วันเสาร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2563


ตอนที่ 500  นักโทษรอประหาร
โลกของเซียนกว้างขวางยิ่งใหญ่มากกว่าที่ถังเทียนจินตนาการไว้มาก  เขารู้สึกได้ทันทีว่าเขาพรวดพราดเข้าสู่โลกใหม่  ทุกอย่างใหม่และมีหลายอย่างที่เขาไม่เข้าใจ

แต่เขาไม่กังวลหรือกลัวแม้แต่น้อย  เขาเต็มไปด้วยความสงสัย  ทุกอย่างมีความหมายมากมาย
สถานการณ์ในเมืองหานกู่สงบอย่างน่าทึ่ง  ทุกคนมีความกังวลบางอย่าง  แม้แต่กับผู้อาวุโสสำนักมู่ หรือผู้อาวุโสสำนักหรงปัว ไม่มีใครประมาทแต่อย่างใด  อย่างน้อยที่สุดก็ยังไม่เหมือนเมื่อคราวอยู่ในกลุ่มดาวหมาป่า ที่ต้องอยู่อย่างหวาดกลัวหรือดูเหมือนมีการเข่นฆ่ากันได้ง่ายเหมือนผัก เหมือนปลา
ถังเทียนไม่รู้เหตุผล แต่เขาคร้านที่จะคิด
เขาวนอ้อมและกลับไปที่ค่าย  อาจกล่าวได้ว่าเป็นการเดินทางที่คุ้มค่า  ผลเก็บเกี่ยวของเขามากมายเกินกว่าที่เขาคิด  เสี่ยวเอ้อกำลังกินจิตวิญญาณเซียน  ขณะที่ถังเทียนกำลังอ่านหนังสือจิตวิญญาณที่เขาซื้อมาอย่างกระตือรือร้น
หลังจากเข้าสู่ขอบเขตเซียนแล้ว มีความรู้ซึ่งอธิบายไม่ได้  ดังนั้นหนังสือจิตวิญญาณจึงมีขายอยู่ในตลาด  หนังสือจิตวิญญาณจะบันทึกวิธีการต่างๆ โดยพวกเซียน
การสร้างหนังสือจิตวิญญาณไม่ใช่งานซับซ้อน  มีพลังจิตวิญญาณเป็นสื่อ ส่วนใหญ่ที่คนใช้ก็คือเศษเสี้ยวพลังวิญญาณที่ใช้ต่อสู้  เศษพลังวิญญาณทั้งหมดนี้ไม่ค่อยมีประโยชน์มากนัก  แต่สามารถเก็บรักษาข้อมูลไว้ได้จำนวนมาก
และหนังสือจิตวิญญาณก็ไม่ใช่วัตถุระดับสูง และเป็นความรู้ตื้นๆ ของพวกเซียน  แต่ในความเป็นจริง อุปกรณ์สมบัติเซียนไม่ใช่ราคาถูกๆ  เพื่อให้ได้ข้อมูลอย่างหนังสือพลังจิตวิญญาณ ราคาของมันก็สูงถึงร้อยล้านเหรียญดาว
แต่มันคือสิ่งที่ถังเทียนต้องการมากที่สุด
เขามีข้อสงสัยมากมายและสามารถมองหาคำตอบจากในหนังสือได้  ตัวอย่างเช่น  เขารู้ว่าจิตวิญญาณเซียนคืออะไร และจากที่เซียนตายไปแล้ว  ส่วนใหญ่ของพวกเขาจะไม่เหลือจิตวิญญาณเซียนไว้  เพราะจิตวิญญาณยุทธของเซียนเปลี่ยนไปเป็นสนามพลังวิญญาณแล้ว  แค่เพียงอยู่ภายใต้สถานการณ์พิเศษสองสามอย่าง เซียนถึงจะทิ้งจิตวิญญาณยุทธของพวกเขาไว้และนั่นก็คือจิตวิญญาณเซียน
ประโยชน์ของจิตวิญญาณเซียนที่มากที่สุดก็คือช่วยยกค่าจิตวิญญาณและขยายสนามพลังวิญญาณได้
สนามพลังวิญญาณเป็นเหมือนแปลงพื้นที่เพาะปลูกของเซียน และวิชาจิตวิญญาณเป็นเหมือนพืชที่ปลูกอยู่ในแปลง  ยิ่งมีพื้นที่เพาะปลูกมาก  เซียนก็สามารถเพาะปลูกได้มาก
เมื่อถังเทียนมาถึงระดับนี้แล้ว จากนั้นเขาจึงค่อยเข้าใจความสำคัญของค่าจิตวิญญาณ  อย่างนั้นนั่นก็คือพื้นที่ภายใต้การควบคุมของเซียน!
ไม่เพียงแต่การฝึกเคล็ดจิตวิญญาณจะต้องใช้ค่าจิตวิญญาณที่เพียงพอเท่านั้น  แต่จำเป็นต้องเข้าใจวิชาจิตวิญญาณอย่างลึกซึ้งด้วย  วิชาจิตวิญญาณจะยังคงเติบโตและพัฒนาได้ จำเป็นต้องมีค่าจิตวิญญาณมากขึ้น  ถ้ามีค่าจิตวิญญาณไม่เพียงพอ  แม้แต่วิชาจิตวิญญาณก็ยากจะก้าวหน้าได้ไกล
ค่าของจิตวิญญาณเสี่ยวเอ้อคราวก่อนก็แค่พอเรียนวิชาเคลื่อนย้ายพริบตาเท่านั้น
และนอกจากนั้นแล้ว สมบัติจิตวิญญาณมีพลังที่น่ากลัว  ของพวกนี้จะมีแตกต่างกันและประโยชน์ที่สุดก็คือไม่จำเป็นต้องใช้ค่าวิญญาณ  สำหรับเซียนคนหนึ่ง  ค่าวิญญาณทุกอย่างมีความสำคัญมาก
ท่าทางเจ็บปวดผุดขึ้นบนใบหน้าของเสี่ยวเอ้อ  ร่างของเขาสั่นอย่างควบคุมไม่ได้
ถังเทียนตกใจกลัวและรีบเชื่อมโยงกับเสี่ยวเอ้อทันที  เขาสามารถรู้สึกถึงความเจ็บปวดของเสี่ยวเอ้อได้  ใบหน้าที่น่ารักของเสี่ยวเอ้อทรมานน่ากลัว  หมอกสายหนึ่งเริ่มคลุมรอบตัวเขา เขาเป็นเหมือนสัตว์ร้ายที่กำลังดิ้นทำให้หน้าของเขาเปลี่ยนไปมาไม่แน่นอน
 “ฆ่า...”
เสียงที่ดังออกมาเต็มไปด้วยความโกรธและแค้น เสียงแหบแห้งเหมือนกับเป็นอีกคนหนึ่งที่แตกต่าง
ร่างของเสี่ยวเอ้อกลายเป็นหมอกควันและแสดงอาการโกรธอย่างรุนแรง
แย่แล้ว!
ถังเทียนยื่นมือเข้าไปในหมอกโดยไม่คิดอะไร
***************

เมื่อกลับมายังที่พัก เย่เฉาเกอลังเลเล็กน้อยก่อนจะพูด “ผู้อาวุโส, เราต้อง...”
เขาเหยียดหัวแม่มือและทำท่าเป็นสัญลักษณ์ฆ่า  วันนี้ผู้อาวุโสของเขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก มีแนวโน้มว่าหัวใจของเขาจะเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
หรงปัวหัวเราะและกล่าว  “เฉาเกอ, เอ่อ.. เจ้ายังอายุน้อย ดังนั้นเจ้าคงอยากฆ่าคนโดยตรง  แต่เจ้าต้องจำไว้  เมื่อเจ้าสามารถฆ่าคนได้โดยไม่ต้องใช้ดาบของเจ้า จงพยายามอย่างดีที่สุดอย่าใช้ดาบของเจ้า  โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเจ้าตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก
สีหน้าของเย่ว์เฉาเกอเปลี่ยน  เขาคิดย้อนไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้น หลังจากนั้นชั่วขณะ  “อย่าบอกข้าจะว่า ผู้อาวุโส..”
