ระดับสูงท่านอื่นล้วนก็กังวลเช่นเดียวลัน

นี่ก็เพราะ อาจารย์จารึกทั้งหมดที่นี้ พวกเขาจะใช้ได้ก็แต่อุปกรณ์
วิญญาณระดับตั้า

มีดแกะสลักที่พวกเขาใช้ ผ่านการใช้งานมานานยิ่ง ดังนั้นพวกเขา
ย่อมล้นเคยลับพวกมันเป็นอย่างลี

ด้วยการถูกใช้ของแทนที่ ระดับความวิจิตรที่อาจารย์จารึกระดับสูง
สามารถทำได้ ย่อมด้องลดลงยามเมื่อด้องแกะสลักผังวิญญาณ

“ดูเหมือนในสถานการณ์เช่นนี้ จะไม่มีผูใดสามารถพึ่งพาความยอด
เยี่ยมของมีดแกะสลักเพื่อแกะสลักผังวิญญาณได้ สิ่งหนงที่ด้องมีคือ



หากเขามีพื่นฐานที่หนักแน่น และใช้งานมีดแกะสลักได้ดี ถึงตอน



ฉินหยุนคิดใช้เวลาในภายหนัาให้มากขึ้น เพื่อใช้มีดแกะสลักธรรมดา
ทำการแกะสลักผังวิญญาณ เพื่อฝืกฝนความเชี่ยวชาญ

เขาเริ่มกังวล ไม่ทราบว่าตนเองจะสามารถผ่านเช้าสู่รอบที่สามได้
หรือไม่

เขาคิดอยากเช้าจนถึงรอบสุดห้าย เพื่อลูว่าจะได้รับประสบการณ์
อะไรเพิ่มเติมห้าง

แต่ตอนนี้ เขาติดอาการตีบตันที่กายวรยุทธ์ระดับเด้า เขาไม่ทราบว่า
จะสามารถทะลวงผ่านอาการตีบดันนี้เช่นไร ใจจริงเขาอยากได้เห็น
รางวัลในรอบสุดห้าย ว่ามันจะช่วยเขาด้าวสู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋าได้
หรือไม่

แม้ฉินหยุนอยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เก้า เปลวเพลิงของเขาทั้ง
พิเศษและทรงพลัง พวกมันลูกปลดปล่อยออกมาจากวิญญาณยุทธ์
ตะวันทมิฬซ็งลึกลับ

วิญญาณยุทธ์ตะวันทมิฬ ก็เป็นวิญญาณยุทธ์แห่งสวรรค์ ทั้งยังเป็น
หนึ่งในสิ่งที่ลึกลับที่สุด!

ไม่เพียงแต่เขาสามารถใช้วิญญาณยุทธ์ตะวันทมิฬปลดปล่อยอัคคี
เพลิง เขายังสามารถใช้วิญญาณยุทธ์อสนีบาตอัคคีทองม่วง เพื่อ
ปลดปล่อยอัคคีเพลิงสีม่วง ดังนั้น เขาจึงสามารถผสานรวมทั้งสอง
เข้าดัวยลัน ปกปิดออร่าพิเศษของตะวันทมิฬเอาไวิได้

ดัวยเปลวเพลิงตะวันทมิฬสีม่วง มันสามารถใชัเพื่อเผาไหม้วัสดุไดั
อย่างรวดเร็ว

ผลลัพธ์ที่ได้ เขาจึงเป็นบุคคลแรกที่เปิดเตาหลอมและนำเอาวัสดุ
ออกมา

“กระดูกเหล็กกก้าระดับราชัน หลอมง่ายเพียงนี้หรือ?”

อาจารย์จารึกหลายต่อหลายคนต่างอึ้งนึ่ง!

ทว่า เมื่อพวกเขานึกได้ว่าฉินหยุนมีโทเทมราชสีห์สวรรค์รวมถึง
วิญญาณยุทธ์ที่ปล่อยเปลวเพลิงทองม่วง พวกเขาจึงไม่ลิดพูดกล่าว
อันใด

หลังจากฉินหยุนหลอมละลายกระดูกเหล็กกล้าระดับราชันส่วนหนึ๋ง
เข้ากับกระดูกสัตว์ระดับวิญญาณ เขาจึงวางมันที่แท่นหลอมเตรียม
ทุบหลอม

เขาใช้เคล็ดวิชาค้อนมังกรหลอมหกกระบวน กระนั้นครั้งนีมันไม่ได้
รุนแรงเหมือนครั้งก่อนหน้า

นี่ก็เพราะ เขาจำเป็นต้องสำรองพลังเอาไว์สำหรับการแกะสลักผัง
วิญญาณ

กระลูกเหล็กกค้าระดับราชัน และกระลูกสัตว์ระดับวิญญาณชิ้นใหญ่
เริ่มบางลงเป็นแผ่นกระลูกภายใต้การขัดเกลาโดยฉินหยุน
ราวลับมันคือแผ่นผลึกแต้วสีนั้าเงิน มันงดงามยามมอง

“ที่ต้องวาดขึ้นคืออักขระนั้าระดับต้น ผังวิญญาณประเภทนี้ค่อนข้าง
ง่ายอย่างยิ่ง ที่ต้องทำก็แค่แกะสลักลงนั้งสองส่งของยันต์กระลูก!

หากคิดแกะ สลักออกมาให้ดี ก็จำเป็นต้องเพิ่มร ะดับความวิจิตร!”

ฉินหยุนคว์ามีดแกะสลัก ผสานพลังจิตวิญญาณโลหิตของตน

อย่างฉับพลัน เขารู้สึกว่ามีดแกะสลักนี้ไม่แย่ดังที่คิด มันค่อนข้างใช้
งานไต้ง่าย

“แม้มีดแกะสลักนี้ระดับตั้า จึงไม่ยากต่อการใช้งาน แตนมันเกิด
อะไรขึ้นลันแน่?”

ฉินหยุนผสานพลังจิตวิญญาณโลหิตเข้าไปมากขึ้น กระทั่งเขายัง
ประหลาดใจ มันเป็นไปอย่างลื่นไหลยิ่ง

“หรือเป็นเพราะเราเคยใช้งานปากกาลึกลื่เา ดังนั้นมันจึงมอบ
ความรู้สึกเช่นนี้ให้กับเราแห้ยามไม่ได้ใช้?”

เขาหลับตาลง เริ่มพักสงบใจ

ก่อนหพ้านี้ ตอนเขาจัดการกับวัสดุ ความเร็วถือว่ามากลํ้า ทำให้เขามี
เวลาได้พักผ่อนชั่วครู่ เพื่อทำให้เขาสามารถปรับสภาพตนเองให้
พร้อมที่สุดได้

เมื่อแกะสลักผังวิญญาณ สภาวะทางจิตใจจะเป็นตัวแปรใหญ่ต่อ
ระดับความวิจิตร

หากจิตใจเหนื่อยห้า และคิดแกะสลักผังวิญญาณ เช่นนั้นผังวิญญาณ
เองก็จะเหนื่อยห้าไปด้วย หมายความถึงระดับความวิจิตรจะยิ่งยิ่าแย'
และออร่าที่ปลดปล่อยออกจากยันต์ ก็จะยิ่งไร้ชีวิตชีวา

นาฬิกาทรายกว่าครึ่งตอนนี้ว่างเปล่าแห้ว ผ่านไปแห้วนั้งสิ้นหนื่งชั่ว
ยาม!

อาจารย์จารึกผู้ลื่น เพียงเพิ่งจัดการกับวัสดุเสร็จ!

ทางด้านฉินหยุน เขาพักสงบใจได้ชั่วระยะเวลาหนื่งเพื่อรวบรวม
สมาธิและพลัง!

ได้เห็นดังนี้ อาจารย์จารึกหลายท่านกัดฟันกรอด พวกเขาต่างอิจฉา
ต่อรึเมือการจัดทำวัสดุของฉินหยุน

พวกเขาด้วนคิด ว่าเขาต้องเป็นอาจารย์จารึกระดับสูงแสัว กระทั่งว่า
อาจสูงลํ้ากว่านั้น

แน่นอนว่า ฉินหยุนตอนนี้คืออาจารย์จารึกระดับสูง กระนั้น หลาย
คนกลับยังไม่ทราบ!

“เราต้องรวบรวมพลังจิตทั้งหมดไปที่มีดแกะสลัก! เราต้องทุ่มเทใช้
เคล็ดวิชาเทวะควบคุม เพื่อควบคุมมีดแกะสลักให้เคลื่อนไหวอย่าง
ละเอียดที่สุด!”

ฉินหยุนตั้งจิต ใช้เคล็ดวิชาเทวะควบคุมเพื่อควบคุมมีดแกะสลัก

เป็นเรื่องดีที่อักขระนั้าระดับต้นไม่จำเป็นต้องใช้พลังจิตวิญญาณ
โลหิตจำนวนมาก ไม่เช่นนั้น เขาคงไม่อาจทำไต้ไหว!

อักขระนั้าระดับด้น เป็นผังวิญญาณพื้นฐาน ดังนั้นเวลาวาดมันขึ้นจึง
ไม่จำเป็นต้องปกปิดด้วยแสง

ตอนนี้เอง หลายคนจึงไต้เป็นประจักษ์พยานรับรู้ถึงกระบวนการ
แกะสลักเด้นมืด

เมื่อฉินหยุนแกะสลักผังวิญญาณ เขาเคร่งเครียดและจริงชัง

เพียงมองทุกคนล้วนตอบได้ ว่าเป็นเขาทุ่มเทอย่างสุดตัว!