 “อย่าเชื่อสิ่งที่ตาเจ้าเห็น”  หลงปัวหัวเราะ  “แสงอรุณสำคัญขนาดนั้นจริงๆ หรือ?  ไม่ว่าเจ้าจะคิดยังไงก็ยังไม่คู่ควรเทียบเท่าจิตวิญญาณเซียนระดับห้า  บางคนอาจจะคิดว่าข้าห้ามเอาไว้ไม่ให้ของตกไปในเงื้อมมือของพวกวิญญาณมืดและข้าคิดอะไรไม่ออก  แต่ในความจริง เมื่อข้ารู้ว่าเจ้าแพ้เขา ข้าก็ตัดสินใจกำจัดเขาแล้ว”
เย่เฉาเกอใจสั่นสะท้าน
 “ความล้มเหลวไม่มีอะไรต้องคิดมาก  เมื่อข้ายังอายุน้อย  ข้าก็แพ้มาหลายครั้ง”  หลงปัวยังคงยิ้มและกลายเป็นจริงจัง  “พรสวรรค์ของเจ้าและความเพียรพยายามของเจ้าไม่ได้ด้อยเลย  พลังปัจจุบันของเจ้าแข็งแกร่งกว่าข้าในอดีตเสียอีก  เจ้าไม่ใช่คนที่ใครจะเอาชนะได้   คู่ต่อสู้ไม่ใช่คนที่จัดการง่ายๆ และข้ามีความรู้สึกว่าเขาคือศัตรูของเรา”
 “จิตวิญญาณเซียนจะเปลี่ยนเป็นศัตรูที่อันตรายและมีศักยภาพ ใครจะใส่ใจทันระวังได้  นั่นช่างคุ้มค่านัก”  หลงปัวหัวเราะ  และพูดอย่างเป็นกันเองว่า “จิตวิญญาณเซียนนั่นถูกดึงออกมาจากนักโทษรอประหาร”
 “นักโทษรอประหาร?”  เย่เฉาเกอตะลึง
 “เขาชื่อวิลเลียม!”  หลงปัวเริ่มหัวเราะเมื่อคิดถึงเรื่องที่มีความสุขอย่างนั้น
เย่เฉาเกอตะลึง  หน้าของเขาซีดขาว  นัยน์ตาเต็มไปด้วยความตกใจ
***********

นอกเมืองอาเลียธ การรบพุ่งดุเดือดไม่มีทีท่าสิ้นสุด
กองทัพใหญ่ของถังโฉ่ว มีข้อได้เปรียบอย่างชัดเจน  หลังจากประสบกับสงครามในเมืองมิซาร์  แม้ว่าพวกเขาจะสูญเสียค่อนข้างมาก  แต่สงครามที่รุนแรงทำให้ทหารของเขาแข็งแกร่งขึ้น
กองทัพได้รับการปรับแต่งแล้ว  นักสู้ชาวเจ็ดดาวเหนือเผชิญกับกองทัพใหญ่เช่นนั้นไม่สามารถขัดขืนได้
ถังโฉ่วเงยศีรษะขึ้นมองดูจุดดำทั้งสี่จุด
ในการต่อสู้ในเมืองมิซาร์ เขาพบกับนักสู้ชั้นเซียนสองคน  เซียนที่ไม่รู้วิธีเหาะถูกพวกเขาฆ่าตายอย่างรวดเร็ว  ขณะที่เซียนอีกสองคนรู้วิธีเหาะทำให้พวกเขาสูญเสียค่อนข้างมาก  เซียนที่รู้วิธีเหาะมีความได้เปรียบในสงครามมาก  พวกเขาไปมาเหมือนสายลม  วิชาตัวเบาไม่สามารถไล่ตามพวกเขาได้ และนั่นคือสิ่งที่ถังโฉ่วไม่ได้คาดการณ์ไว้
วิชาจิตวิญญาณทรงพลังมาก แข็งแกร่งกว่าวิทยายุทธและในช่วงเวลาสั้นๆ ถังโฉ่วสูญเสียคนไปเกิน 500 คนซึ่งทำให้เขาโกรธมาก
แต่ถังโฉ่วพบจุดอ่อนของเซียนได้อย่างรวดเร็วและนั่นก็คือการโจมตีระยะไกลของเขา
ศัตรูไม่สามารถโจมตีได้ไกลเกินกว่า 300 เมตร และเมื่อเขาพบจุดอ่อนนี้ ถังโฉ่วรวบรวมสมาธิทันที กองทัพถอยและจัดระยะห่างของกองทัพ
เซียนชอบการต่อสู้แบบตัวต่อตัว  ดังนั้นเขาจึงมีทหารน้อยมาก  แต่นี่ก็เพียงพอให้ถังโฉ่วรู้สึกถึงแรงกดดันที่ยิ่งใหญ่
ถังโฉ่วรู้สึกยินดีในใจ  พวกเซียนที่พวกเขาพบส่วนใหญ่เป็นเซียนทั่วไป  เขาได้ยินว่าเจ้านายฝึกวิชาจิตวิญญาณที่สามารถเคลื่อนในพริบตาได้ ถังโฉ่วเห็นว่ายังมีวิชาจิตวิญญาณอื่นที่ดีกว่าวิชาเคลื่อนไหวในพริบตานั่นจะเอามาใช้ในสงครามได้หรือไม่?
คงจะไม่เหมือนกับที่ตำนานบอกกล่าวไว้  สิ่งที่คงอยู่ซึ่งสามารถระเบิดหินดวงดาวได้
สำหรับเซียนธรรมดา มีข้อจำกัดบางประการ  ตัวอย่างเช่นปราณแท้ไม่ว่าจะเป็นวิชาอะไร ก็ต้องใช้ปราณแท้  และปราณแท้ของเซียนคนหนึ่งมิใช่ว่าไม่มีขีดจำกัด
ข้อดีของกองทัพก็คือจำนวน  มดหลายตัวสามารถล้มช้างได้  และจะใช้ประโยชน์จากวิธีนี้ทำงานทางทหารได้อย่างไร
ถังโฉ่วมองดูเซียนในท้องฟ้า
กองทัพมีอำนาจเหนือกว่าในสนามรบอยู่แล้ว  ถ้าเซียนไม่เคลื่อนไหวอะไร  การรบก็จะยิ่งเข้าทางพวกเขามาก เซียนที่อยู่ในอากาศสามารถมองได้ทั่วสนามรบจากท้องฟ้าและสถานการณ์ในสนามรบก็ชัดเจนมากขึ้น
จุดดำทั้งสี่เริ่มเคลื่อนไหว
ทนไม่ได้อีกต่อไปหรือ?  ตาของถังโฉ่วเป็นประกายเยือกเย็น
ไม่มีอะไรสามารถขัดเกลาหัวหน้าทหารให้ดีขึ้นได้มากไปกว่าการรบอย่างต่อเนื่อง  ถังโฉ่วสั่งการทหารสี่กองทัพ  กองทัพหมาป่าของถังอี้  ทหารพรานข่ายของขลุ่ยวิเศษ  กองพลทหารราบของทาร์ตันและกองทัพหมัดเหล็กของหวงฝู่หง
นอกจากกองทัพหมัดเหล็กของหวงฝู่หงซึ่งเป็นรูปแบบใหม่ทั้งหมด  กองทัพอีกสามกองทัพคงการรักษาไว้แบบเดิมได้โดยเพิ่มเลือดใหม่เข้าไป  ความแข็งแกร่งของบุรุษทั้งสี่ไม่จำเป็นต้องอธิบายเพิ่มเติม  ถังอี้คือดาบที่คมที่สุดตลอดไป  สถานะขุนพลของขลุ่ยวิเศษก็อยู่ในสภาพดีที่สุด เขายังอายุเยาว์และมีศักยภาพสูงสุด  ทาร์ตันมั่นคงไม่หวั่นไหว  เขาเป็นคนมั่นคงไม่หวั่นไหวและพลังป้องกันของเขาก็แข็งแกร่งมาก  และหวงฝู่หงเป็นคนที่ระมัดระวังตัวมาก  หัวใจของเขาดูเหมือนมุ่งอยู่กับการรบและชอบจะเข้าปะทะ
กองทัพหมัดเหล็กถูกสร้างขึ้นจากนักสู้สายจักรกลจากค่ายบรอนซ์แห่งเมืองสามวิญญาณ และนอกจากนี้ยังรวมถึงกลุ่มคนที่ถังโฉ่วได้ดูแลไว้ก่อนนั้น  กองทัพเก่าของหวงฝู่หงซึ่งก็คือกองทัพเหล็กก็มีบางส่วนที่เป็นกองทัพจักรกล  หวงฝู่หงมักจะมาประจำการอยู่ที่เมืองสามวิญญาณ ได้ติดตามปิงเพื่อเรียนรู้  และอีกทางหนึ่งเขาร่วมช่วยร่างหลักสูตรฝึกฝนทุกแผนการอบรม ทำให้ได้รับประสบการณ์มากมาย
ปิงกล้าปล่อยมือและตามถังเทียนไปกลุ่มดาวเซกซ์แทนส์เป็นเพราะพวกเขามีคนพอพึ่งพาอาศัยได้  กองพลทั้งสี่คือความเชื่อมั่นของเขา  ขลุ่ยวิเศษอาจมีศักยภาพเป็นผู้บัญชาการที่มีชื่อได้  แต่อีกสามคนนั้นยังไม่พอ  แต่มาตรฐานของพวกเขานั้นโดดเด่น มั่นคงและน่าเชื่อถือ
เมื่อผ่านการสู้รบติดต่อกัน  แม้มีการบาดเจ็บบ้าง  แต่ความสัมพันธ์ของทุกคนก็เพิ่มขึ้น
 “แถวหน้าถอยกลับ  ม่อจื่อหวี!”
เสียงมั่นคงของหวงฝู่หงดังผ่านสนามรบที่ยุ่งหยิง ทำให้ม่อจื่อหวีสั่น
อาวุธจักรกลวิญญาณสองสามแถวหน้าถอยออกมาเหมือนคลื่นน้ำลด  ฝ่ายตรงข้ามเริ่มดีใจและวิ่งเข้ามาเพื่อฆ่า  อาวุธจักรกลวิญญาณของม่อจื่อหวีเป็นผู้นำ การต้อนรับหน่วยของเขาดังกระหึ่มใส่เขา  เขาตะโกนเต็มเสียง  “กลยุทธหมายเลยห้า!”
ที่ด้านข้างทั้งสองของเขา  อาวุธจักรกลวิญญาณสองร้อยชุดวิ่งตามเขาจนฝุ่นคละคลุ้ง  เสียงลมอื้ออึงผ่านหูพวกเขา  ลมหายใจของทุกคนหนักหน่วง  พวกเขาตื่นเต้นและอาวุธจักรกลทั้งสองร้อยชุดบุกใส่พร้อมกัน  เสียงโห่ร้อง เสียงกึกก้องของพวกเขาเปี่ยมไปด้วยพลังและความย่ามใจ เสียงสั่นสะเทือนเลือนลั่นเหมือนเสียงแผ่นดินไหว
ระยะห่างระหว่างทั้งสองฝ่ายใกล้เข้ามา เหมือนกับจะเตรียมปะทะและประจัญบาน
ม่อจื่อหวีเห็นม่ออู๋เว่ยควบคุมอาวุธจักรกลวิญญาณถอยมาถึงด้านหน้าเขา ก็หัวเราะลั่น “การปะทะหนักยังคงขึ้นอยู่กับเรา”
อาวุธจักรกลวิญญาณที่กำลังวิ่งเข้าใส่เริ่มส่งเสียงโห่ร้อง
ระยะระหว่างกองทัพทั้งสองใกล้เข้ามา 90 เมตร... 75 เมตร.... 60 เมตร.... 45 เมตร!
ม่อจื่อหวีแสดงท่าทางเหี้ยมหาญทันทีและตะโกนลั่น  “ฆ่า!”
 “ฆ่า!”
ทั้งสองฝ่ายส่งเสียงโห่ร้อง  เสียงตะโกนของพวกเขาบรรจบรวมกันเหมือนน้ำเชี่ยวกราก
อาวุธจักรกลวิญญาณทั้งสองร้อยชุด กระโจนขึ้นไปในอากาศพร้อมกันทั้งหมด เฉียดผ่านเพื่อนร่วมหน่วยไปอย่างหวุดหวิด  พวกเขาเป็นเหมือนกระสุนปืนใหญ่ที่ยิงขึ้นไปบนฟ้ามีแรงเหวี่ยงที่น่ากลัวกระแทกใส่พื้น
นักสู้ที่กำลังวิ่งไล่ตามหลังพวกเขาคาดไม่ถึงว่าท้องฟ้าเหนือศีรษะพวกเขาจะกลายเป็นสีเข้ม และก่อนที่พวกเขาจะทันรู้ตัว รังสีที่แพรวพราวมากมายก็ระเบิดต่อหน้าพวกเขา  แสงระคายตาจนพวกเขาไม่สามารถลืมตาได้
อาวุธจักรกลวิญญาณทุกเครื่องยิงดาบออกมาสามเล่ม  รังสีดาบหกร้อยเล่ม ที่ยาวเกินกว่าเก้าเมตรเกิดเป็นข่ายใบมีด
ใบมีดเหล่านั้นกระแทกใส่ในคลื่นมนุษย์
ในทันใดนั้น เลือดเนื้อปลิวกระจายไปทุกที่  เสียงร้องโหยหวนที่น่าสยดสยองร้องดังพร้อมกัน
ปัง
อาวุธจักรกลทั้งสองร้อยเครื่องลงพื้นพร้อมกัน  เสียงเหมือนกับค้อนขนาดใหญ่หวดลงพื้น กระแทกกระทั้นหัวใจผู้คน  นักสู้ชาวเจ็ดดาวเหนือแตกตื่นกันทุกคนไม่ทันสังเกตเห็นท่าทางที่อาวุธจักรกลวิญญาณกำลังลงสู่พื้น
พวกเขางอเข่า  ร่างของพวกเขาโน้มไปข้างหน้า
อาวุธจักรกลวิญญาณทั้งสองร้อยชุดที่เพิ่งลงมายืนที่พื้น  เป็นเหมือนลูกตุ้มบรอนซ์ 200 ลูกพุ่งเข้าใส่ทันที
ข่ายรังสีดาบตัดใส่คลื่นมนุษย์อย่างโหดอำมหิต  โลหิตนับไม่ถ้วนฉีดพุ่งกระจาย  คลื่นมนุษย์ล้มลงกับพื้นในทันที
ปัง!
อาวุธจักรกลสองร้อยชุดลงมายังพื้นพร้อมกันอีกครั้ง ทำให้ฝุ่นฟุ้งกระจายเหมือนก้อนเมฆ
เวลาดูเหมือนหยุดนิ่งไปชั่วขณะ  นักสู้เจ็ดดาวเหนือมองดูกลุ่มอสูรร้ายบรอนซ์ด้วยความหวาดผวา  ยักษ์บรอนซ์กำลังก้าวเข้ามาบนแม่น้ำโลหิต  ซากศพระเนระนาดอยู่พื้น กลายเป็นคำอธิบายของอสูรบรอนซ์ที่ดีที่สุด
ประหารหมู่อย่างโหดเหี้ยมและเยือกเย็น
ตอนที่  501  เป้าหมายเราคือพวกเซียน
ในความเงียบ ม่อจื่อหวีชำเลืองมองนักรบที่ยืนตะลึงอย่างเหยียดหยามและกล่าวอย่างเย็นชา  “ถอยกลับมาอีก รักษาแนวป้องกันไว้ ช้าลงอีกนิด”

อาวุธจักรกลวิญญาณทั้งสองร้อยชุดสลับตำแหน่งกันกับแถวหลัง  ความเร็วของพวกเขาช้าลง  แต่คลื่นของมนุษย์ถูกสะกดข่ม  ไม่มีใครกล้ารุกหน้าอีกครั้ง
 “พวกเขากลัวเราอย่างแท้จริง!”
หนึ่งในนักสู้จักรกลพึมพำออกมา
 “พวกเขาเป็นแค่ปลาเล็กปลาน้อย”  ม่อจื่อหวีดุ  “เป้าหมายจริงๆ ของเราคือพวกเซียน!”
ประโยคนี้ปลุกเร้าทุกคนให้ตื่นตัว  ในสายตาพวกเขา เซียนศักดิ์สิทธิ์คือพลังที่ไม่อาจบรรลุได้  แต่พวกเขาในตอนนี้มองเห็นเซียนพวกนั้นเป็นเป้าหมายของพวกเขา จะไม่ให้เลือดลมพวกเขาปั่นป่วนพลุกพล่านได้ยังไง?
ถ้ามีใครแค่พูดเพื่อสนุก ก็จะไม่มีใครเชื่อ  แต่ในเมืองมิซาร์พวกเขาฆ่าเซียนไปหนึ่งคน!
ไม่มีอะไรที่สามารถเพิ่มกำลังใจให้ได้มาก  พวกเขาพบว่าอย่างนั้นพวกเซียนก็สามารถถูกฆ่าได้  พวกเซียนถูกกองทัพหมาป่าฆ่าตายทำให้กองอีกสามกองพลอิจฉา
ฆ่าเซียนได้จะมีสง่าราศีเพิ่มขึ้นเพียงไหน!
แม้ว่าจะต้องเสียไปหลายชีวิต  แต่ก็นับว่าคุ้ม..
กองทัพหน่วยอื่นตื่นเต้น  ทุกคนรู้ว่าจุดหลักในการรบก็คือสู้กับเซียน  เพื่อการสู้รบครั้งนี้ พวกเขาเตรียมตัวมานานแล้ว
ด้วยการคุ้มกันของกองพลหมัดเล็ก  อีกสามกองพลสามารถทุ่มสมาธิกับการบุกเข้ามาของสี่เซียน
ระยะห่างของพวกเซียนใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว  ในอากาศมีพลังงานที่น่ากลัว  พลังบุกประจัญบานของสี่เซียนที่ปล่อยออกมาในเวลาเดียวกัน รู้สึกเหมือนกับมีแรงกดดันจนหายใจไม่ออก
กองพลทหารราบสร้างม่านพลังป้องกันขนาดใหญ่
กองพลทหารราบถูกเสริมด้วยนักสู้ชาววาฬเพราะกองทัพดั้งเดิมอ่อนแอที่สุด  กลุ่มดาวอันโดรเมดาเป็นเพียงกลุ่มดาวฟากฟ้าเหนือ มาตรฐานนักสู้ของพวกเขาถือว่าธรรมดาและยังต่ำกว่าระดับที่กลุ่มดาวหมีใหญ่ต้องการในปัจจุบันนี้มาก  ในสถานการณ์เช่นนั้นพวกเขาสามารถรักษาตนเองได้ เนื่องจากพลังดวงดาวของกลุ่มดาวอันโดรเมดาในปัจจุบันสูงมากกว่าในอดีต  แต่พลังของนักสู้ยังต้องใช้เวลาสั่งสมกันต่อไป
โครงสร้างของกองพลทหารราบยังคงเดิม  แต่พวกเขายกเครื่องขนานใหญ่โดยใช้นักสู้ชาววาฬซึ่งมีมาตรฐานสูงกว่าเข้ามาร่วมด้วย
นักสู้ชาววาฬนำวิชากำแพงคิงคองมาใช้ด้วย  เพราะปิงได้ใช้กลยุทธสงครามพิษ และเพื่อให้สามารถต่อต้านพายุวังวนกระบี่ของถังเทียนมันได้พิสูจน์คุณค่าแล้ว  ทาร์ตันเข้าใจมาตรฐานของตัวเขาเองดี  เขาอายุวัยกลางคนแล้ว  ในทางปฏิบัติ เขาไม่มีความคิดที่คร่ำครึเกินไป
เขายังคงเห็นคุณค่าของกำแพงคิงคอง ดังนั้นในกองพลทหารราบ พวกเขาใช้ความสามารถมากมายเพื่อเรียนรู้กำแพงคิงคอง
ดังนั้นกำแพงคิงคองของกองพลทหารราบในปัจจุบัน มีความกล้าแกร่งสมบูรณ์มากกว่าของสามกองทัพปลาวาฬในปีนั้น!
ม่านแสงสีทองครอบคลุมเต็มไปหมด
 “ควบคุมจังหวะของพวกเจ้าไว้!”
 “สูดลมหายใจของพวกเจ้าไว้! ปล่อยปราณแท้”
 “อย่าตื่นเต้น! ดีแล้ว ทำอย่างนั้นแหละ!  ดีมาก!”
ผู้บัญชาการทหารทั้งหลายจะให้กำลังใจทหารของพวกเขาไม่รู้จักเหนื่อย ชี้บอกข้อผิดพลาดของพวกเขา  ผู้รอดชีวิตของสามกองพลปลาวาฬทุกคนผ่านศึกฝันร้ายพายุวังวนกระบี่มาแล้ว  จิตใจของพวกเขาแข็งแกร่งขึ้นมาก  ดังนั้นพวกเขาจึงมีอิทธิพลต่อทหารของพวกเขา ทุกอย่างมีเสถียรภาพอย่างรวดเร็ว
ทาร์ตันพอใจกับการแสดงออกของทหารเก่า  นั่นช่วยกองทัพได้มาก ปราณแท้ที่มาจากทุกตำแหน่งมั่นคงอย่างรวดเร็ว
กระแสของกำแพงคิงคองเพิ่มความมั่นคงขึ้น  แสงรังสีมีทั้งส่วนสำรอง รัศมีทองแพรวพราวเข้มข้นขึ้น
เมื่อเห็นจากมุมบนม่านพลังขนาดใหญ่ปกป้องกองทัพได้สิ้นเชิง  ถ้าพวกเขาต้องการโจมตีพวกเขา  พวกเขาต้องทำลายกระดองเต่าให้ได้ก่อน
 “ให้ข้าเอง!”
ร่างสีแดงดุร้ายพุ่งเป็นทางไฟยาวและชนเข้ากับกำแพงคิงคอง! เปลวเพลิงนับไม่ถ้วนม้วนอยู่รอบร่างกายเขา เปลวเพลิงม้วนตัวนับไม่ถ้วนล้อมรอบร่างกายของเขาแสงรังสีสิบสายกระจายออก
กำแพงคิงคองเพิ่มหนาขึ้นภายใต้พลังของเซียนทำให้สีหน้าหลายคนเปลี่ยนไป
 “คิงคอง!”