ที่ถือเป็นครั้งแรกที่ฉินหยุนใช้เคล็ดวิชาเทวะควบคุม เพื่อเชื่อมต่อ
การเคลื่อนไหวของมือ

จากนั้น เขาจึงควบคุมมีดแกะสลักและเริ่มทำการแกะสลักผัง
วิญญาณ

ผลลัพธ์ที่ได้เขาสามารถควบคุมปลายมีดได้อย่างแม่นยำ ทำให้มัน
เคลื่อนไหวได้แม่ไนระดับเล็กจี๋ว

จาวฉวนที่รับชมอยู่ เขากล่าวออก “เพื่อเพิ่มความแม่นยำ มันไม่ใช่
เพียงแค่ด้องควบคุมมีดแกะสลักให้ดี ยังต้องมีความรู้ความเช้าใจต่อ
ผังวิญญาณอย่างลึกซึ้ง”

“นั่นก็เพราะเสันหยาบของผังวิญญาณ ทั้งหมดล้วนเหมือนกัน ความ
แม่นยำที่แห้จริงแทบไม่อาจมองออก ส่วนใหญ่ผังวิญญาณที่แม่นยำ
ก็แค'ที่เห็นบนกระดาษ ซึ้งคนธรรมดาไม่อาจมองเห็น ทั้งหมดนี้
ขึ้นอยู่ลับความสามารถ ความรู้ และความเช้าใจของอาจารย์จารึก”

“ความเช้าใจลึกซึ้งส่อผังวิญญาณ ยิ่งทำให้สามารถเช้าใจได้อย่าง
กระจ่างชัดเพื่อให้เกิดความแม่นยำ”

“บางครั้ง เมื่อเทียบผังวิญญาณสองผัง มันก็จะเหมือนกัน แส่ลงลึก
ในระดับรายละเอียด จะแตกต่างลันอย่างมหาศาล ที่ก็เพราะผัง

วิญญาณ เป็นเส้นที่ลากขึ้นด้วยความละเอียดอ่อนและเล็กยิ่ง ดวงตา
มนุษย์แทบไม่อาจมองเห็นได้”

เมื่อทุกคนได้ยินดังนี้ พวกเขาไม่เข้าใจว่าตอนนี้กำลังเกิดอะไรขึ้น
แต่เพียงทราบ ว่าอาจารย์จารึกยิ่งมายิ่งน่านับถือ และยังได้ทราบ ว่า
เพราะเหตุใดพวกเขาจึงไม่อาจเป็นอาจารย์จารึก

นี่ก็เพราะมันต้องไข้ทั้งพรสวรรค์และพรแสวง ทั้งยังด้องรู้และเข้า
ใจความลึกลับของผังจารึก

ฉินหยุนสามารถทำวัสดุขึ้นได้อย่างรวดเร็ว กระทั้น ยามเมื่อ
แกะสลักผังวิญญาณกลับข้ายิ่ง

เขาถือมีดแกะสลักเอาไว่ในมือ รวบรวมพลังจิตวิญญาณโลหิตเอาได้
ที่ปลายมีด!

ผ่านไปนาน บนแผ่นกระดูกนั่น เขาเพิ่งวาดส่วนใด้งขนาดเล็กขึ้นมา

เด

สำหรับอาจารย์จารึกท่านอื่น พวกเขาสัวนวาดผังวิญญาณแรกได้
สำเร็จแส้ว!

ฉินหยุนคิดอยากให้เร็วกว่านี้ ทว่าเขาไม่อาจเร็วได้

นี่ก็เพราะยามเมื่อไข้เคล็ดวิชาเทวะควบคุมกับมีดแกะสลัก เพื่อ
แกะสลักอักขระนํ้าระดับด้นภายในใจ ปลายของมีดมันเคลื่อนไหว
ไปโดยเขาไม่รู้ตัวด้วยซํ้า ซ็งถือเป็นความรู้สึกที่แปลกใหม่อย่างมาก

เขารู้สึกราวกับจิตวิญญาณและมีดแกะสลักได้ผสานรวมเข้าด้วยกัน
จิตสำนึกของเขาคล้ายไหลไปตามเส้นของอักขระนํ้า

กระบวนการเป็นไปอย่างเชื่องข้า ราวกับว่ามันเป็นเส้นทางที่พิเศษ
หากไม1ระมัดระวังให้ดี จะกลายเป็นทำลายตัวเอง
“ไม่ได้เราด้องเร่งความเร็วขึ้น ไม่งั้นจะทำไม่ทัน!”

ฉินหยุนเองก็ทราบถึงสภาพตอนนี้เป็นอย่างลี เขามั่นใจว่าสามารถ
เพิ่มความแม่นยำได้ แต่กระนั้นกลับด้องไข้เวลามหาศาลมาทดแทน

เพราะไร้ชื่งทางเลือก เขาได้แส่อ่อนกำลังเคล็ดวิชาเทวะควบคุมลง
ทำให้มีดแกะสลักสามารถเคลื่อนไหวได้เร็วขึ้นเล็กห้อย

ไม่นานจากนั้น อาจารย์จารึกหลายท่านก็ทำยันต์รวบรวมนั้าได้
สำเร็จ

มีแต่ฉินหยุน และอาจารย์จารึกระดับกลางหลายท่านที่ยังทำไม่
สำเร็จ และฉินหยุน ลึอผู้ที่ข้าที่สุด

เมื่อเห็นดังนี้ หลันฮัวอวี้จึงเริ่มพิจารณายันต์รวบรวมนั้าของอาจารย์
จารึกคนอื่น

ตอนที่ 306 บีบเค้น

การพิจารณาคุณภาพของยันต์รวบรวมนํ้า ก็คือสั่งให้มันทำงาน
รวบรวมนํ้าขึ้นมา

นํ้าวิญญาณจะถูกใส่เอาไวในถังผลึกแต้วโปร่งแสง จากนั้นจึงค่อยชั่ง
นั้าหนัก

บุคคลแรกที่เสร็จสิ้นการทดสอบรอบนี้ เป็นอาจารย์จารึกระดับสูง
วัยกลางคน เป็นเขาทำเสร็จไต้รวดเร็วที่สุด

หถันฮัวอวี้นำยันต์รวบรวมนั้าสั่งการทำงาน และวางเอาไว่ในถังผลึก
แต้วที่สูงเท่าคนผู้หนี้ง

วูบ...

ยันต์รวบรวมนั้าเริ่มสูดกลืนพลังเต้าตะวัน จากนั้นจึงก่อเกิดขึ้นเป็น

นั้ากระจ่างใสในผลึกแต้ว

ไม่นานนัก กว่าครึ่งถังผลึกจึงลูกเติมเต็ม

นั้าวิญญาณ ถือว่าพิเศษและเบากว่านั้าทั่วไป ปริมาณของนั้าวิญญาณ
ในถังขนาดใหญ่นี้ หากเต็มที่ก็ราวสองร้อยจินเท่านั้นเอง
มันขึ้นอยู่กับตัวยันต์แต้ว ว่าจะสามารถรวบรวมนั้าไต้มากเท่าใด
หลังการทดสอบ อาจารย์จารึกระดับสูงต่างก็ไต้ผลลัพธ์ใกล้เคียงถัน

หากผ่านมาตรฐานได้รับนั้าเกินครึงถัง และนํ้าหนักสามารถเกินกว่า
หนึ่งร้อยจิน ก็ถือว่าผ่าน พวกเขาเหล่านี้ชั่งนํ้าหนักได้ต่างถันเพียง
หลักหน่วยจินเท่านั้นเอง

ทางด้านอาจารย์จารึกระดับกลาง พวกเขาอ่อนด้อยกว่าอาจารย์จารึก
ระดับสูง ชั่งนั้าหนักแล้วได้แก่ห้าสิบถึงหกสิบจิน ดังนั้นจึงไม่อาจ
เติมเต็มได้ถึงครึงถัง

ผู้ที่ล้มเหลว ส่วนใหญ่จะเป็นอาจารย์จารึกระดับกลาง รอบนี้เป็นการ
ถัดออก ดังนั้นอาจารย์จารึกระดับกลางหลายท่านจึงถูกถัดออกด้วย
เหตุนี้

หถันเฟิงจินเป็นอาจารย์จารึกระดับสูง และเป็นผูป็กตนขอบเขต
วรยุทธ์เต๋า ดังนั้นนางจึงผ่านมาได้โดยไม่มีปัญหา

ขณะนาฬิกาทรายไหลจนเกือบหมดสิ้น ในที่สุดฉินหยุนก็ทำยันต์
รวบรวมนั้าได้สำเร็จ เขาเป็นคนสุดห้ายที่จะเข้ารับการทดสอบ!

“นี่ขอรับ!” ฉินหยุนดูเหนื่อยล้าอย่างยิ่งขณะเดินไปหาหถันยัวอวี เขา
ส่งยันต์รวบรวมนั้าด้วยมือทั้งสอง

หถันฮัวอวี้รับยันต์รวบรวมนั้ามา เมื่อได้เห็นผังวิญญาณที่แกะสลัก
ไร้เขากลายเป็นตื่นตกใจ นี่ก็เพราะเขาเป็นผู้มากประสบการณ์ เพียง
มองก็ทราบว่าผังจารึกนี้มีความวิจิตรเป็นอย่างยิ่ง!

“ยันต์กระดูกนั่นสร้างขึ้นจากกระดูกเหล็กกล้าชั้นเลิศ น่าจะต้องเพิ่ม
ความยากในการแกะสลักไม่น้อย ด้วยเหตุนี้ระดับความวิจิตรของผัง
วิญญาณย่อมต้องเลวร้าย!”

“ใช่แล้ว เจ้าหนูนี่ก็แค'คนรักสนุกที่จะอวดโอ่ เพียงต้องการใน้ด้อื่น
ทราบว่าตัวเขามีกระลูกเหล็กกล้าระดับราชัน”

“ตอนที่แกะสลักผังวิญญาณ เขาคงนึกเสียใจที่นำเอากระลูกเหล็กกล้า
ระดับราชันออกมาใช้ เพียงเรื่องที่แกะสลักช้าเป็นเต่า ก็เห็นกันแล้ว
ว่าเป็นยังไง!”

อาจารย์จารึกระดับกลางหลายคนที่ถูกกัดออก ต่างเย้ยหยันกันเสียง
เบา

หลันฮัวอวี้มองที่ผังจารึก เขาสัมผัสมันด้วยปลายนิ้ว และเอ่ยคำออก
เสียงเบา “ฉินหยุน รอเดี๋ยว ช้าคิดอยากเห็นความวิจิตรของผังจารึก
เจ้า พวกมันสูงลํ้านัก!”

ขณะกล่าวคำจบ เขานำเอากระจกออกมา และวางยันต์รวบรวมนํ้า
ของฉินหยุนลงไป

ไม่ช้า สี่เส้นปรากฏขึ้นบนพื้นผิวของกระจก!

เป็นความวิจิตรระดับที่สี่!

“นี่มีอะไรผิดพลาดหรือไม่? ฉินหยุนแกะสลักผังวิญญาณที่ความวิจิตร
ระดับสี่อย่างนั้นหรือ?” ชายชราเผยนั้าเสียงประหลาดใจอุทานออกมา
“กระทั่งพวกเรา ด้วยมีดแกะสลักที่ดี ก็ทำได้เพียงระดับสี่เท่านั้น!”

“ฉินหยุนสามารถใช้มีดแกะสลักระดับตั้า แกะสลักความวิจิตรระดับ
สี่ออกมา เป็นไปไม่ได้!”