ทาร์ตันมีสายตาที่ดุดัน  ปราณแท้กระจายออก  เขาตะโกนดังราวกับฟ้าผ่า
เสียงของเขาดังขึ้นอย่างเรียบง่ายเต็มไปด้วยพลัง เหมือนบทสวดพุทธคุณนี้เขาเรียนมาจากท่านขลุ่ยวิเศษใช้เวลามากกว่าจะเชี่ยวชาญ!  หลังจากอยู่ในกองทัพเป็นเวลานาน เขาเข้าใจข้อบกพร่องของตนเองได้ชัดเจน  การอยู่แต่ในกลุ่มดาวอันโดรเมดาอย่างเดียวมาเป็นเวลานานทำให้มุมมองต่อโลกของเขาคับแคบและไม่ค่อยเข้าใจพลังระดับสูงมากนัก  นอกจากนี้เขาแก่แล้ว ไม่มีศักยภาพมากเท่ากับขลุ่ยวิเศษ
แต่นอกจากคนอื่นทั้งหมดแล้ว  เขาเป็นคนที่อยู่ในกองทัพมานานที่สุดและเป็นผู้นำทหารที่มีประสบการณ์ยาวนานที่สุด  ด้วยจุดตรงนี้เองทำให้หวงฝู่หงมิอาจเทียบกับเขาได้
ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมาของเขา  ทาร์ตันรู้ว่าเมื่อไหร่จะตัดสินใจจากผลของการรบ
นักสู้ของกองพลทหารราบทุกคนสั่น เสียงปีศาจที่น่ากลัวดังในท้องฟ้า หายไปโดยไม่มีร่องรอย และล้างความคิดในหัวพวกเขาออกไปด้วย
นักสู้ชาววาฬประหลาดใจกันหมด
สำหรับกลุ่มดาววาฬ, กลุ่มดาวอันโดรเมดาเป็นเพียงชนบทห่างไกลดังนั้นวิธีที่พวกเขาได้ทำมาในฐานะผู้นำทหารน่าสรรเสริญไหม?  ปิงมีความต้องการให้กองทัพมีระเบียบมากจนถึงขนาดที่ไม่มีใครกล้า  แต่พวกเขาหลายคนไม่พอใจอยู่บ้าง  ความซื่อสัตย์และความเพียรพยายามของทาร์ตันมีคุณค่าและทุกคนค่อยๆ ให้การยอมรับ  ผู้นำที่สามารถรับฟังเงื่อนไขของทหารของเขาดูเหมือนจะเห็นได้ยาก  แต่นั่นคือบุคลิกของทาร์ตัน แต่ความสามารถในการสั่งการของเขายังไม่ได้รับการยอมรับ
จนถึงบัดนี้เมื่อได้ยินบทสวดพุทธคุณ  ก็ทำให้นักสู้ชาวดาววาฬได้รู้ตัวว่าพวกเขาดูแคลนผู้บัญชาการของพวกเขา
เมื่อพูดกันถึงเรื่องวิชาบทสวดพุทธคุณ (the Buddha Chant ) มิได้ลึกซึ้งมาก  แต่เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ถือว่าใช้ออกได้อย่างโดดเด่น
กองพลทหารราบรู้สึกตัวทันที!
ทุกคนตะโกนพร้อมกัน  “คิงคอง!”
แสงม่านพลังยิงออกมาทันทีเกิดเป็นรังสีแพรวพราว ทำให้เกิดลูกไฟระเบิดแตกกระจาย
ปัง!
แสงแผดเผาระเบิดออกมาเหมือนดวงอาทิตย์
แรงปะทะที่รุนแรงเต็มไปด้วยพลังพิเศษถูกแปรสภาพเข้าหากองพอทหารราบทำให้ทุกคนสั่นและเลือดออกจมูกและปาก ตุ้บ ตุ้บ ตุ้บ  ทหารสามในสี่ได้รับบาดเจ็บหนักทันทีและกระเด็นกระแทกพื้นมีสีหน้าซีดขาว
พลังของเซียนน่ากลัวมาก!
แต่หลังจากรับระลอกพลังไปแล้ว  ม่านพลังกลับมาอยู่ในสภาพมั่นคง
เซียนคาดไม่ถึงว่ากำแพงคิงคองจะสามารถต้านทานพลังโจมตีเต็มที่เขาได้ซึ่งต้องใช้ปราณแท้มากถึงเจ็ดในสิบส่วนจึงจะสามารถสร้างพลังที่น่ากลัวอย่างนั้นได้
ข้ายังทำลายกระดองเต่านี้ไม่ได้....
เขาไม่สามารถเชื่อสายตาตัวเองได้  พลังโจมตีนั้นสามารถทลายภูผาจนราบเป็นหน้ากลองได้ กวาดล้างเมืองจนเหลือแต่พื้นราบได้
เขาไม่ทันสังเกตว่าระยะของเขากับม่านพลังแสงนั้นใกล้กันมากเกินไป  ราวๆ 60 เมตร  เขากำลังรอสหายของเขาสำหรับคลื่นโจมตีครั้งที่สอง  เขาเชื่อว่าคลื่นโจมตีครั้งสอง  พวกเขาจะสามารถทำลายกระดองเต่าได้
วืดดดด!
เสียงอะไรนั่น?
ทันใดนั้นเขารู้สึกถึงอันตรายจึงก้มหน้าดู  เขาตระหนักได้ทันทีว่ากลุ่มรังสีดาบระดมยิงขึ้นมาเป็นห่าฝนอย่างเงียบๆ เหมือนกับฝูงฉลามโผล่ขึ้นผิวน้ำพุ่งขึ้นมาใส่เขา
แย่แล้ว!
หน้าของเขาเปลี่ยน  แต่คนมีฝีมือและเป็นผู้กล้า  แม้ว่าปราณแท้จะเหลือเพียง 30%  เขาไม่ตื่นเต้นแม้แต่น้อย  ม่านพลังงานปรากฏอยู่ต่อหน้าเขาทันที
ม่านพลังงานคือวิชาจิตวิญญาณที่พวกเซียนใช้กันบ่อยที่สุด ใช้ค่าพลังวิญญาณเพียงเล็กน้อย  ความสิ้นเปลืองปราณแท้เป็นเรื่องเล็กน้อยมากและสามารถใช้ออกได้อย่างรวดเร็ว  ดังนั้นในความเป็นจริงทางปฏิบัติ  ถ้าเขาเผชิญหน้ากับเซียน  เขาคงไม่กล้าใช้ออกมากนัก  เพราะม่านพลังของเขาก็เพียงเท่านั้น  แต่เมื่อเผชิญหน้ากับนักสู้  เขายังมีความมั่นใจมาก
รังสีดาบของศัตรูกระแทกใส่ม่านพลังของเขา
ม่านตาของเขาหรี่แคบทันที
ม่านพลังกำลังจะแตก!
เป็นไปได้อย่างไร....
แต่เขามีปฏิกิริยาไว  เขาสร้างม่านพลังชั้นแล้วชั้นเล่าโดยไม่ลังเลใจ  ปัง  ม่านพลังแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอีกครั้ง!
รังสีดาบที่ซ่อนเร้นอย่างมิดชิดพลันปรากฏอยู่ต่อหน้าเขา  รังสีดาบสีขาวราวหิมะสะท้อนให้เห็นใบหน้าที่ตกใจและเหลือเชื่อ  ฉัวะ... ร่างของเขาถูกตัดขาดเป็นสองท่อน
ม่อจื่อหวีกัดฟันมองดูขณะที่ขณะที่กองทัพหมาป่าโจมตีสำเร็จอีกครั้ง  กลุ่มนั้นสมบูรณ์แบบเกินไปจริงๆ  เมื่อเขาเห็นโอกาส ก่อนที่เขาจะทันรู้ตัว ถังอี้ก็ลงมือโจมตีแล้ว!
เมื่อเห็นโอกาสหลุดลอยไปจากเขา  ความรู้สึกนั้นน่ากลัวจริงๆ
สัญชาตญาณรบของถังอี้แหลมคมและทวนหนักประจัญบานก็แข็งแกร่งมากขึ้น!  ระยะโจมตี 30 เมตรก็ยังสามารถปล่อยรังสีดาบที่น่ากลัว  ทวนหนักประจัญบานสมบูรณ์แบบ....
โธ่เว้ย!
การสู้รบยังไม่จบเพราะความตายของเซียนคนเดียว  แต่กลับขึ้นสู่จุดสูงสุด
ในพริบตา เซียนอีกสามคนก็รีบเร่งมาถึง  พวกเขาสังเกตว่ากำแพงคิงคองสั่นสะท้านและแค่ต้องโจมตีอีกครั้งเดียวก็จะแตกสลาย
รังสีดาบและรังสีค้อนระดมกระแทกใส่ม่านพลัง
ปังปัง
ม่านพลังแสงแตก  ทาร์ตันกระอักโลหิตและกระเด็นทันที  นักสู้รอบๆ ตัวเขาได้รับบาดเจ็บหนักและล้มลงกันหมด  แต่สีหน้าของพวกเขาไม่มีวี่แววท้อแท้  พวกเขาทุกคนจ้องขึ้นไปบนท้องฟ้า  งานของพวกเขาสำเร็จแล้ว
ชั่วเวลาที่แสงม่านพลังแตก  ร่างเซียนทั้งสามก็พุ่งลงมาหากองทหารอย่างรวดเร็ว
ตราบใดที่พวกเขาบุกเข้าไปในกองทัพได้  พวกเขาจะได้เปรียบ  และเนื่องจากพวกเขาสามารถเข้าไปในแนวรบของกองทัพได้  คู่ต่อสู้จะไม่สามารถใช้การโจมตีขนาดใหญ่ได้
สิ่งที่พวกเซียนเกลียดที่สุดก็คือพลังโจมตีขนาดใหญ่ของกองทัพ  แผ่นดินที่สะเทือนเลื่อนลั่นและความเข้มข้นของการโจมตีไม่ให้พวกเขาหลบหนีได้มักจะบังคับให้พวกเขามุ่งหน้าบุกโจมตีอย่างเดียว
และโดยการบุกเข้าไปในแนวรบของศัตรู  ศัตรูจะต้องยั้งมือเพื่อมิให้ไฟแผดเผามิตรสหาย  พวกเขาจะไม่กล้าใช้การโจมตีขนาดใหญ่  ดังนั้นด้วยพลังของเซียนตามลำพังก็สามารถแสดงอานุภาพได้อย่างเพียงพอ
เซียนทั้งสามมีประสบการณ์การรบโชกโชน  ก่อนที่กำแพงคิงคองจะสลายไปหมด พวกเขาก็พุ่งลงมาอย่างเงียบงันแล้ว
แต่...อะไรกันนั่น?
ลูกบอลขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางสามเมตรลอยขึ้นฟ้า เหมือนกับว่ากำลังรอคอยพวกเขา
ปัง!
ไม่มีคำเตือน บอลแสงระเบิดทันที
กลุ่มเส้นใยแสงหนาแน่นยิงออกมาครอบคลุมพื้นที่ระยะ 150 เมตรทันทีกักสามเซียนไว้ภายใน  นี่คือผลงานสร้างของขลุ่ยวิเศษ  กลยุทธที่กองพลพรานข่ายเชี่ยวชาญที่สุด ข่ายไร้ทางหนี!