ฉินหยุนเองยังประหลาดใจ เขาไม่คิดว่าด้วยการประสานเคล็ดวิชา
เทวะควบคุม มันจะทำให้ผลลัพธ์ความวิจิตรเพิ่มขึ้นได้เพียงนี้ หาไม่
แล้ว เขาคงแกะสลักได้เพียงความวิจิตรระดับที่สอง

สำหรับอาจารย์จารึกระดับสูง ผังจารึกที่พวกเขาแกะสลักต่างก็อยู่
ระดับสอง!

นี่ถือเป็นการเหยียบหห้าอาจารย์จารึกเฒ่าชราหลายคน!

กระทั่งอาจารย์จารึกเฒ่าชรา ยังพบว่าเรื่องนี้ยากยอมรับที่มีดแกะสลัก
ระดับตั้าทั่น จะแกะสลักผังวิญญาณที่ความวิจิตรระดับลึ่ขึ้นมาได้

จาวฉวนได้เห็นหลายคนไม่ยอมรับเรื่องนี้ เขาจึงกล่าว “กระทั่งเป็น
หลันสัวอวี้และข้าที่ใช้มีดแกะสลักระดับตั้า ระดับความวิจิตรก็ได้
เพียงแค'สี่หรือไม่ก็ห้า เพื่อให้ได้ความวิจิตรระดับนั้น ฉินหยุนถือว่า
ใกล้เคียงระดับพวกเรา เป็นเขาเหนือลํ้ากว่าอาจารย์จารึกระดับสูง
แล้ว!”

ก่อนหน้านี้ เขาทราบว่าระดับความวิจิตรของฉินหยุนคือระดับที่น้า

ดังนั้นแล้ว เขาจึงทราบพื้นฐานตรงส่วนนี้ของฉินหยุน กระนั้น เขาก็
ยังคงต้องแปลกใจ เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้ มันแทบเทียบเคียง
กับพวกเขาที่เฒ่าชรา!

อาจารย์จารึกระดับสูงหลายคนกล่าวด้วยสีหน้าแดงกา “เจ้า... ทำไต้
อย่างไรกัน? กระทั่งว่ามีพรสวรรค์ อย่างมากก็เพียงแค'เข้าใจผังจารึก
การจะเพิ่มความรู้และเข้าใจ ต้องผ่านกาลเวลาหลายต่อหลายปีเพื่อ
ปีกฝนและสร้างความคุ้นเคยกับมีดแกะสลัก!”

“หรือเจ้ามีเคล็ดลับอันใด? จงบอกต่อพวกเรา อย่าได้ปิดบังแล้ว!”

“ใช่แล้ว ด้วยเคล็ดลับที่ดีเลิศเช่นนั้น จงบอกกล่าวต่อ เจ้าหนู อย่าได้
เห็นแก่ตัวเก็บเอาไจ้วแต่เพียงผู้เดียว!”

“จงรีบบอกออกมา นี่เป็นการแข่งขัน พวกเราล้วนมาเพื่อแลกเปลี่ยน
ความรู้กัน อย่าได้ปิดบัง!”

กลุ่มผู้เฒ่าที่อิจฉาฉินหยุนเริ่มต่อว่าเขาโดยพร้อมกัน กล่าวว่าเขามี
เคล็ดลับที่ช่วยเพิ่มระดับความวิจิตร!

ทุกคนต่างขมวดลิ3ว ความรู้สึกบอกต่อพวกเขาชัดเจนว่า กลุ่มผู้เฒ่า
เหล่านี้ไร้ยางอาย!

ฉินหขุนเองก็มีโทสะเพราะคำกล่าวเหล่านี้ เขาแค่นเสียงเป็นการ
ตอบกลับ “ด้วยพื้นฐานพวกท่าน ข้าเกรงว่าจะไม่มีผูใดเรียนรู้ได้!
บางที กระทั่งเรียนรู้จนตายตก ก็ไม่อาจทำได้ด้วยซํ้า!”

เป็นเรื่องปกติที่อาจารย์จารึกระดับสูงจะหยิ่งผยอง เมื่อถูกเยาะเย้ย
เพียงนี้ โทสะพวกเขาแทบด้นพีน

“เข้าหนู เป็นเข้าที่ไข้ความสามารถ! พวกเราเป็นอาจารย์จารึกอาวุโส!
เข้ากด้าดีอย่างไรปรามาสต่อพวกเรา ทั่งที่เป็นเพียงแค่อาจารย์จารึก
ระดับกลาง? ช่างโอหังและอวดลีนัก!”

“จงรีบเร่ง ขออภัยต่อพวกเรา และส่งมอบเคล็ดลับของเข้าด้วยมือทั่ง
สอง ไม่เช่นนั้น เข้าจะไม่อาจออกไปจากที่นี่ในวันนี้ได้!”

“ฉินหยุน ที่นี่คือตำหนักดวงดาววิญญาณสีคราม อย่าได้อวดดีให้
มากนัก จงแสดงความจริงใจ แบ่งปันเคล็ดลับเพื่อเพิ่มระดับความ
วิจิตรมาเสีย!”

ฉินหยุนมองใบหนัาเฒ่าชราเหล่านั้นด้วยความรังเกียจ เขาแค่นเสียง
อีกคราหนง “ข้าใช้เคล็ดวิชาเทวะควบคุม ผสานรวมเข้ากับมีด
แกะสลัก พวกท่านทุกคนต้องไปเรียนรู้เคล็ดวิชาเทวะควบคุมจาก
อาจารย์ด้ก่วย แน่นอน ตาเฒ่าสวะอายุเป็นข้อยปืเช่นพวกท่าน คงไม่
มีทางเรียนรู้เคล็ดวิชาเทวะควบคุมได้!”

“เจา... เจ้าว่าอะไร? เจ้ากล่าวว่าพวกเราเป็นสวะหรือ?”

แม้พวกเขาชราไปบ้าง กระนั้นก็เป็นอาจารย์จารึกระดับสูง พวกเขา
ม้วนได้รับความเคารพสูงส่งจากผู้เยาว์เสมอมา

“ฉินหยุน เจ้าสิสวะ สวะตั้งแต่สายเลือดของเจ้า ทั้งหมดก็เพราะโชค
หล่นทับเจ้าจึงได้กลายเป็นอาจารย์จารึก กม้าดีอย่างไรพ่นวาจาไร้
สาระที่นี่!”

พอจี้ไค่หลินเห็นดังนี้ เขาตื่นเด้นขณะเร่งรีบตะโกนขึ้น “ฉินหยุน จง
คุกเข่าขออภัยเสีย! เจ้าเพิ่งล่วงเกินอาจารย์จารึกอาวุโสทั่วทั้งสนาม
แข่งขันแห่งนี้ไป!”

“คุกเข่า! อาจารย์จารึกเหล่านี้ ใช้เวลาทั้งชีวิตศึกษาวิถีจารึกแห่งเต๋า
เด็กบ้อยเช่นเจ้ากม้าลีอย่างไรหยอกม้อพวกเขาเล่น?”

“ฉินหยุน เจ้าควรร้ว่าอาจารย์จารึกระดับกลางไปสู่ระดับสูงนั้นยาก
เพียงใดหรือไม่ใช่? เจ้าก็แค'คนอวดลีที่ปากมาก!”

ผู้เยาว์หลายคน เช้าสนับสนุนอาจารย์จารึกอาวุโสของพวกเขา ปาก
นั้นเริ่มต่อว่าฉินหยุนเสียงดังไม่หยุด

ฉินหยุนไม่ได้คิดก่นด่า กระนั้นผู้เฒ่าเหล่านี้กลับไร้ยางอาย คิดบีบ
บังคับใบ้เขาส่งต่อเคล็ดลับ!

นอกจากนีแลว ท่าทีของพวกเขายังหยิ่งผยองอย่างไร้ก้นบึง กระทั่ง
คิดข่มขู่เขา ย่อมเป็นปกติที่เขาจะมีโทสะ

“ก็แค่อาจารย์จารึกระ ดับสูงไม่ใช่หรือยังไง? ข้าก็เป็นมานานแก้ว!”
ฉินหยุนตะคอกตอบ นำเอาเหรียญตราสีทองเป็นประกายออกมา!

นี่คือหลักฐานการเป็นอาจารย์จารึกระดับสูง!

ผู้คนที่ก่นด่าฉินหยุน อดไม่ได้ที่จะชะงักปาก เพราะแสงสว่างสีทอง
จากเหรียญตรามันทิ่มแทงดวงตาพวกเขา!

ภายในตำหนักจารึกวิญญาณ กลายเป็นเงียบงันเพียงอึดใจ!

พวกเขาเหล่านี้เหม่อมองเหรียญตราสีทองในมือของฉินหยุน
ด้วยอายุยังไม่ถึงสิบแปดดี แต่เป็นอาจารย์จารึกระดับสูง!

ความรุนแรงของเรื่องนี้ ทำเอาจิตใจหลายผู้คนบอบชํ้าเพราะเป็น
เรื่องเกินกว่าที่ผู้ใดจะคาดถึง

ชั่วขณะที่พวกเขาเห็นเหรียญตรา หลายคนต่างตะโกนออก “เป็นไป
ไม่ได้” อยู่ภายใน

“เป็นของจริง!” ข้าวฉวนกล่าวออกอย่างเฉยชา เป็นการทำลายความ
เงียบงัน

ไม่ช้า ทั่วห้องโถงตำหนัก กลายเป็นระเบิดออกด้วยคลื่นเสียงและ
คำถาม

“ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่ ซัอเท็จจริงไม่อาจเปลี่ยนแปลง!” จ้าวฉวนไม่
คิดอธิบาย กระนั้นเขายิ้มอ่อน “เหล่าหลัน เร่งมือตรวจสอบยันต์
รวบรวมนั้าของฉินหยุน!”

ผู้คนค่อยเงียบเสียง พวกเขากำลังจ้องมองฉินหยุนด้วยความริษยา
อย่างถึงขีดสุด

สำหรับอาจารย์จารึกเฒ่าชราจากตำหนักดวงดาววิญญาณสีคราม
พวกเขาไม่กล่าวคำใดอีก ได้แต่เก็บเอาความขุ่นมัวไว่ในใจ

ตอนนี้ ทุกคนต่างรู้สึกว่า ฉินหยุนคือผู้มีคุณสมบัติที่จะบอกว่า
อาจารย์จารึกเฒ่าเหล่านั้นเป็นสวะ!

อาจารย์จารึกเฒ่าชราเหล่านั้น อยู่กันมาเกินกว่าจ้อยปืที่งสิ้น

กระนั้น พวกเขาก็เป็นได้แค่อาจารย์จารึกระดับสูง แต่ลับฉินหยุน ที่
อายุยังไม่ถึงแม่ยี่สิบ กลับมีระดับเทียบเคียงพวกเขาได้แห้ว!