ทุกเส้นใยแสงไม่ได้ใช้ฆ่า  แต่มีความเหนียวแน่นมาก  จุดสำคัญคือไม่สิ้นเปลืองปราณแท้  ทหารทุกคนสามารถสร้างใยปราณแท้คุณภาพดีออกมาได้  จุดอ่อนประการเดียวคือต้องเตรียมกันนาน
กองทัพหมาป่าและกองทัพหมัดเหล็กเป็นสัตว์ร้ายสองตัวรอลงมืออยู่แล้ว พวกเขาเคลื่อนไหวพร้อมกัน
รังสีดาบจากทวนหนักประจัญบาน ความสามารถในการโจมตีได้หลายเท่าของอาวุธจักรกลวิญญาณระดมใส่ภายในข่ายใยอย่างบ้าคลั่ง
ขลุ่ยวิเศษไม่กล้าชักช้า  เขาสั่งทหารพรานข่ายให้โจมตีทันที
เป็นแผนบ้าระห่ำที่ถังโฉ่วคิดออกมา สั่งให้ทหารใต้กำแพงคิงคองแยกย้ายกัน  เปิดพื้นที่ว่างเพื่อใช้สร้างเป็นหลุมศพเซียน
ปัง ปัง ปัง!
ภายในข่าย เสียงระเบิดหนาแน่นสามารถได้ยินได้  เวลานั้น ไม่มีใครกล้าพนันว่าเซียนจะตายหรือไม่  ทุกคนไม่สนใจอะไรทุกอย่างทุ่มพลังโจมตีอย่างเมามัน
ตอนที่  502  มารโลหิตวิลเลียม
การโจมตีอย่างบ้าคลั่งดำเนินต่อไปห้านาทีเต็มก่อนจะหยุดนิ่ง
ข่ายยาวแตกออกเป็นชิ้นๆ ร่างสามร่างที่ถูกรุมสังหารร่วงออกมาจากข่ายและกระแทกกับพื้น  ศพทั้งสามไม่สามารถแยกแยะได้ ดำสนิทไม่มีสัญญาณชีวิตอยู่ในร่างเหล่านี้

ทั้งพื้นที่เงียบ มีแต่เสียงหอบหายใจได้ยินอย่างชัดเจน
เป็นเวลาห้านาทีที่ทุกคนทุ่มเทสุดกำลัง ใครจะรู้กันว่าพวกเซียนที่บุกใส่กองทัพจะพบกับจุดจบถูกทำลายอย่างนั้น  เมื่อถังโฉ่วเสนอความคิดที่บ้าคลั่งเช่นนั้น  แทบจะทุกคนเกือบจะปฏิเสธ  ถ้าพวกเขาปล่อยให้พวกเซียนเข้ามาในระยะใกล้ นั่นก็เท่ากับเล่นกับไฟ!  ความผิดพลาดใดๆ ที่เกิดขึ้นอาจหมายถึงจุดจบของกองทัพทั้งหมด
ในที่สุด หลังจากถังโฉ่วยืนกรานอย่างต่อเนื่อง  แผนการบ้าระห่ำนี้จึงถูกนำมาใช้
สำเร็จ...
ทุกคนมองดูซากที่ดำเป็นตอตะโกทั้งสามร่างอย่างว่างเปล่า  ทาร์ตันมีร่างเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด ขลุ่ยวิเศษกำลังหอบหายใจ  หวงฝู่หงที่อยู่ในชุดจักรกลวิญญาณของเขาจ้องมองศพทั้งสามอย่างว่างเปล่า
สำเร็จ... ทำได้สำเร็จจริงๆ!
พวกเขาสังหารเซียนไปสี่คน.... พวกเขาฆ่าเซียนได้สี่คนจริงๆ!
วันที่สี่เซียนเสียชีวิต เมืองอาเลียธถูกยึด คนที่เหลือยอมแพ้สร้างความตกตะลึงไปทั้งเจ็ดดาวเหนือ
**********

ถังเทียนยื่นมือเข้าไปในหมอก  ควั่บ หมอกกลืนร่างถังเทียนเช่นกัน  ถังเทียนเพียงแต่เห็นว่าทัศนวิสัยของเขาเปลี่ยนเป็นสีดำ และจากนั้นเขาถูกดึงเข้าไปในที่ว่างเปล่า  บุรุษหนุ่มร่างผอมผมแดง ตาดำและมีหน้าซีดขาวท่าทางชั่วร้ายยืนอยู่หน้าเขา
 “ข้าคือวิลเลียม”
เขาพูดเบาๆ
ถังเทียนอุทาน “อา” และตอบ “ข้าคือถังเทียน”
 “เจ้ามีเรื่องขัดเคืองกับสมาพันธ์ชาวยุทธหรือ?”  วิลเลี่ยมมองดูถังเทียนด้วยความสนใจ
 “เอ.. เจ้ารู้ได้ไง?”  ถังเทียนประหลาดใจ
 “เพราะพวกเขาให้จิตวิญญาณเซียนของข้าแก่เจ้าน่ะสิ”  วิลเลียมเลิกคิ้วด้วยท่าทางเยาะเย้ย “พวกเขาเอาจิตวิญญาณเซียนออกมาจากร่างของข้าแต่ไม่กล้าใช้ แต่กลับให้คนอื่นเพื่อทำร้ายพวกเขา”
 “เจ้าพวกบัดซบนั่นบังอาจโกงข้า!”  ถังเทียนเริ่มโกรธ
 “ความจริงข้าคือจิตวิญญาณเซียน  ดังนั้นข้าจึงมีรสชาติที่ดีมาก”  วิลเลียมดุ  “แน่นอน เบื้องต้นเราต้องมาทำความตกลงกัน ปล่อยให้เจ้าพวกบัดซบจากสมาพันธ์ชาวยุทธได้มันไป ถือว่าเป็นการดูถูกข้าอย่างแท้จริง”
 “ข้อตกลงอะไร?”  ถังเทียนสงสัย  “เจ้าอย่าคิดหลอกข้าจะดีกว่า!”
วิลเลียมโบกมือ  “เฮ้ เฮ้ เฮ้ เจ้าพวกสมาพันธ์ชาวยุทธงี่เง่าก็คือศัตรูหลักของเรา ข้าสามารถกลืนกินสนามพลังวิญญาณของเจ้าได้  แต่ข้าไม่สามารถชิงร่างของเจ้าได้”
 “เจ้าจะไม่ได้กลืนกินใครทั้งนั้น”  ร่างเยือกเย็นร่างหนึ่งเดินออกมาจากความมืดที่ว่างเปล่า ด้วยชุดสูทลินินสีฟ้าที่สวมอยู่ในร่างที่ผอมสูง  เขายืนตรงแสดงท่าทางที่ห้าวหาญ ยิ่งกว่าใบหน้าที่เยือกเย็น
ถังเทียนสะดุ้ง คนผู้นั้นมองดูเหมือนกับเขาจริงๆ  มีเพียงอย่างเดียวที่แตกต่าง สีหน้าของเขาเย็นชา  แต่เขาตระหนักอะไรบางอย่างได้ทันที  และโพล่งออกมา  “เสี่ยวเอ้อ!  เสี่ยวเอ้อ! ทำไมเจ้าถึงโตไวนักเล่า?”
เสี่ยว…เอ้อ...
ข้าควรจะบอกสถานะที่แท้จริงของข้าดีไหม?
แต่... ข้าอยากใช้กระบี่ข้าฟันเจ้าเด็กโง่นี่ให้ขาดเป็นสองท่อน!
บุรุษหนุ่มไม่ยอมเหลือบมองถังเทียนผู้โง่เขลา
วิลเลียมผิวปากและหัวเราะ  “ดูเหมือนสมาพันธ์ชาวยุทธงี่เง่าจะไปตอแยคนฝีมือดีเข้าให้แล้ว
ถังเทียนผู้ถือกระบี่ (เสี่ยวเอ้อ) พูดอย่างเย็นชา  “เจ้าเป็นตัวอะไรกันแน่ มารโลหิตวิลเลียม”
 “อา อา อ๊า.. เสี่ยวเอ้อ, เจ้ารู้จักเขาจริงๆ ด้วย!  เจ้ารู้จักเขาได้ยังไง?  ทำไมเจ้าจำเขาได้ล่ะ?  เขาดังหรือเปล่า?  ทำไมข้าไม่รู้จักเขา?”
ถังเทียนผู้ถือกระบี่หันควับกลับมา  เขาไม่อาจทนได้อีกต่อไป  “หุบปาก!”
ถังเทียนโกรธ “เฮ้เสี่ยวเอ้อ  อย่าคิดว่าพอเจ้าโตขึ้นก็ก่อกบฏข้าได้นะ!  มาเลย เจ้าต้องการสู้ใช่ไหม ถ้าวันนี้ข้าไม่ดูแลเจ้าให้ดี  ข้าจะยกนามสกุลให้เจ้าเลย
วิลเลียมหัวเราะ  “ข้าจะเป็นกรรมการให้”
เอานามสกุลข้าไปใช้...
ถังเทียนคนที่ถือกระบี่ในมือไม่พูดอะไร  เขารู้ว่าถ้าเขายังคงทะเลาะกับเจ้าเด็กงี่เง่าต่อไปเรื่องก็คงไม่จบง่ายๆ  อย่างไรก็ตาม  เขาไม่ได้ตั้งความหวังอะไรกับเจ้าเด็กโง่  เขาค่อยๆ ดึงกระบี่เซียนปราบสมุทรออกมาจากมิติว่าง  เพลิงสีดำไหลเวียนอยู่ตามใบกระบี่ เหมือนกับว่ามีชีวิต และเขาพูดอย่างเยือกเย็น  “เรื่องยุ่งยากทั้งหมดนี้ ข้าก็แค่ฆ่าเจ้า”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น  ถังเทียนสะดุ้ง  เขาหันหน้าไปทางวิลเลียมและผงกศีรษะให้เขา  “เมื่อเสี่ยวเอ้อพูดเช่นนั้น  ข้าคิดว่าเขาพูดถูก  ดูเหมือนเจ้าจะเป็นคนไม่ดี”
วิลเลียมยกมือทั้งสองประท้วง  “เฮ้ เฮ้ เฮ้  ทำไมพวกเจ้าไม่ฟังข้อตกลงของข้าก่อน?  ข้าไม่มีอันตรายจริงๆ”
 “คนไม่ดีจะพูดอะไรก็ตาม แต่ก็ยังเป็นคนไม่ดีเหมือนเดิม”   ถังเทียนเถียงอย่างมั่นใจ
วิลเลียมรู้สึกท้อแท้เมื่อเห็นทั้งสองใกล้เข้ามาหาเขา  เขาเริ่มพึมพำกับตัวเอง  “เป็นไปตามคาด... พวกสมาพันธ์ชาวยุทธที่งี่เง่าส่งข้าไปอยู่ในเงื้อมมือเจ้าจริงๆ  ฮ่าฮ่าฮ่า น่าสนใจ  น่าสนใจมาก  ข้าชักกระตือรือร้นเรื่องนี้แล้ว”
เขาส่ายศีรษะและหัวเราะ  “ก็ได้, ร่างของข้ายังตกอยู่ในเงื้อมมือของสมาพันธ์ชาวยุทธ  จำไว้..ช่วยข้าตามหาด้วย ถ้าไม่ช่วยฝังก็ช่วยเผาให้ด้วย  ข้าอยากเห็นสีหน้าของสมาพันธ์ชาวยุทธนักเมื่อพวกมันรู้ว่าพวกเจ้าเป็นใคร ฮ่าฮ่าฮ่า....”