เรื่องนี้ทำเอาอาจารย์จารึกเฒ่าชราหลายคนอับอายร้ายแรง พวกเขา
แทบไม่คิดอื่นใด เพียงแต่อยากวิ่งออกจากที่นี่ เอาหัวโขกเด้าห้ให้
ตายตก พวกเขารู้สึกว่าหลังใช้ชีวิตมานานยิ่ง กลับกลายเป็นว่าตัวเอง
ก็แค'สุนัขเฒ่าที่มีชีวิตยาวนานเท่านั้นเอง!

หลันฮัวอวี้ทราบนานแล้วว่าฉินหยุนหาไต้ธรรมดาไม่ กระนั้น เขาก็
ยังต้องประหลาดใจ เขายิ้มรับและวางยันต์รวบรวมนั้าของฉินหยุน
ใส่ไวในลังโปร่งแสง

วูบ! วูบ! วูบ!

ยันต์เริ่มทำงาน มันสั่นไหว พร้อมปล่อยคลื่นนั้าออกอย่างบ้าคสั่ง
และต่อเนื่อง ไม่ชัาก็ถึงครึ่งลังแล้ว!

แม้ดูเหมือนเพียงครึ่งถัง แต่ฉินหยุนอยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่
เล้า พลังงานที่เขามี ด้อยกว่าผู้ฟิกตนวรยุทธ์เต๋าอย่างไม่อาจโต้แย้ง
กระนั้น ยันต์ของเขากลับทรงอำนาจทัดเทียมขอบเขตวรยุทธ์เต๋า!

ใบหม้าของอาจารย์จารึกเฒ่าชราเริ่มหมองหม่น จากนั้น กลับกลาย
เป็นแดงกา

อาจารย์จารึกระดับสูงที่ได้รับความเคารพนับถือ แม้จริงกลับเสมอ
ทัดเทียมลับปีศาจม้อยตัวนี้!

พวกเขากล่าวก่อนหม้านี้ ว่าอาจารย์จารึกระดับสูงถือเป็นที่นับหม้า
ถือตา!

กระนั้น พวกเขาก็ถูกฉินหยุนในตอนนี้เหยียบที่ใบหม้าเข้าอย่างจัง!

ฉินหยุนเป็นอาจารย์จารึกระดับสูงเช่นเดียวกัน ดังนั้นแล้ว สถานะ
ย่อมทัดเทียมพวกเขา ทว่าด้วยความเยาว์วัย พละกำลังของเขายัง
เด่นชัด

“ยันต์รวบรวมนั้ไที่ฉินหยุนทำขึ้นอยู่อันดับที่สิบ นั้าหนักอยู่ที่หนึ่ง
ร้อยสองจิน กับอีกห้าเหลี่ยง!” หลันฮัวอวี้ประกาศ

ที่เหนือกว่าหนึ่งร้อยจิน มีแต่อาจารย์จารึกระดับสูง และฉินหยุนก็อยู่
อันดับที่สิบ!

เรื่องนี้เป็นผล ให้อาจารย์จารึกอาวุโสหลายคนที่ดัอยกว่าเขาล้วน
ใบหห้าแดงกาดัวยความอับอาย

ม่หรงล้าเหรินตอนนี้ค่อยหัวเราะออก “ไล้หยา ใบหห้าหนาปานนั้น
นึกว่าหห้าแดงละอายไม่เป็นเสียอีก! เมื่อครู่ผูใดกันที่ไร้ยางอาย
ขนาดปีบบังคับผู้อื่นส่งต่อเคล็ดลับ แต่ตอนนี้กลับไม่มีที่ให้ใบหห้า
ไล้เสนอเสียแล้ว!”

“ดูพวกท่านสิ! เมื่อครู่ยังบอกว่าเขาอ่อนล้อย ยังปรามาสต่อเขา คิด
บีบบังคับให้เขาแบ่งปันเคล็ดลับ แสดงท่าทีหยิ่งผยอง บุคคลเช่นนี้
สมควรเป็นอาจารย์จารึกจริงหรือ?”

“แห้จริงแล้ว มันไม่แปลกเลยที่ฉินหยุนจะเป็นอาจารย์จารึกระดับสูง
กระนั้น ผู้ไร้ยางอายเฒ่าชรากลุ่มนี้กลับสายตาหามีแววไม่ พอได้

ทราบว่าฉินหยุนเป็นอาจารย์จารึกระดับสูงแล้วกลับตื่นตะลึงจน
พูดจากันไม่ออก”

กล่าวคำจบ ม่หรงด้าเหรินเร่งรีบหลบไปอยู่ล้านหลังเซี่ยอู๋เฟิง

ความสามารถในการยั่วยุผู้คนของเขา ถือเป็นที่สุดแล้ว!

หากกล่าวไปแล้ว ล้ามีวิชายั่วยุผู้คน เขาคงถึงขั้นสมบูรณ์แบบ!

หลายคนต่างมองม่หรงล้าเหรินอย่างโกรธแล้น กระนั้น พอพวกเขา
ได้เห็นสีหน้าเย็นเยือกของเซี่ยลู๋เฟิง พวกเขาไล้แส่รั้งปากเอาไล้

เซี่ยอู๋เฟิง ฅํฟิกตนดาบอันลึกลับ ผู้ซึ๋งจ้าวตำหนักใหญ่คาดหวังเอาไล้
สูง จะมีก็แต'จี้ไค่หลิน ผู้ซ็งมีพื้นเพอันแข็งแกร่งจึงไม่หวาดกลัวต่อเขา

“รอบที่สองเสร็จสิ้น อาจารย์จารึกที่ไม่อาจผ่านสู่รอบลัดไป ขอเชิญ

ออกจากสนามแข่งแล้ว!” หลันฮัวอวี้กล่าวขึ้น

หลังอาจารย์จารึกที่พ่ายแพ้จากไป เขาจึงเริ่มแจกจ่ายหยดอัคคีดารา

อาจารย์จารึกทุกคนที่ผ่านรอบนี้ จะไล้รับหยดอัคคีดารา กล่าวลันว่า
มันเป็นสิ่งพิเศษซ็งมีแต่ที่ตำหนักศักดสิทธวิญญาณสีคราม ผู้คนจาก
อีกสี่ตำหนัก ล้วนอยากได้พวกมันมาโดยตลอด

สิ่งวิเศษนี้ เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ตำหนักสักดสิทธวิญญาณสีครามใชั
ดึงสูดศิษย์จากอีกสี่ตำหนัก

ตอนที่ 307 ให้ข้าเป็นอาจารย์

หลังจากการแข่งขันจารึกในรอบที่สองเสร็จล้น ฉินหยุนจึงตาม
จ้าวฉวน เร่งรีบกลับไปยังบ้านพักในป้าของหลันยัวอวี้

หลันเฟิงจินเองก็มาลับฉินหยุน นางทราบว่าฉินหยุนอ่อนบ้ายิ่ง
ดังนั้นนางจึงเร่งรีบกลับมาพักผ่อนบ้วยเช่นเดียวกัน

โดยทันที ฉินหยุนพอมาถึงจึงผล็อยหลับไป เป็นเขาฟินฟ่ตัวเอง
รวดเร็ว ผ่านไปคืนหนึ่งเขาก็ตื่นขึ้นมาอย่างกระปร้กระเปร่าแบ้ว

ขณะชำระกายและเดินออกจากบ้านไบ้ เขาไสัเห็นขาที่ยาว เรียว และ
ดึงสูดของหลันเฟิงจิน เป็นนางกำลังวาดผังวิญญาณบนโต๊ะหิน
“พี่หลัน ท่านขยันนัก!” ฉินหยุนเดินเขาไป ล้มและกล่าวคำ

“แน่นอน เพราะเทียบกับเจ้า ข้าก็ยังเป็นแค'สวะ ข้าบ้องพยายามใบ้

มากขึ้น!” หลันเฟิงจินแสร้งประชดขณะบุ้ยปาก

ไม่เพียงแต่ฉินหยุนแข็งแกร่ง เขายังมีวิถีจารึกแห่งเต๋าที่ยอดเยี่ยม

เมื่อใดที่เขาบ้าวสู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋า ย่อมบ้องเป็นตัวตนที่น่าสะพรึง
อย่างยิ่ง

“พี่หลัน เป็นข้าไบ้รับเคล็ดลับเพิ่มความแม่นยำขึ้นจริง เป็นการใช้
พลังจิตผสานไปลับมีดแกะสลัก!”

“อันที่จริง อังมีเคล็ดวิชาอีกมากที่คล้ายกับเคล็ดวิชาเทวะควบคุม
ล้วยสถานะของท่าน ย่อมสามารถหาเคล็ดวิชาเหล่านั้นมาศึกษาได!”
นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนงที่เขาเข้าใจผ่านการย่อยข้อมูลในวันนี้

หลันเฟิงจินถอนหายใจ “การเชี่ยวชาญเคล็ดวิชาพลังจิตไม่ใช่เรื่อง
ง่าย! แล้พลังจิตของข้าไม่แย่ กระนั้นก็ยากที่ข้าจะเรียนรู้เคล็ดวิชา
พลังจิตพวกนั้น กระทั่งป้ซัาก็ไม่อาจ!”

“ให้ซัาชี้แนะท่านเป็นไร?” ฉินหยุนหัวเราะ “ข้าจะไล้เป็นอาจารย์ให้
ท่าน!”

“อาจารย์ฉิน โปรดรับข้าเป็นศิษย์แล้ว ล้องให้โขกหัวรับเป็นศิษย์
ด้วยหรือไม่?” หลันเฟิงจินเผยสีหห้าจริงชัง นางแทบคิดคุกเข่าโขก
หัวจริง

ฉินหยุนมองที่ขาเรียวยาวทรงเสน่ห์คู่นั้น นางกำลังคิดคุกเข่าลงกับ
พื้น เขาตกใจถึงขั้นตะโกนออก “พี่หลัน อย่าไล้แล้ว หากปท่านเห็น
เข้า ข้าคงรู้สึกแย่แน่!”

เขาเร่งรีบช่วยหลันเฟิงจินให้ลุกขึ้น จากนั้นเขาจึงหันมองหห้าหลัง
เกรงว่าหลันฮัวอวี้จะอยู่แถวนี้

หลันเฟิงจินเป็นหญิงสาวที่สง่างาม ทั้งอังเป็นผูฟิกตนขอบเขตวรยุทธ์
เต๋าตั้งแต่อังเยาว์

ฉินหยุนยอมรับการคุกเข่าโขกหัวของนางไม่ได้!

“หากเจ้าไม่รับข้าเป็นศิษย์ข้าก็ไม่ลุกขึ้น!” หลันเฟิงจินดื้อรั้น
“ท่านถึงกับเอาจริง!”

พอฉินหยุนได้เห็นสีหน้าเอาจริงของหลันเฟิงจิน เขาถึงขั้นไม1ทราบ
ควรทำอย่างไรดี เขาทำได้แต่ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี คจ้าแขนของ
นางดึงใน้ลุกขึ้น

หลันเฟิงจินเป็นผูฟิกตนขอบเขตวรยุทธ์เต๋า พละกำลังย่อมเหนือกว่า
นางลากถ่วงตัวเองกับพื้น ฉินหยุนไม่อาจดึงนางขึ้นมาได้
“รับข้าเป็นศิษย์!” หลันเฟิงจินเงยหน้าขึ้น บุ้ยปากและกล่าวออก

ฉินหยุนรู้สึกว่า ตนสมควรหลบซ่อนตัวในน้องแล้วหลับต่อไป เขา
ถึงขั้นสบถต่อตนเองที่ปากพล่อยบอกจะชี้แนะแล่หลันเฟิงจิน
กระทั้งนางคิดใหัเขาเป็นอาจารย์

“ข้าตัดสินใจแล้ว หากเจ้าไม่ยอมรับ ข้าจะคุกเข่าอยู่ตรงนี้ไม่ลุกไป
ไหน!” ดวงตาของหลันเฟิงจินงดงามทอประกาย ฉายความดื้อรั้น
ออกมา

ฉับพลันนี้เอง ออร่าของหลันฮัวอวี้และจ้าวฉวนปรากฏขึ้นอยู่ไกล
ออกไป

ฉินหยุนแตกตื่น กล่าวคำเบา “ทราบแล้ว ทราบแล้ว ข้ารับท่านเป็น
ศิษย์แต่ท่านตองสัญญาต่อข้า อย่าได้บอกเรื่องนีต่อผู้!ด!”

“ไม่มีปัญหา อาจารย์โปรดรับการโสังศีรษะให้ข้าได้เป็นศิษย์!”

หลันเฟิงจินโล้งให้ฉินหยุนหลายครั้ง จากนั้นนางจึงหัวเราะออก ตบ
ขาตัวเองขจัดฝ่นออกไป

“อย่าไล้เรียกข้าเป็นอาจารย์ส่อหห้าผู้อื่น!” ฉินหยุนกล่าวคำเบา หัน
มองไกลออกไป หลันฮัวอวี้คับข้าวฉวนกำลังเดินมาทางนี้ รอยยิ้ม
ประดับใบหห้านั้งคู่

“อาจารย์ห้อย เมื่อใดคิดชี้แนะต่อข้า? คืนนี้ดีหรือไม่?”

หลันเฟิงจินหัวเราะคิกคัก ขณะนี้นางก็หยอกล้อโดยยิ้มใบหห้าหล่อ
เหลาของฉินหยุนไปล้วย

“คืนนี้แล้วคัน กลางวันพวกเรายังล้องเข้าร่วมการแข่งขัน ดังนั้นรึงมี
เวลาไม่มาก!” ฉินหยุนพบว่าเรื่องนี้กลายเป็นปัญหา เขาไม่ได้คิด
อยากรับศิษย์

เขาไม่คิดเลยว่าหลันเฟิงจิน ผู้ซ็งเป็นหญิงแกร่ง จะยินยอมเรียกหา
เขาเป็นอาจารย์นอกจากนีแสัว นางยังโล้งศีรษะให้อย่างจริงจังเสีย
ด้วย

เขาคิดว่า หากหลันเฟืงจินเต็มใจคิดอยากเป็นศิษย์เขาจริง เช่นนั้น
ย่อมต้องได้รับผลประโยชน์อะไรบ้าง อย่างไรแต้ว นางก็เป็นผูฟืก
ตนที่แข็งแกร่ง พื้นเพก็ยอดเยี่ยม นอกจากนี้ นางยังมีขาที่เรียวสวย
งดงาม...

อาจารย์จารึกหลายท่านมีลูกศิษย์แต่อาจารย์จารึกส่วนใหญ่จะรับ
ศิษย์ก็เพื่อใบ้พวกเขาช่วยงานจิปาถะ

“ฉินหยุน เจ้าฟืนตัวเร็วนัก!,, จ้าวฉวนหัวเราะเดินเจ้ามา “วันพรุ่งนี้
ยังมีการประลองอีกสองครั้ง แต่ละรอบยิ่งมายิ่งยาก หากเจ้าไม่อาจ
รับไหว ก็ยอมปล่อยวางสักหนึ่งย่อมไม่เป็นไร!,,

หลันฮัวอวี้หัวเราะ “เด็กหนุ่ม อย่าได้โลภจนเกินไป เจ้าร่วมการ
แข่งขัน และรับรางวัลอันดับที่หนึ่งสักงานก็ถือว่าเป็นรางวัลที่มาก
แต้ว,,

“เป็นท่านกังวล ว่าจ้าจะได้อันดับหนึ่งนั้งสองงาน จะกลายเป็น
ตำหนักสักดสิทธของท่านที่ลำบากใจสินะขอรับ!,, ฉินหยุนหัวเราะ
คิกสักตอบ

“หากเจ้าชนะ ย่อมเป็นการทำลายชื่อเสียงของตำหนักสักดสิทธ
วิญญาณสีคราม กระนั้น... ซัาก็รู้สึกยินดี!,, หลันเฟืงจินหัวเราะ ฉิน
หยูนเป็นอาจารย์ของนาง นางย่อมด้องยินดีที่เขาจะชนะ

หลันฮัวอวี้หัวเราะพลางต่อว่า “เด็กน้อย เจ้ากลับไปพักเสีย เตรียมตัว
ใน้พจ้อมเจ้าไว้!”

“ฉินหยุน เมื่อครู่เจ้าบอกว่ามีเรื่องความวิจิตรอยากหารือกับจ้า
เช่นนั้นก็ไป!” หลันเฟิงจิน ฉุดลากฉินหยุนไปยังน้านไมัของนาง

หลันยัวอวี้ส่ายศีรษะ พลางยิ้มไม่เห็นด้วยกับตัวเอง “เด็กน้อยผู้นี้ไม่
คิดปรึกษาจ้า แต่คิดปรึกษากับฉินหยุน... สูเหมือนในสายตาของ
นาง ฉินหยุนจะอยู่ระดับเดียวกับจ้าแล้ว!”

จ้าวฉวนหัวเราะเสียงดัง “ตอนแรกเจ้าบอกว่าจ้าทำพลาด แต่ตอนนี้
เจ้าคงไสัรู้แล้วว่าเจ้าหนูนี่มีพรสวรรค์เพียงใด!”

ภายในน้านไน้ของหลันเฟิงจิน ฉินหยุนรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง

หลันเฟิงจินจงใจเผยขาเรียวยาวของนาง มันช่างดึงสูดสายตาเขา
จนเกินไป

“อาจารย์อาจารย์คิดสอนเคล็ดวิชาเทวะควบคุมแก่จ้าใช่หรือไม่?”

หลันเฟิงจินทำตัวราวศิษย์น้อย เขย่าแขนฉินหยุนราวเด็กด้องการ
สิ่งของ

“พี่หลัน จ้าจำได้ว่าท่านเป็นหญิงแกร่งผู้หนง...” ฉินหยุนพบว่าท่าที
ของหลันเพีงจินตอนนี้ราวกับเด็ก เขาถึงขั้นตัองหัวเราะแห้งออก

หลันเฟิงจินแลบลิ้นให้เห็น นั่งลงกับเก้าอี้ ขัดสมาธิบนเก้าอี้ด้วยก้น
ขางดงาม นางเม้มริมใใปากและกล่าว “ก็ได้ข้าไม่เล่นแก้ว อาจารย์
เป็นข้าจริงจัง อยากเป็นศิษย์ของท่าน!”

ได้เห็นท่าทีของหลันเฟังจิน ฉินหยุนรึงลิ้ม “ควรเป็นแบบนี้! ก็ได้ข้า
จะเริ่มสอนเคล็ดวิชาเทวะควบคุมแก่ท่าน!”

เคล็ดวิชาเทวะควบคุมเป็นของด้ก่วย ย้อนกลับไป ด้ก่วยบอกต่อฉิน
หยุน ว่าเขาสามารถส่งต่อวิชานี้ต่อศิษย์ที่ดีในภายหห้าได้
ด้วยเหตุนี้ ฉินหยุนรึงคิดส่งต่อให้แก่หลันเฟังจิน

หลันเฟิงจินมีความเข้าใจที่ดีเยี่ยม เนื่องจากก้าวถึงขอบเขตวรยุทธ์
เต๋าตั้งแต่ยังเยาว์พื้นฐานทางวิชายุทธ์ของนางจึงค่อนข้างดี

นางจดจำเคล็ดวิชาเทวะควบคุม รับฟังฉินหยุนอธิบายอย่างตั้งใจ
นางอดไม่ได้ที่จะอุทานร้องออกด้วยความชื่นชม

“เคล็ดวิชาเทวะควบคุมช่างยอดเยี่ยมนัก ข้าสงสัยว่ามันทรงพลังยิ่ง
กว่าเมื่อเทียบลับวิชายุทธ์พลังจิตของตำหนักสักดสิทธเรา!”

ฉินหยุนตระหนกเล็กห้อย “วิชายุทธ์พลังจิตของตำหนักสักดสิทธ
วิญญาณสีครามของท่าน ยังด้อยกว่าเคล็ดวิชาเทวะควบคุมหรือ?”

“แน่นอน ห่างไกลมากเลย!” หลันเฟิงจินถอนหายใจ “วิชายุทธ์พลัง
จิตที่ดีเยี่ยมลัวนสูญหาย ตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามของพวกเรา
สู้กับสำนักอื่นในแดนยุทธ์อ้างว้าง บรรพบุรุษและสู้อาวุโสมากมาย
อ้วนตายจาก”

“ทั้งหมดนี่ก็เพราะประตูจารึก มันถูกผนึกเอาไว้มีเพียงอ้องผ่านการ
ทดสอบที่โหดเหี้ยมจึงมีคุณสมบัติไอ้เข้าไป ไม่เช่นนั้น ตำหนัก
ดวงดาววิญญาณสีครามของพวกเราจะไม่ตกตาเพียงนี้!”