พร้อมกับเสียหัวเราะที่จงใจและประมาทของเขา  วิลเลียมกางแขนออกทันทีและร่างของเขาเปลี่ยนเป็นเปลวเพลิงสีดำและเข้าไปอยู่ในร่างของเสี่ยวเอ้อทันที
มิติว่างรอบๆ พวกเขาหายไปทันที  ทันใดนั้นถังเทียนลืมตาและตระหนักได้ว่า ถังเทียนอีกคนที่เหมือนเขามีขนาดเล็กลงอย่างรวดเร็วอยู่ต่อหน้าเขาและกลายเป็นเสี่ยวเอ้อตุ๊กตาผู้น่ารัก
 “หวา เสี่ยวเอ้อ เจ้ามีขนาดเล็กเหมือนเดิมอีกแล้ว!  เท่มาก!”  ถังเทียนปากอ้าค้างด้วยความทึ่ง
เสี่ยวเอ้อกำหมัดแน่น หน้าของเขาเขียวคล้ำ
ข้ากลายเป็นตัวเล็กลงต่อหน้าเจ้าเด็กโง่นี่จริงๆ...
และทำไม.... ความรู้สึกอัปยศนี้มาจากไหน...
เสี่ยวเอ้อรู้สึกสลดยิ่งนัก  และหมุนตัวและลอยไปที่มุมห้อง
 “เสี่ยวเอ้อ  เสี่ยวเอ้อ, เจ้าลึกลับมากจริงๆ สามารถเปลี่ยนขนาดก็ได้”  ถังเทียนติดตามเขาพลางตะโกน
เสี่ยวเอ้อยังคงลอยตัวต่อไป  ศีรษะเขาตกขณะครุ่นคิด เขาคร่ำครวญในใจ ถ้าพวกเขาสามารถต่อสู้กันได้ และเจ้าเด็กโง่จะต้องบาดเจ็บแน่นอน และข้าจะได้โอกาสควบคุมร่างนี้  แต่ใครกันจะรู้ว่า มันจะจบลงแบบนี้
เจ้าคือมารโลหิตวิลเลียมตัวจริงหรือเปล่า?
เจ้าเคยเป็นฆาตกรที่ฆ่าคนไปเกินกว่าพันคน!
ทำไมเจ้าถึงยอมแพ้ง่ายๆ แบบนั้น?
แล้วเจ้าจะใช้ชื่อของเจ้าต่อไปได้อย่างไร?
โง่เขลาจริงๆ... และข้าต้องถูกเจ้าเด็กโง่เปลี่ยนขนาดอีกจนได้... บัดซบจริงๆ...
เสี่ยวเอ้อลอยอยู่เงียบๆ พร้อมกับความหนาวเหน็บและทุกข์ทนของเขา  ค่าวิญญาณในปัจจุบันของเขาสูงถึง 80 อย่างน่าประหลาดใจ  แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้เขามีความสุขได้
มารโลหิตวิลเลียมคือคนชั่วร้ายที่มีชื่อเสียงอื้อฉาว เขาฆ่าคนมามากมายในชีวิตของเขาซึ่งเขาไม่รู้วามากมายเท่าใด  ประวัติของเขาลึกลับมาก  ไม่มีใครู้ว่าเขาเป็นเซียนระดับใด  และเขาทำอะไรมา  แต่หลังจากที่เขากลายเป็นเซียน สิ่งแรกที่เขาทำก็คือเขย่าขวัญสวรรค์วิถี
ด้วยหอกกับม้าตัวหนึ่ง เขาฆ่าตลอดทางเข้าไปในแผนกหนึ่งของสมาพันธ์ชาวยุทธ ฆ่ากวาดล้างไปทั้งแผนก
หลังจากนั้นเขาบุกกลุ่มดาวขนาดใหญ่และฆ่านักสู้ของสมาพันธ์ชาวยุทธหลายคนอย่างต่อเนื่อง  เขามีความเจ้าเล่ห์มาก  เมื่อยอดฝีมือสมาพันธ์ชาวยุทธวางกับดัก  เขาสามารถหลบหนีออกไปได้
ลักษณะที่สะดุดตาที่สุดของวิลเลียมก็คือผมสีแดงของเขาและเขาเจ้าเล่ห์ โหดร้ายและชั่วร้ายเหมือนปีศาจและนั่นเองเขาจึงได้ฉายาว่า จอมมารโลหิต
เขามีชื่อเสียงในฐานะฆาตกรระดับเซียน ขณะที่มีนักสู้ธรรมดาไม่มากนักที่รู้เรื่องของเขา
ถังเทียนไม่เคยได้ยินชื่อของมารโลหิตมาก่อน  ดังนั้นจึงทำให้เขาไม่มีความเครียดใดๆ  ขณะที่เสี่ยวเอ้อยังคงใจเย็นและทำท่าดุร้าย  แต่แรงกดดันและความเครียดในหัวใจของเขาหนักหน่วงจริงๆ
สำหรับสมาพันธ์ชาวยุทธเอาจิตวิญญาณเซียนของวิลเลียมออกมาและไม่ใช้ด้วยตนเอง นั่นแสดงให้เห็นถึงลักษณะที่ทรงอำนาจของวิลเลียม  แต่ให้สมาพันธ์ชาวยุทธเองก็ยังไม่กล้าผ่อนผัน   เสี่ยวเอ้อเตรียมการไว้แล้ว แต่เขาคิดไม่ถึงว่าวิลเลียมจะยอมแพ้และไม่ต่อต้านและหันมาช่วยพวกเขาแทน
เหตุการณ์กลับกลายอย่างนั้นมันแปลกมาก  หรือว่า....จะมีกับดักบางอย่าง?
เสี่ยวเอ้อไม่สามารถวางใจได้  แต่เขาไม่กล้าดูแคลนวิลเลียม  ยอดฝีมือทุกคนที่มีชื่อเสียงมาหลายปี  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซียนผู้อื้อฉาวผู้มีชีวิตมาหลายปี ไม่ง่ายจะรับมือแน่นอน
 “เอ่... นี่อะไร?”
ถังเทียนที่อยู่ด้านหลังเขาพบอะไรใหม่ๆ บางอย่าง  และเสียงของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย
เสี่ยวเอ้อหันมาดูอย่างเฉยเมย  เจ้าเด็กโง่นี่จะทำอะไรอีก?  เมื่อสายตาเขาเห็นฝ่ามือของถังเทียน  เขาตะลึง
ในฝ่ามือของถังเทียนมีตราประทับสีแดงคล้ายเปลวเพลิง
ดวงตาของเสี่ยวเอ้อขยายกว้าง  นั่นคือ... เครื่องหมายของวิลเลียม!
เสี่ยวเอ้อมาปรากฏตัวต่อหน้าถังเทียน ใบหน้าที่น่ารักเขียวคล้ำ  เขาตรวจสอบร่างกายของถังเทียนอย่างละเอียดและรวดเร็ว  สีหน้าของเขาแปลกประหลาด
นี่คือเครื่องหมายของวิลเลียมชัดๆ  แต่ไม่มีปราณของวิลเลียมอยู่เลย  นี่มันชัดเจนแล้ว!
นี่....ไม่ธรรมดาเสียแล้ว!
ถังเทียนกำลังจ้องมองอยู่รู้สึกทึ่ง  เขาตระหนักอยู่ในตราประทับนั้นเก็บข้อความเอาไว้ซึ่งลึกลับและลึกซึ้ง  เขาสามารถรู้สึกได้ถึงความรุนแรงและเย็นยะเยือกได้อย่างเลือนราง  แต่ยากจะอธิบายได้  เพราะมันไม่มีร่องรอยของพลังงาน
ถังเทียนเริ่มไตร่ตรอง
ทันใดนั้น เขาแบมือ และบอลเปลวเพลิงลอยออกมาจากตราประทับและวนรอบมือเขาอย่างรวดเร็ว  ในพริบตาฝ่ามือของถังเทียนก็ครอบคลุมไปด้วยเปลวเพลิง
ตาของเสี่ยวเอ้อมองดูตรงๆ และเขาโพล่งออกมาว่า “เพลิงปีศาจ!”
 “เพลิงปีศาจ?”  ถังเทียนสงสัย  แม้ว่าฝ่ามือของเขาจะมีเพลิงครอบคลุม  แต่เขาไม่รู้สึกร้อนแต่อย่างใด
 “เพลิงปีศาจคือวิชาพลังวิญญาณที่วิลเลียมสร้างขึ้นมาด้วยชื่อเสียงของตนเอง”  เสี่ยวเอ้อแนะนำ  “เปลวเพลิงนี้มีความพิเศษอย่างมาก สามารถเผาอะไรก็ได้ และกล่าวกันว่าเมื่อมันอยู่ในระดับสูง ก็สามารถเผาได้กระทั่งมิติ”
 “ทรงพลังมาก!”  ถังเทียนกระโดดด้วยความตกใจ
 “แต่มันยังไม่เป็นของเจ้า...”  สีหน้าของเสี่ยวเอ้อประหลาด เนื่องจากเขาบ่นกับตัวเอง  “เจ้ามีร่างซึ่งมีพลังกายเป็นศูนย์”
ทันใดนั้น เสี่ยวเอ้อดูเหมือนคิดอะไรบางอย่างได้  เนื่องจากเขายังพูดกับตัวเองต่อไป  “ใช่แล้ว  เจ้ามีร่างกายพลังเป็นศูนย์...”
 “เป็นไปได้...”  นัยน์ตาเขาเป็นประกาย  “ลองอย่างนี้!”
หลังจากกินกระดูกเซียนครั้งล่าสุด มันยังมีตราประทับที่พลังอ่อนแอมาก    ตราประทับที่พลังอ่อนแอมาก  แต่เสี่ยวเอ้อตระหนักได้ มันมีระดับพลังที่สูงมาก  ในช่วงเวลาสั้นๆ จึงยากที่จะทำความเข้าใจ
ใจของเขาลองคาดเดา  และถ้าพิสูจน์...
เสี่ยวเอ้อใช้มือน้อยกดที่คอของถังเทียนโดยไม่พูดอะไรสักคำ  รอยประทับอ่อนแอถูกกดเข้าไปในร่างของถังเทียน
ตอนที่  503  ความเปลี่ยนแปลงในสถานการณ์
เมื่อรอยประทับเข้าไปในร่างของถังเทียน  เขาสั่น ใบหน้ากระตุกเอามือกุมท้อง “โอ๊ะ.. ท้องข้า...”
เขารีบวิ่งไปที่ห้องสุขาโดยไม่พูดอะไร

สีหน้าของเสี่ยวเอ้อแข็งค้าง เขาคิดถึงความเป็นไปได้นานัปประการ  แต่ปฏิกิริยาต่อหน้าเขาไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดเอาไว้เลย
เสียงปลดปล่อยพลังที่เกิดขึ้นในห้องสุขาได้ยินจากที่ไกล นึกถึงในอดีต เขาเคยผายลมจนพื้นทะลุเป็นรูมาแล้ว  แล้วพอคิดถึงแรงระเบิดในห้องส้วม เสี่ยวเอ้อสงสัยว่าเจ้าผู้นี้คงทำส้วมพังไปแล้วกระมัง
โอว เรื่องส้วมยังไม่ใช่เรื่องสำคัญ  ข้าไปห่างๆ เลยจะดีกว่า...
เสี่ยวเอ้อเผ่นหนีทันที
หลังจากนั้นชั่วขณะ ถังเทียนก็เดินกุมท้องออกมา  หน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “เสี่ยวเอ้อ, มาที่นี่เดี๋ยวนี้!”
เมื่อคิดดูแล้ว เสี่ยวเอ้อจำได้เกี่ยวกับสถานะของพวกเขา... แต่ร่างกายของเขาไม่สามารถต่อต้านคำสั่งถังเทียนได้และควบคุมไม่ได้อย่างสิ้นเชิง  เขาลอยเข้าหาถังเทียน
เรื่องที่น่าอายแบบนี้ ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว นี่ข้าต้องทนแบบนี้ตลอดไปหรือนี่?
เสี่ยวเอ้อตัดสินใจเปิดเผยสถานะของเขา  “ความจริงข้าคือ...”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ มือข้างหนึ่งคว้าตัวเขาไว้ทันที เสี่ยวเอ้อเพียงแต่รู้สึกว่าท้องฟ้าหมุนติ้ว และหน้าเขาจูบพื้นอีกครั้ง
โธ่...โธ่เว้ย!
เสี่ยวเอ้อรู้สึกเหมือนว่าตนเองเป็นผ้าขนหนูที่กำลังถูกบิดและฟาดกับพื้น  ที่อยู่เหนือเขาคือถังเทียนที่พ่นคำผรุสวาทออกมาเป็นชุด
 “ความจริงแล้วเจ้าไม่ตั้งใจน่ะเหรอ?  ความจริงเจ้าจงใจต่างหากเล่า!”
 “ก็เมื่อตอนที่เจ้าอยู่ต่อหน้าเจ้าวิลเลียมนั่น เจ้ายังกล้าอวดอำนาจต่อข้า  ข้าจดหนี้ไว้แล้ว  ข้าจะชำระคืนเดี๋ยวนี้!”
 “ปีกกล้าขาแข็งแล้วใช่ไหม กะอีแค่ขยายขนาดตัวได้? ฮึ่ม.. ไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก!”
……

ปิงซึ่งหายหัวไปทั้งวันเพิ่งโผล่มาอีกครั้ง  เขากำลังพ่นควันเป็นวงแล้วพูดทัก “เฮ้, พวกเจ้ากำลังสนุกอยู่เชียวนะ”
ถังเทียนเห็นหยาหยา และกล่าว “ดูสิ หยาหยายังว่าง่ายมากกว่าอีก!  หยาหยา เจ้าต้องสั่งสอนความประพฤติเสี่ยวเอ้อให้ดีดีล่ะ”
พูดจบเขาโยนเสี่ยวเอ้อไปหาหยาหยา  หยาหยาคว้าเสี่ยวเอ้อได้ก็เผ่นหนีพ้นสายตาถังเทียน
 “ความก้าวหน้าในเจ็ดดาวเหนือเป็นไปด้วยดี”  ปิงกระโจนลงมาจากกำแพงและคุย  “ถังโฉ่วตีเมืองอาเลียธได้และฆ่าเซียนไปสี่คน  แต่พวกเขาก็ต้องพักสองสามวัน กองพลทหารราบของทาร์ตันบาดเจ็บสูญเสียเป็นส่วนใหญ่ และจำเป็นต้องใช้เวลาพักฟื้น”
ถังเทียนประหลาดใจ  “อาโฉ่วแข็งแกร่งมากนักหรือ?”
 “สหาย..เจ้าฝึกฝนตนเองให้ยิ่งขึ้นไปดีกว่า”  ปิงดุ จากนั้นสังเกตเห็นรอยตราที่มือของถังเทียน และกล่าว “เฮ้, มีอะไรอยู่บนมือของเจ้า?
 “ข้าไม่รู้, ลุงรู้จักไหม?”  ถังเทียนถามด้วยความสงสัย  “ข้าขายวิชาแสงอรุณไปและได้รับจิตวิญญาณเซียนมา เขาชื่อวิลเลียมหรืออะไรนี่แหละ  เขาบอกเรื่องข้อตกลงบางอย่าง โอว ใช่แล้ว เสี่ยวเอ้อจู่ๆ ก็ตัวโตแล้วก็เล็กลง...”
ปิงสับสนกับคำพูดจับต้นชนปลายไม่ถูกของถังเทียน เขายกมือห้าม “หยุด!”
ถังเทียนเงียบ
ปิงคิดชั่วขณะ จากนั้นทำสีหน้าจริงจัง แล้วก็สั่นศีรษะ “ไม่เคยได้ยินมาก่อน”
ถังเทียนตอบ “โอว” จากนั้นพูดต่อ  “เมื่อครู่ข้าสับสนกับเสี่ยวเอ้อไปหน่อย และตอนนี้ข้ามีเจ้านี่ด้วย”
มือซ้ายของถังเทียนมีตราประทับรูปดาบเล่มหนึ่ง  ถังเทียนพลิกฝ่ามือขวาและเพลิงสีแดงก็หุ้มรอบหมัดของเขา ฝ่ามือซ้ายฟันใส่อากาศ วูบ.. รังสีดาบโปร่งใสบางสายหนึ่งปรากฏวาบในอากาศ
 “ไม่มีระลอกพลังงานจากสิ่งนั้น!”  ปิงขมวดคิ้ว  “ดูเหมือนว่าข้าเคยเห็นสิ่งแปลกประหลาดนั้นจากที่ไหนสักแห่ง”
เขาคิดอยู่ชั่วขณะ จากนั้นส่ายศีรษะ  “ข้าจำไม่ได้ว่าจากที่ใด”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ถังเทียนกล่าว  “ไม่สำคัญ  ข้าจะค่อยๆคิดเรื่องนี้เอง”
 “จริงสิ เมื่อเร็วๆ นี้การรบของสมาพันธ์ชาวยุทธและกลุ่มดาวราชสีห์ทวีความรุนแรงขึ้นมาก”
เพียงแค่นั้น หน้าของปิงจริงจังมากขึ้น
ท่ามกลางการต่อสู้ระหว่างสมาพันธ์ชาวยุทธและกลุ่มดาวราชสีห์ครั้งล่าสุด  ทั้งสองฝ่ายอยู่ในกองทัพทั้งหกและมีเซียนนักสู้ราวหกสิบคน  ขนาดของการสู้รบเริ่มขยายวงขึ้น มากกว่าความขัดแย้งใดๆ ในอดีต
ความขัดแย้งที่ขยายตัวรุนแรงขึ้นอย่างฉับพลันทำให้ทั่วทั้งสวรรค์วิถีกังวล   และพวกเซียนสูญเสียความสนใจประจำวัน  เซียนเกินกว่า 60 คนจู่ๆ ก็ขัดแย้งกันมากขนาดนี้อย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
สงครามเริ่มเข้าสู่ในช่วงเวลาของเซียน
พลังทำลายล้างของเซียนกล้าแข็งรุนแรงมาก  ดังนั้นเป็นเวลานานมาแล้ว  พวกเซียนถือกองกำลังรบมาตรฐานสูงและคอยทำหน้าที่ปราบปราม  สำหรับเซียนทั้งหกสิบคนที่ร่วมอยู่ในการสู้รบ นับว่าเพียงพอจะทำลายดาวได้ทั้งดวง
****************************

ข่าวนี้ทำให้หลงปัวไม่อาจนั่งเฉยอยู่ได้  และพวกเขากลับไปยังสมาพันธ์ชาวยุทธ
หรงปัวมองดูเย่เฉาเกอและกล่าว  “เฉาเกอ ถ้าเจ้าต้องการจะอยู่ที่นี่  ข้าจะไม่ว่าอะไร  แต่เจ้าต้องจำเอาไว้  ทรัพยากรของสมาพันธ์ชาวยุทธมีมากกว่าเมื่อเทียบกับภายนอก อย่าลืมรากเหง้าและไล่ตามแต่อนาคตล่ะ”
เย่เฉาเกอตอบด้วยความเคารพ  “เฉาเกอเข้าใจ”
เขารู้ว่าผู้อาวุโสหมายความว่าอะไร และเมื่อผู้อาวุโสออกเดินทางก็หมายความว่าเขาสูญเสียการปกป้องคุ้มครอง  เขาเพิ่งจะก้าวเข้าสู่ระดับเซียน  พลังแสงสางของเขายังไม่เชี่ยวชาญ  และยังคงมีเซียนมากมายรวมตัวกันอยู่ในเมืองหานกู่  และเขาไม่รู้ว่ามีคนที่แข็งแกร่งมากกว่าเขาอยู่กี่คน
เซียนอิสระทุกคนเป็นเซียนมานานแล้ว  พลังของพวกเขาลึกล้ำมากกว่าที่เขาจะโต้แย้งได้ในเวลานี้  มีหลงปัวอยู่กับเขา ก็ไม่มีใครกล้าหาเรื่องเขาเป็นธรรมดา  แต่ตอนนี้ผู้อาวุโสนั้นกลับไปยังสมาพันธ์แล้ว  แม้ว่าจะมีผู้คนอาจกลัวสถานะของเขาในสมาพันธ์ชาวยุทธ  ถ้ามีข้อพิพาท สถานะดังกล่าวคงช่วยได้ไม่มาก
หลงปัวเห็นว่าทัศนคติของเย่เฉาเกอมั่นคงและไม่มีอะไรต้องแนะนำต่อ  แม้ว่าเขาจะโปรดปรานเย่เฉาเกอ  แต่เย่เฉาเกอในปัจจุบันนี้ยังอ่อนแออยู่ และไม่สามารถช่วยเขาได้มาก  ดังนั้นการปล่อยเขาไว้ให้ขัดเกลาตัวเองอยู่ที่นี่ก็ดีด้วยเช่นกัน
ไม่เพียงแต่หรงปัวต้องไปจากเมืองหานกู่เท่านั้น  ผู้อาวุโสมู่ก็รีบร้อนออกไปในวันเดียวกัน เทียบกับการรบแล้ว  เมืองหานกู่ยังจะมีค่าพอหรือ?