หลันเฟิงจินพอกล่าวจบ จิตใจฉินหยุนรึงหวั่นไหว เขาคิดอยากเข้าสู่
ประตูจารึก!

“พี่หลัน แม้พวกเราเป็นศิษย์และอาจารย์แต่พวกเราอ้วนเรียกหากัน
เหมือนเช่นเคย อย่าไอ้สุภาพ ข้าหวังว่าจะไอ้เห็นท่านที่เป็นท่าน
ไม่ใช่ท่านที่หยอกอ้อต่อหน้าข้า... ท่านเป็นหญิงแกร่ง ท่านไม่ควร
ทำตัวเหมือนเด็ก!” ฉินหยุนหัวเราะและกล่าว

หลันเฟิงจินมองเขาอ้วยท่าทีวางมาด เป็นนางแค่นเสียงเบาออกมา
“เช่นนั้นย่อมดี ข้าเองก็คิดว่าทำตัวเป็นเด็กเช่นนั้นน่าเบื่อยิ่ง!”

“ข้ากลับไปพักแอ้ว พรุ่งนี้มีเรื่องอ้องเหนื่อยอีกมาก”

พอฉินหยุนคิดว่าพรุ่งนี้ยังมีการแข่งขันอีกสองนัด เขาค่อยรู้สึกตื่นเอ้น
เพี่อแข่งขันให้ดี เขาจำเป็นอ้องเตรียมตัวเองใหัพร้อม

“นอนที่นี่เสียสิ!”หลันเปิงจินลึงเขาให้นอนที่ต้นขา

“ไม่ไต้! ท่านไปทำความสันชินกับเคล็ดวิชาเทวะควบคุม ข้าไม่คิด
รบกวน!” ฉินหยูนเผยสีหห้าจริงจังกล่าวออก

หลันเปิงจินยกริมฟิปากยิ้มขึ้นและส่งเขาออกไป จากนั้น นางค่อยเร่ง
รีบกลับเข้าห้องมาฟิกฝนเคล็ดวิชาเทวะควบคุม

เข้าตรู่วันลัดมา เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วจากป้าเล็ก เป็นผลให้ป้าแห่งนี้

จากที่เงียบงันตลอดคืนค่อยมีชีวิตชีวา

ฉินหยุนตื่นขึ้น เปลี่ยนชุดสวมใส่เป็นสีขาวหลังชำระกาย

เมื่อเปิดประตูออก จึงไต้เห็นหลันเปิงจินสวมใส่ชุดสีนั้าเงิน กำลัง
พูดคุยลับหลันฮัวอวี้และข้าวฉวนเรื่องผังจารึก

“ฉินหยุนตื่นแล้วหรือ! วันนี้คือรอบที่สาม อย่าไต้ทำตัวหาญกล้าแล้ว
หยุดที่ตรงนี้เสีย!” หลันฮัวอวี้หัวเราะ

ข้าวฉวนหัวเราะคิกคัก “เหล่าหลัน เข้าไม่ทราบว่าเข้าหนูนี่เป็น
อย่างไรหรือ? เขาไม่ใช่ผู้ที่คิดยอมแพ้โดยง่าย โดยเฉพาะกับตอนที่
ต้องเผชิญกับพวกคนชั่ว เขาไม่มีทางล้มศีรษะลงอย่างแน่นอน!”

“เช่นกัน ข้าเองยังไม่คิดว่าจะมีพวกนอกคอกในตำหนักสักดสิทธ
วิญญาณสีครามของเข้าเยอะขนาดนี้”

หลันฮัวอวี้ถอนหายใจ “เรื่องนี้ข้าไม่อาจทำอะไรได้จริง ๆ บ่อยครั้ง
มักจะมีหนูบางตัวสูญเสียเสนทางของตนเอง เข้าก็ไม่อาจรับประกัน
ไดใช่หรือไม่ ว่าตำหนักจารึกเทวะจะไม่มีคนที่มีแรงจูงใจชั่วร้าย
ซ่อนเร้น หรือไม่ใช่?”

ข้าวฉวนเผยนํ้าเสียงไม่ยินดี “กระทั่งว่ามี ก็ไม่ได้เยอะอย่างตำหนัก
ดวงดาววิญญาณสีครามแน่!”

ฉินหยุนยิ้มกล่าวขึ้น “การแข่งขันจะเริ่มแล้ว ไปกันลีกว่าขอรับ!”
ระหว่างทาง เขาได้ถามหลันยัวอวี้ ถึงเนื้อหาการแข่งในรอบที่สาม
กระนั้นอีกฝ่ายก็หาได้เปิดเผยออกมาไม่ กระทั่งหลันเฟิงจิน เขายัง
ไม่คิดเปิดเผยให้รับร้

ฉินหยุนและคณะมาถึงก่อน ที่ตำหนักยุทธ์วิญญาณ เขาไม่พบว่ามี
คนมากเท่าใดนักยามที่มาถึง

ทว่า หลายสิบคนในตำหนักยุทธ์วิญญาณตอนนีล้วนทรงพลัง พวก
เขาต่างเป็นขอบเขตวรยุทธ์เต๋า!

“อาจารย์หยาง!” ฉินหยุนตกใจ ถึงขั้นร้องโพล่งออกด้วยความยินดี
หยางฉีเย่ว์ปรากฏลัว ทำเอาฉินหยุนยินดียิ้มไม่ทุบ
นางวันนี้สวมใส่ชุดสีขาวเรียบง่าย ยืนหยัดอย่างสง่างาม ออร่าของ
นางเปล่งประกายความมีชีวิตชีวา ยามเมื่อเห็นฉินหยุนมาถึง รอยยิ้ม
อ่อนจึงค่อยประดับที่ใบหห้าแต่เดิมเย็นชาของนาง

ฉินหยุนมองฝูงชน จึงได้พบว่าไม่มีบุคคลน่ารังเกียจเช่นเชี่ยวหยาง
หลง ดังนี้ เขาค่อยสบายใจขึ้น

เขาหาได้หวาดเกรงเชี่ยวหยางหลง เพียงแต่รู้สึกว่าอีกฝ่ายน่ารังเกียจ
จนเกินจะทานทน

“ฉินหยุน ขาได้ยินเรื่องของเจ้าแล้ว ไม่คิดเลยว่าจะล้าวหน้ารวดเร็ว
เพียงนี้!” หยางฉีเย่ว์ยิ้มบาง

ฉินหยุดปาดเช็ดจมูกตนเอง ก่อนหัวเราะกล่าวตอบ “ทั้งหมดนี้เพราะ
อาจารย์หยางสอนสั่งข้าขอรับ!”

“แม่นางหยาง ข้าจำได้ว่าเจ้าเป็นศิษย์ของตำหนักสักดสิทธวิญญาณสี
คราม เหตุใดวันนี้จึงไม่สวมใส่ชุดของตำหนัก?” จ้าวฉวนเอ่ยถาม
ด้วยความสงสัย

หยางฉีเย่วัตอบ “ในรอบที่สามนี้ ข้าเองก็เข้าร่วม พวกเราฝูจึเกตน
ขอบเขตวรยุทธ์เต๋าทั้งสิ้นน้าสิบคน ได้ถูกคัดเลือกโดยตำหนัก
สักดสิทธจากทั่วทั้งตำหนักดวงดาววิญญาณสีคราม

“ในคราวนั้น พวกเราถูกคัดเลือกใน้เข้าร่วม โดยรับหน้าที่เป็นผู้
ชี้แนะใน้พวกเขาผ่านเข้าสู่รอบที่สี่และน้า! ดังนั้นก่อนหน้านี้พวกเรา
จึงยังไม่ปรากฏตัว”

“วิเศษนัก อาจารย์หยาง ท่านต้องเป็นผูชี้แนะแก่ข้านะ!” ฉินหยุน
กลายเป็นยินดีขึ้นมา เขาร้องโพล่งออกขณะเข้าไปเขย่าแขนอ่อนนุ่ม
ของหยางฉีเย่ว์

“ข้าไม่อาจตัดสินใจ ส่วนกระบวนการนั้น จะขึ้นอยู่กับกฎเกณฑ์การ
แข่งขัน พวกเราเพียงทราบว่าต้องมาเป็นผูชี้แนะ กระนั้นพวกเราไม่
ทราบเรื่องกฎเฉพาะรอบแต่อย่างใด!” หยางฉีเย่ว์ยิ้มหวานกล่าวตอบ
“ข้าเองก็อยากเป็นผูชี้แนะแก่เจ้าเช่นเดียวกัน!”

ตอนที่ 308 : ค่ายอาคมสังหารอัคคีนำแข็ง

ฉินหยุนนึกย้อนถึงสถาบันเทียนเรียวก่อนหน้านี้ วิธีการอาจคล้ายกัน

ที่เขามั่นใจครานี้ ก็คือจำนวนของผูฟิกตนที่จะเข้ารอบลัดไป มากที่สุด
คือน้าสิบคนเท่านั้น!

ท่ามกลางผูป็กตนสองร้อยคน หนึ่งร้อยน้าสิบคนจะถูกกัดออก นี่ถึอ
เป็นเรื่องโหดหินยิ่ง!

“ข้าได้ยินมาว่า เวลาการแข่งขันจะมีการเปลี่ยนแปลง ไม่ได้จัดขึ้น
ทุกวันเหมือนเดิมอีกต่อไป!” ผู้อาวุโสชุดสีนั้าเงินเดินเข้ามาและ
กล่าวคำ

ชายชราผู้นี้ ลึอผู้อาวุโสของตำหนักตะวันออก ฉิวยอี้ฮวย
ฉินหยุนมีประสบการณ์ที่ดีต่อชายคนนี้ อีกฝ่ายเป็นคนดีผู้หนึ่ง

ฉิวยอี้ฮวยคาดหวังเป็นอย่างมาก ที่จะให้ฉินหยุนเข้าร่วมตำหนัก
ตะวันออก เขาเองยังเชื้อเชิญฉินหยุนอยู่หลายครั้ง ทว่าก็ถูกปฏิเสธ
ไม่ข้า ตำหนักยุทธ์วิญญาณกลายเป็นคึกคัก ผู้คนเริ่มมากันมากขึ้น

ทันทีเมื่อพวกเขามาถึง จึงพบเรื่องราวที่จะมีผูซ็แนะ และเรื่องที่รอบ
ที่สามจะดุเดือด

เชี่ยลู๋เฟิงและคณะ เร่งรีบเข้ามาทักทายหยางฉีเย่ว์

ในตำหนักสักดสิทธวิญญาณสีคราม หยางฉีเย่ว์เป็นตัวตนที่แข็งแกร่ง
วิญญาณยุทธ์จันทราอันลึกลับของนาง ยิ่งทำให้นางเปียมด้วยพลัง

หากไม่ใช่ความจริงที่นางหมั้นหมายแก่เชี่ยวหางหลง ผูฟิกตนวัย
กลางคนหลายคน คงเกี้ยวพาราสีนางไปนานแล้ว

“เยวหลานเล่า?” ในตำหนักสักดสิทธวิญญาณสีคราม หยางฉีเย่ว์และ
เชี่ยวเยวหลาน ทั้งสองมีสัมพันธ์ลันดีต่อลัน

“นางเก็บตัวอยู่ ข้าไม่ทราบเช่นลันว่านางจะออกมาได้เมื่อใด แต่นาง
บอกว่า หากไม1ล้าวถึงขอบเขตวรยุทธ์เต๋าจะไม่ออกมา!” หยางฉีเย่ว์
ยิ้มตอบ “เด็กสาวดัทั้นดื้อรั้นเช่นเดียวลับเข้า ถือว่าเป็นค่ที่เหมาะสม

“”1,

ฉินหยุนแลบลิ้นออก พลางคิดถึงช่วงเวลาที่เชี่ยวเย่ว์หลานมาพบเขา
ครั้งก่อน มันทำเอาหัวใจของเขาอบอุ่นขึ้นมา

ม่หรงด้าเหรินยิ้มกล่าวคำออก “เชี่ยวเย่ว์หลานยังเคยสู้กับจี้ไค่หลิน
มาครังหนึ่ง เหตุนั้นนางจึงเก็บตัวัฝ็กฝน นางกล่าวว่าเมื่อล้าวถึง
ขอบเขตวรยุทธ์เต๋า นางจะต้องชัดการจีไค่หลินอย่างไข้ซงความ
ปราณี!”

ยั่วจงเอ่ยคำ “เชี่ยวเย’ว์หลานเกือบชนะ แต่นางกลับถูกผู้อาวุโส
จำนวนหนึ่งห้ามปรามไว้ ผลลัพธ์จึงไม่อาจตัดสิน”

ฉินหยุนมองที่จี้ไค่หลินผู้ซงอยู่ไม่ไกลออกไป เขากล่าวออกเสียงเบา
“มันผู้นั้น ก็หยิ่งผยองต่อหห้าข้าก่อนหห้านี้ กระทั่งคิดเล่นสกปรก
ต่อข้า สัางคอรอได้เลย!”

“เข้าไปได้!” ชายชราร่างผอมสูง สวมใส่ชุดสีนั้าเงินทองคำงดงาม
ประกาศ

ฉินหยุนและหยางฉีเย่ว์เดินไปยังศูนย์กลางของตำหนักยุทธ์วิญญาณ
ด้วยกัน

“ผู้เข้าร่วมสองร้อยคน และผูซ็แนะห้าสิบคนมาถึงแล้ว!” ชายชรา
ประกาศเสียงดัง “ลัดจากนี้ พวกเราจะแบ่งกำลังออก หนึ่งผูชี้แนะต่อ
ผู้เข้าร่วมสี่คน จะตั้งกลุ่มขึ้นมา โดยแบ่งเป็นทั้งสิ้นห้าสิบกลุ่ม!”

“ลัดจากนั้น ผู้เข้าร่วมทั้งสี่คนในแต่ละกลุ่มจะด้องประลองกัน มี
เพียงผู้เดียวเท่านั้นชงจะสามารถผ่านและเข้าสู่รอบที่สิ่พร้อมผู้
ชี้แนะ!”

ทุกคนเงียบงันรับพีงกฎการแข่งขันในรอบที่สาม

ฉินหยุนถอนหายใจอยู่ภายใน หากเป็นเช่นนี้ เขาอาจไม่ได้อยู่กับ
หยางฉีเย่ว์แล้ว

นั่นก็เพราะ เจ้าภาพจัดงานและดำเนินงานคือตำหนักสักดสิทธ
วิญญาณสีคราม

ผู้ที่รับหน้าที่จัดการแข่งขันประลองยุทธ์ ล้วนอยู่ส่งจี้ไค่หลิน

พวกเขาย่อมทราบดีลึงความสัมพันธ์ระหว่างฉินหยุนและหยางฉีเย่ว์
ดังนั้นพวกเขาจะไม่เปิดโอกาสให้พวกเขาไล้อยู่ด้วยกันอย่างแน่นอน

หลายคนต่างก็คิดเช่นนี้ หากฉินหยุนและหยางฉีเย่ว์ไสัอยู่ด้วยกัน จะ
กลายเป็นไร้เทียมทานแล้ว

ผู้คนนึกล้อนกลับไปถึงช่วงก่อนหห้านี้ ฉินหยุน คือผู้ที่หยางฉีเย่ว์ขุด
ขึ้นมา

ฉินหยุนเติบโตขึ้นได้ ก็เพราะหยางฉีเย่ว์ช่วยสนับสนุนและคอยให้
กำลังใจ

“กลุ่มแรกเป็นของผูชี้แนะหยางฉีเย่ว์ ผูฟิกตนที่เจ้าร่วมได้แก่ ฉิน
หยุน อวี้เหิง ก่รั่วเฉิง และเล่ยฉิง!” ชายชราประกาศเสียงดัง

ตอนนี้เอง นั่วนั้งตำหนักยุทธ์วิญญาณกลายเป็นทะลักล้นด้วย
เสียงพูดคุย!

กระนั่งหยางฉีเย่ว์และฉินหยุน ยังต้องมองลันเองอย่างตกตะลึง
พร้อมลันนี้ ทั้งสองลอบยินดีอยู่ภายใน!

อีกทางหนึ่ง หลันฮัวอวี้ เซี่ยลู๋เฟิง และหลันเฟิงจิน พวกเขาล้วนเป็น
คนของตำหนักสักดสิทธวิญญาณสีคราม พวกเขาล้วนขมวดคิ้วลัน
ล้วนหน้า พวกเขาไม่คิดว่าเรื่องนี้ง่ายดายดังที่เห็นแน่
“พวกเขาจงใจแบ่งเช่นนี้! พละกำลังของอวี้เหิง ถือว่าดีเยี่ยมท่ามกลาง
นักบุญรุ่นเยาว์เขาไม่ไต้อ่อนต้อยไปกว่าจี้ไค่หลิน!” เซี่ยลู๋เพีงกล่าว
เสียงเย็น “ล้วยวิธีนี้ กลุ่มนั้นจะมีแต่น้องหยุนหรือไม่ก็อวี้เหิงที่มี
โอกาสชนะ!”

หลันเฟิงจินพยักหน้า “พวกเขาจงใจจับกลุ่มให้อวี้เหิงและฉินหยุนอ
ยู่ล้วยกัน พวกเขาจะต้องมั่นใจว่าอวี้เหิงสามารถชนะ! คนพวกนี้
กระมั่งการแข่งขันยังต้องก่อการเพียงนี้เลยหรือ?”

“หากพวกเขาทำจนเกินไป ข้าจะแทรกแซงเรื่องนี้ต้วยดัวเอง!”

หลันยัวอวี้ขมวดคิ้ว “ข้าไม่คิดปล่อยให้ชื่อเสียงของตำหนัก
สักดสิทธวิญญาณสีคราม ต้องถูกทำลายโดยหนูโสโครกพวกนี้!”
ฉินหยุนไม่ทราบว่าอวี้เหิงคือผู้ใด กระนั้นเขาก็ทราบว่าเรื่องราวย่อม
ไม่ง่าย!

อย่างรวดเร็ว พวกเขาลูกแบ่งออกเป็นกลุ่ม

จี้ไค่หลินและนักบุญอีกจำนวนหนึ่งอยู่ในกลุ่มเดียวลัน ไม่ว่าพวก
เขาจะเป็นอย่างไร ผู้ชนะย่อมเป็นที่ทราบ พวกเขาคงไม่เปลืองแรงสู้
กันเองแต่อย่างใด

สำหรับกลุ่มของจี้ไค่หลิน อาจารย์ของเขาคือชายชราผู้สวมใส่ชุดสี
นํ้าเงินทองคำงดงาม เป็นผู้มาจากตำหนักสักดสิทธ

คุณภาพของชุดนั้น เพียงด้อยกว่าหลันยัวอวี้เล็กน้อย ชัดเจนว่าเขา
ด้องเป็นผู้มีสถานะสูงส่ง

หลังแบ่งกลุ่มเรียบร้อย ผู้ดำเนินงานจึงประกาศ “ตอนนี้ ใน้ผูชี้แนะ
ทุกท่านทำการจับสลากและตัดสินลำดับ! มีนั้งสิ้นยี่สิบน้าชุด! แต่ละ
ชุดจะถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม!”

กระทั่งถึงตอนนี้ ยังไม่มีผู้ใดทราบว่าผู้ชนะของแต่ละกลุ่มจะเป็น
ใคร!

ทว่า มีเรื่องหนี้งที่ทั่นใจได้ว่าจะไม่ใช่การประลองยุทธ์แน้จริง
เพราะมีการแจ้งแต่แรกแล้ว ว่าต้องเป็นรอบสุดน้ายรึงเป็นการ
ประลองยุทธ์ที่แท้จริง!

หยางฉีเย่ว์เดินขึ้นไปจับสลาก นางได้ชุดที่ยี่สิบ นอกจากนี้แต้ว ยังมี
คำว่า นั้าแข็ง เขียนเอาไต้!

หลังตัดสินลำดับได้แต้วรึงมีคนขึ้นไปติดตั้งอาคมธงวงกลมค่อนช่าง
กต้างที่ตรงกลาง

แต่ละอาคม จะกต้างราวยี่สิบเมตร

“ผู้เขาร่วมของแต่ละกลุ่มจะต้องเข้าไปในอาคมธง จากนั้นจะตกอยู่
ภายใต้นั้าแข็งหรืออัคคีเพลิง!”

“หากสามารถยืนหยัดได้จนกระทั่งอีกสามคนต้มลง เช่นนั้นจึงไต้รับ
ชัยชนะ! หากต้มเหลวกันทั้งสิ้น เช่นนั้นทั้งกลุ่มจะถูกคัดออก!”
อาคมธงเหล่านี้คสัายน่าสะพรึงกลัวขึ้นมาแต้ว!

ทุกคนต่างสงสัย และพยายามคาดเดาว่าอาคมนีคืออะไรคันแน่
หลันยัวอวี้เผยนั้าเสียงจริงจังกล่าวคำ

“หนึ่งคืออาคมนรกนั้าแข็งเสียดแทงกระลูก อีกหนึ่งคืออาคมแยก
วิญญาณลัคคีเพลิง พวกมันนั้งสู่เป็นค่ายอาคมวิญญาณระดับราชัน!