มีเซียนอีกมากที่ออกไปในเวลาเดียวกัน บรรดาเซียนเหล่านั้น บางพวกก็ถูกกลุ่มดาวเรียกกลับไป  บางพวกก็รู้สึกว่าเป็นโอกาสดี และต้องการหาทางเข้าร่วมกับผู้มีอำนาจอิทธิพล
แม้ว่าจะมีคนหลายคนที่จากไป  แต่บรรยากาศในเมืองหานกู่ก็เริ่มรุนแรงขึ้น  ไม่มีภูเขาใหญ่สองลูก  ผู้อาวุโสหรงปัวและผู้อาวุโสมู่ เซียนหลายคนจึงรู้สึกเบาใจขึ้น
จวนเจ้าเมือง
ชางหยางหวี่มองดูศิษย์ทั้งสองและกองซากศพและถอนหายใจ  “ในที่สุดพวกเขาก็ไม่สามารถกลับมาได้”
ฟู่จงซานกล่าวเสียงเบา “ศิษย์สืบสวนแล้ว มีคนอยู่สองสามคนที่กระทำการบางอย่างในเมือง  พวกเขาใช้สมบัติวิญญาณสิบสองชิ้นและระงับคลื่นเย็นและสมบัติของเราชั่วคราว  นั่นคือวิธีทำให้การปกป้องเมืองเราหายไป”
 “ผู้อาวุโสจากสมาพันธ์ชาวยุทธและองค์การวิญญาณมืดจากไปแล้ว  พวกเขาไม่จำเป็นต้องกลัวต่อไป”  ชางหยางหวี่มองดูฟู่จงซาน “อาการบาดเจ็บของเจ้าเป็นยังไงบ้าง?”
ในที่สุดเรื่องนี้ก็กลายเป็นเรื่องที่เขากังวลมากที่สุด  ก่อนนั้นเขาใช้กลยุทธกับสมาพันธ์ชาวยุทธเพื่อข่มเซียนอิสระ  มหาอำนาจใหญ่ทั้งหมดไม่กลัวว่าเขาจะหนี  พวกเขามั่นใจในพลังของตนเอง  ตราบใดที่พวกเขารู้ว่าผู้คนยินดีร่วมมือกับพวกเขา  แต่ในกลุ่มเซียนอิสระยังมีทั้งคนดีและคนเลว  หลายคนอาจจะทุ่มเสี่ยงอย่างหมดหวังและใช้วิธีการเอาเปรียบซึ่งเป็นเรื่องที่ชางหยางหวี่กังวลที่สุด
พวกเซียนอิสระมีทั้งพยัคฆ์หมอบและมังกรซ่อน  ดังนั้นชางหยางหวี่จึงคิดถึงตำแหน่งของเมืองหานกู่อย่างระมัดระวัง  แต่จริงๆ แล้วพวกเขาพบวิธีการทำลายแผนการของเขา และสิ่งที่ทำให้ชางหยางหวี่กังวลมากขึ้นก็คือเซียนอิสระหลายคนทำงานด้วยกัน
มีผู้แทรกซึมเข้ามาในจวนเจ้าเมืองในคืนก่อน  ทหารยามหลายคนบาดเจ็บล้มตายไป ฟู่จงซานและหยางเฮ่าหรันได้รับบาดเจ็บ  มันยุ่งเหยิงไม่เพียงแต่ในจวนเท่านั้น  แต่ทหารยามโดยรอบเมืองก็ประสบความสูญเสียด้วย
 “อาจารย์ไม่ต้องห่วง ศิษย์สบายดี”  ฟู่จงซานส่ายศีรษะ ในดวงตาของเขาปรากฏแววไม่สบายใจ บาดแผลในร่างของเขาเป็นเพราะฝีมือศิษย์คนที่สามหลี่รั่ว  เขาไม่เคยคิดว่าศิษย์น้องที่สนิทที่สุดจะทรยศหักหลัง
หยางเฮ่าหรันมีสีหน้าโกรธเคือง  “ข้าไม่เคยคิดเลยว่าหลี่รั่วจะเป็นคนแบบนั้น!”
 “เขาสมคบคิดกับองค์การวิญญาณมืด  ข้าเห็นถงเก๋อ”  รังสีฆ่าฟันวาบผ่านในดวงตาของฟู่จงซาน  “เจียงหยางเป็นเด็กดี  แต่น่าเสียดายที่ต้องมาทุกข์ทนด้วยเงื้อมมือแผนการชั่วร้าย! เหตุการณ์ยุ่งเหยิงในคืนก่อน ไม่ใช่แค่คนกลุ่มเดียวที่มา”
ชางหยางหวี่พึมพำกับตัวเอง  “ข้าไม่เคยคิดว่าสถานการณ์จะกลายเป็นแบบนี้  หรือว่านี่คือพรหมลิขิต?”
ทันใดนั้นเขาเงยหน้า  “เรียกหน่วยป้องกันจากในเมืองและที่ทำการซึ่งพวกเขาประจำทั้งหมดกลับมา  ให้ศิษย์ที่ฝึกในค่ายนอกทั้งหมดเข้ามาด้วย”
อาจารย์ตั้งใจจะปกป้องจนถึงที่สุดหรือ?
ฟู่จงซานและหยางเฮ่าหรันมองหน้ากันเอง  ทั้งสองคนไม่คัดค้าน การลอบโจมตีจากเมื่อคืนก่อนฆ่าหน่วยป้องกันไปหลายคน  ดังนั้นพวกเขาจึงขาดกำลังคน  พวกเขากังวลแต่ว่าศิษย์ในค่ายฝึกจะอ่อนแอเกินไป ในการต่อสู้เช่นนั้นพวกเขาไม่มีประโยชน์
แต่ในปัจจุบันนี้  พวกเขาไม่มีทางอื่นที่ดีกว่า
ในตอนกลางวัน เมืองหานกู่มองดูปกติ  ชางหยางหวี่ไม่ต้องเปลืองความพยายามในจุดที่ตั้งเมืองเลย  แม้ว่าคู่ต่อสู้จะสามารถทำให้เมืองหานกู่ต้องสูญเสียการป้องกัน  แต่พวกเขามีเวลาไม่มาก
ค่ายฝึกถูกเรียกเข้ามาในเมือง  แต่ว่าไม่ได้ทำให้พวกเซียนกลัวพวกเขา นี่คือความพยายามครั้งสุดท้ายของชางหยางหวี่  ศิษย์ที่ไร้ประโยชน์ทั้งหมด  พวกเขาจะมีอะไรดี?
เมื่อพวกเขาเข้าไปในเมือง  ศิษย์ชั้นนอทุกคนหน้าซีดด้วยความกลัวทำให้หลายคนหัวเราะ
 “ข้าได้ยินว่าเมื่อคืนก่อนมีเรื่องวุ่นวายและหลายคนตาย”  ติงเฉินพูดเบาๆ กับถังเทียน เขาชื่นชมไป่อาโฉ่วมาก  คนอื่นยังคงคิดบุกรุกเข้าไปในจวนเจ้าเมือง  แต่เจ้านายเขาปะปนเข้าไปในจวนโดยไม่มีใครรู้และไม่มีเรื่องลำบาก
เทียบกับศิษย์คนอื่นที่สูญเสียการควบคุมตนเองในชั้นของพวกเขา  ชั้นของติงเฉินมั่นคงมากกว่า  ทุกคนรู้พลังของเจ้านายไป่อาโฉ่ว
เป็นเซียนนั่นจะยากขนาดไหน?
และมีเซียนมากมายหลายคน คงจะเป็นเหมือนพายุใหญ่แน่  ถังเทียนคิด  เขาจำเป็นต้องได้ดวงตาแห่งเซกซ์แทนส์ และพวกเซียนในที่นั้นคือคู่ต่อสู้ของพวกเขาทุกคน
ดูเหมือนการสู้รบจะโหดร้ายรุนแรงมากขึ้น!
ถังเทียนกำหมัด แต่เขาไม่ได้ขลาดกลัว เมื่อสองสามวันก่อนเขาได้รับเพลิงปีศาจ และในที่สุดเขาก็เข้าใจขึ้นมาบ้างเพลิงปีศาจคืออะไร
มันไม่ใช่เพลิงปีศาจ
ตราประทับของวิลเลียมอยู่บนเพลิงปีศาจ  แต่ร่างมีพลังเป็นศูนย์ของถังเทียนมีผลขับไล่พลังงานที่แข็งแกร่ง  พลังงานในส่วนที่เป็นตราประทับถูกขับออกจากร่างของถังเทียน และสิ่งที่เหลืออยู่ก็คือกฎวิญญาณที่บริสุทธิ์
พูดตามตรงก็คือเป็นเพลิงปีศาจที่ไม่มีพลังอยู่เลย
การค้นพบครั้งนี้เกินความรู้ของถังเทียนไปมาก
ตามที่ควรเป็น  กฎและพลังงานไม่สามารถแยกกันได้  กฎทั้งหมดมีผลต่อการควบคุมพลังงานให้ดี  ทำให้พลังงานที่ใช้มีผลมากขึ้น
แต่วันนี้ถังเทียนตระหนักว่ากฎหนึ่งที่อยู่ต่อหน้าเขาซึ่งไม่มีพลังงาน, โอวไม่ใช่, มีสองกฎ ประทับดาบ ดูเหมือนจะมีระดับที่สูงกว่า
เขายังไม่เข้าใจเต็มที่  เปลวเพลิงหมายความว่าอะไรกันแน่  แต่เขารู้สึกโดยสัญชาตญาณว่ามันคือพลังที่แข็งแกร่งทรงพลังแน่นอน

ไม่มีความคิดเห็น :

แสดงความคิดเห็น