นี่เป็นอาคมประเภทไวใชัเพื่อสังหาร กระทั่งผู้สิกตนขอบเขตวรยุทธ์
เต๋า หากหลบหนีออกมาไม่ทันเวลา ย่อมต้องตายภายในเวลาไม่เกิน
หนึ่งชั่วยาม!”

พอทุกคนได้ยินดังนี้ พวกเขาต่างต้องสูดเฮือกเอาอากาศเย็นเข้าปอด!

ค่ายอาคมนี้แทัจริงน่าสะพรึงขนาดมีอำนาจสังหาร สามารถทำให้
ขอบเขตวรยุทธ์เต๋าที่ติดคับอาจถึงตายได้!

“แน่นอนว่า หากขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เด้านั้งสี่คนเข้าไป พวก
เขาจะต้องแบ่งคันรับพลังสังหารของอาคม พวกเขาอย่างมากก็

อดทนได้ราวครื่งชั่วยาม! เรื่องหนึ่งที่วางใจได้ก็คือ ค่ายอาคมสังหาร
ทั้งสองไม่ได้มีการผนึกเอาได้หากต้องการก็สามารถออกมาได้ทุก
เมื่อ หากไม่อาจทนไหว เพียงหนีออกมาก็พอ กระนั้นอย่าไดป็น
ตนเองฟินไปจะมีแต่ความตายที่รออยู่!”

หลันฮัวอวี้ใชัโอกาสนี้ บอกต่อฉินหยุนถึงความน่าสะพรึงของค่าย
อาคมสังหารทั้งสอง

สำหรับผูฟิกตนอื่นที่เข้าร่วมการแข่งขัน หลังได้ยินถึงความน่าสะ
พรึงของค่ายอาคมทั้งสอง หัวใจพวกเขาคล้ายหล่นฮวบ

ผู้คนชุดแรกขึ้นไปแล้ว เป็นยอดฟิมือขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เล้า
แปดคน ในกลุ่มทั้นมีชายวัยกลางคนและชายชรา

สี่คนของแต่ละกลุ่ม เดินเข้าไปด้านในค่ายอาคมวิญญาณระดับราขัน
แล้ว!

เมื่อพวกเขาเข้าไป ค่ายอาคมสังหารจึงทำงานโดยทันที!

ค่ายอาคมนรกนํ้าแข็งเสียดแทงกระดูก แทบไม่มีการเคลื่อนไหว มี
เพียงแต่ความหนาวเย็นสุดขั้ว กระนั้น ผู้ฝืกตนด้านในก็ร้องออกด้วย
สภาพน่าสังเวชแล้ว

เพียงไม่กี่วินาที ชายชราไม่อาจทนต่อได้ไหวจนล้องกระโดดออกมา

ที่ตรงกลางของอาคมแยกวิญญาณอัคคีเพลิง เปลวเพลิงสีทองม่วง
กำลังวูบไหวราวภูตผี ปรากฏขึ้นเป็นเมฆอัคคีปกคลุมรุนแรง ปรากฏ
ขึ้นและหายไปสลับลัน ปกคลุมร่างของฝ่ป็กตนภายใน

ผู้ผืกตนทั้งสี่ด้านในอยู่ในสภาพสูไม่ได้พวกเขาร้องครั้าครวญ
ออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเขาด้วนถูกเผาจนสภาพเจ็บปวดเจียน
ตาย!

ไม่ช้า ในค่ายอาคมสังหารทั้งสองจึงเหลือเพียงฝ่ป็กตนสองคน
“อ๊าก!”

ชายวัยกลางคนด้านในค่ายอาคมนรกนํ้าแข็งเสียดแทงกระสูก คำราม
ร้องและกระโดดออก เขานอนทิ้งกายลับพื้น หอบหนัก ใบหนัาซีด
เผือดด้วยความหวาดกลัว

เป็นเขาร่างกายเหน็บชาไม่อาจขยับ ฝ่ป็กตนหลายคนที่รอเช้าสู่ค่าย
อาคมสังหาร พลันจิตใจหนักอึ้งยามได้พบเห็น

ภายในค่ายอาคมนรกนํ้าแข็งเสียดแทงกระสูก ชายวัยกลางคนร่าง
ด้วนได้อยู่จนถึงด้ายที่สุด กระนั้นเวลาที่ใชักลับผ่านไปเพียงไม่นาน!

“นี่เป็นผลประโยชน์ของความด้วนแล้ว สามารถต้านทานความ
หนาวเย็นได้ดีนัก!” คนผู้หนี่งอุทานขึ้น

“ทางด้านอาคมอัคคีเพลิง ก็เกือบจะได้ข้อสรุปแล้ว!”

ทุกคนหันมองไป จึงเห็นค่ายอาคมแยกวิญญาณอัคคีเพลิงสงบลง
แล้ว ชายร่างผอมสูงยืนอยู่ด้านใน ทั้งร่างกายปรากฏคลื่นความร้อน
ใบหน้าเปียมสันด้วยความเจ็บปวดสาหัส เล้นผมล้วนถูกเผาไหน้
กลายเป็นหัวฟูฟ่องล้อนใหญ่ล้อนหนึ่ง

ผู้ที่สามารถอยู่ได้จนถึงน้ายที่สุด ย่อมต้องแข็งแกร่งไม่ใช่น้อยแล้ว
ชุดที่สองกำลังขึ้นไป!

อย่างกะทันหัน กลุ่มคนจากชุดที่สองพลันแตกฮือกันออกมา

หรือก็คือ สี่คนของกลุ่มนี้ไม่มีผูใดผ่านเข้ารอบลัดไปได้!

พลังอำนาจของค่ายอาคมสังหารทั้งสองรุนแรง ผู้ไกตนขอบเขตกาย
วรยุทธ์ระดับที่เล้า มีแต่ต้องอดทนด้านรับ พวกเขาที่ทำได้ ล้วน
แข็งแกร่งอย่างเหลือล้น

ตอนนี้ เหลืออีกสิบน้าชุดที่รอคอยเข้าไปภายในค่ายอาคมสังหาร
เพื่อรับการทดสอบ

หากมีคนหนึ่งในแต่ละกลุ่มสามารถยืนหยัดได้จนถึงน้ายที่สุด
เช่นนั้นสุดน้ายจะมีราวสามลิบคนที่ผ่านเข้ารอบไปได้

ทว่า หลายต่อหลายคนล้วนออกมาทันทีเมื่อเข้าไป ดังนั้นจนกระทั่ง
ถึงตอนนี้ จึงมีเพียงยี่สิบคนที่ผ่านการทดสอบ
หยางฉีเย่ว์ค่อนข้างมั่นใจในตัวฉินหยุน เพราะนางทราบว่าฉินหยุน
เติบโตขึ้นด้วยความยากลำบากเพียงใด เป็นเขาต้องประสบพบเจอ
ความยากลำบากมากมาย เขาย่อมไม่ใช่ผู้ที่พวกนักบุญซึ่งได้รับการ
ประคบประหงมเหล่านั้นจะสามารถเทียบเปรียบ
จี้ไค่หลิน ผู้ซึ่งยืนรับชมอยู่ด้านข้าง พลันล้าวเดินออกไปตรงกลาง
สนามแข่งขัน เข้าสู่ค่ายอาคมที่สว่างไสว!

โดยทันที ผู้คนล้วนมองอย่างคาดหวัง!

“จี้ไค'หลิน เจ็ดเล้นวิญญาณ วิญญาณยุทธ์กิเลนสายฟ้า กล่าวกันว่า
เขาอยู่ขีดสุดของขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เล้า หากไม่มีอันใด
ผิดพลาด เขาจะล้าวสู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋าได้ภายในอีกสองปี!”

“เขาเติบโตขึ้นในตำหนักสักดสิทธวิญญาณสีคราม ตั้งแต่ยังเยาว์
หลันเฟิงจินเองก็เติบโตในตำหนักสักดสิทธ ดังนั้นแล้ว ด้วยอายุเยาว์
นางจึงสามารถล้าวสู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋าได้!”

“เขาย่อมต้องเป็นเช่นเดียวกัน!”

ผูฟิกตนในกลุ่มของจี้ไค่หลิน ล้วนคิดว่าพวกตนโชคไม่ดีเอาเสียเลย
พวกเขาไม่มั่นใจแม้สักนิดยามต้องอยู่ต่อหนัาจี้ไค่หลิน ดังนั้นพวก
เขาจึงได้แต่ยอมรับความพ่ายแพ้

ด้วยเหตุนี้จี้ไค่หลินจึงไม่ต้องแบกรับการทรมานจากอาคมสังหาร
และผ่านการลัดออกรอบที่หนี้งได้เรียบร้อย เรื่องนี้ทำเอาหลายคน
ต่างอิจฉาดวงตาร้อนผ่าว

ผู้ชมผิดหวัง เดิมพวกเขาลิดอยากเห็นว่าจี้ไค่หลินแข็งแกร่งเพียงใด!

“เฮอะ งดเวันเช่นนี้ก็ได้แม้กระทั่งยืนด้านในยังไม่ได้ทำด้วยซํ้า!”

“ใช่แม้ว เรื่องนี้อยุติธรรมนัก ไม่ทำอะไรก็ม้าวหนัาได้แม้ว!”

“ไม่มีทางเลือกนี่ การแข่งขันนี้จัดขึ้นโดยตำหนักสักดลิทธวิญญาณสี
คราม เป็นปกติที่พวกเขาต้องการให้ตำหนักตนเองได้ชัยชนะ!”

“เฮอ ได้แต่หวังพึ่งฉินหยุนให้แข่งขันกับตำหนักสักดสิทธได้แม้ว จะ
ได้หักหห้าไม้พวกหยิ่งผยองเหล่านี้!”

หลายต่อหลายคน ม้วนแสดงออกด้วยความไม่พอใจ กระทั่งมีผูฟิก
ตนหลายคน คาดหวังให้ฉินหยุนจัดการตำหนักสักดสิทธ!

พอจี้ไค่หลินได้เห็นจำนวนคนไม่ห้อยที่ปรารถนาให้ฉินหยุนได้รับ
ขัยชนะ เขาลอบสัดฟ์นัแน่น ดวงตานี้เปืยมด้วยความริษยา ทั้งยังเผย
ความเกลียดขังมองไปยังฉินหยุน

สองกลุ่มลัดไป เป็นผูฟิกตนจากตำหนักสักดลิทธ

ไม่มีความคิดเห็น :

แสดงความคิดเห็น