วันพุธที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563

ตอนที่ 167 อสูรขัดเกลาวิญญาณ
“ถือว่าเป็นเรื่องจริง มีคนจํานวนไม่น้อยอยู่ข้างใน”
“องค์หญิงเย่ว์เหม่ย ท่านสัญญาแล้วว่าจะไว้ชีวิตพวกเรา!” นักลอบสังหาร
กล่าวคําขึ้น
“อย่าได้กังวลไป ข้าไม่ฆ่าเจ้าหรอก!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยยิ้มหวาน รอยยิ้มนี้ทํา
เอานักลอบสังหารทั้งสองแตกตื่น พวกเขาพลันรู้สึก เจ็บปวดรุนแรงภายใน
หัวจนสิ้นสติ
“ข้าก็แค่ทําให้สมองพวกมันบาดเจ็บหนัก ภายหน้าก็คงเป็นคน เสียสติเท่า
นั้นเอง!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยหัวเราะคิกคักให้ฉินหยุน
“พี่ชาย ถือว่าข้ารักษาคําพูดแล้วใช่หรือไม่?”
“นี่เจ้า... ข้าเองก็ชักจะกลัวเจ้าแล้ว!” ฉินหยุนหยิกที่ใบหน้า น่ารักนั้นไป
ครั้งหนึ่งก่อนจะยิ้มให้ เชี่ยวเย่ว์เหม่ยแค่นเสียง
“ไอ้ลูกเต่าเชี่ยวหยางหลง มันกล้า วางแผนขายข้าต่อชื่อวี้เพื่อแลกเปลี่ยน
กับหนึ่งร้อยล้านแต้ม เสวียน! เรื่องนี้ข้าไม่มีทางปล่อยมันไปแน่!” เหตุผล
ว่าทําไมนางถึงไม่ให้ฉินหยุนยุ่งเกี่ยวกับการสอบปากคํา ก็เพราะนางโกรธ
แค้นในใจยิ่ง ฉินหยุนมองไปยังถํ้าที่อยู่ห่างไปนับกิโลเมตรขณะกระซิบ
กล่าว
“มีคนกําลังออกมา!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยหันมองตาม นางกระทืบเท้ารุนแรง
สบถคําออก เสียงเบา “เป็นชื่อวี้” ตัวสารเลวผู้นั้น!”
ฉินหยุนได้เห็นชายคนหนึ่งเดินออกมา เป็นชายร่างผอมบาง ใบหน้ายาว สี
หน้าเคร่งขรึม ชุดที่สวมใส่นั้นคล้ายคลึงกับนัก ลอบสังหารทั้งสอง หลังเขา
ออกมาแล้ว จึงสวมใส่หน้ากากและ ทะยานขึ้นฟ้าไป
“ไอ้สารเลวนี่คิดใช้แผนการนําหนึ่งร้อยล้านแต้มเสวียนซื้อข้า จริง? น่า
รังเกียจนัก ข้ามีค่าเพียงแค่นั้น? เชี่ยวหยางหลง บังอาจดีนักนะถึงขั้นขาย
ข้าเช่นนี้ เจ้าสองเดรัจฉาน!”
ยิ่งเชี่ยวเย่ว์เหม่ยคิดเรื่องนี้เท่าไหร่ นางยิ่งโกรธแค้นมากขึ้น เท่านั้น เมื่อฉิน
หยุนเห็นชื่อวี้ จากไปแล้ว เขาจึงเอ่ยถามเสียงเบา “ใน เทียบอันดับแต้ม
เสวียน อันดับหนึ่งมีแต้มเสวียนอยู่เท่าใดกัน?”
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยแค่นเสียง “หนึ่งพันล้าน! ทั้งหมดที่ได้ไม่ใช่ เพราะ
ความสามารถแท้จริงของมันแน่ หยางหลงมันมีคนคอยช่วยในทางลับ
อาจารย์หยางฉีเย่ว์ของท่านและพี่สาวข้า ต่างหากถึงได้รับแต้มเหล่านั้น
มาด้วยตนเอง” ฉินหยุนยิ้มกล่าว
“งั้นก็ไปกัน ทําลายคนของชื่อวี้ มาดูกันว่า ภายหน้ามันจะยังได้รับแต้ม
เสวียนอย่างรวดเร็วอีกหรือไม่!” เซี่ยวเย่ว์เหม่ยพยักหน้ารับก่อนนําฉินหยุ
นออกไปด้วยความ ตื่นเต้นยินดี
“เดี๋ยว ปกปิดตัวตนกันก่อน!” ฉินหยุนนํ้าหน้ากากของนักลอบ สังหารทั้ง
สองคนออกมาและมอบให้เชี่ยวเย่ว์เหม่ย หลังจากเชี่ยวเย่ว์เหม่ยสวมใส่
มันแล้ว นางหัวเราะออก
“เมื่อ พวกเราเข้าไปแล้ว ให้สังหารกายวรยุทธ์ระดับที่แปดซึ่ง แข็งแกร่ง
ที่สุดก่อนเป็นอันดับแรก หลังจากนั้นค่อยสังหารพวก ที่เหลือ” ท่ามกลางผู้
ฝึกตนระดับเจ็ด หากไม่ใช่ฉินเจิ้งเฟิงหรือชื่อวี้ พวก เขาล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้
ของนางทั้งสิ้น
กําลังภายในของนางแข็งแกร่ง ตอนนี้นางยังมีเคล็ดวิชาที่ เอาไว้ใช้โจมตี
ทางจิต และยังมีอุปกรณ์วิญญาณที่ดี แม้กระทั่ง กายวรยุทธ์ระดับที่เจ็ด
นางก็สามารถสังหารทิ้งได้แทบในทันที ทว่าฉินหยุนยังเป็นกังวล เขาส่ง
ยันต์สิบแผ่นให้นางไว้ ทันทีเมื่อเข้ามาในถํ้า กลุ่มคนข้างในล้วนผ่อนคลาย
กัน และเมื่อ เห็นบุคคลสวมใส่หน้ากากเช่นเดียวกับพวกตนเดินเข้ามา
พวก เขาจึงไม่คิดถามสิ่งใดให้มากความ เมื่อพวกเขาเข้ามาในถํ้าแล้ว
กลิ่นสุรารุนแรงฉุนเตะจมูก ตาม รายทางมีเหยือกไวน์แตกกระจายเต็มพื้น
ทุกหนแห่ง เรื่องนี้ทําเอาฉินหยุนยินดียิ่ง นักลอบสังหารภายในถํ้าแห่งนี้
ล้วนเมามายเพราะดื่มไปมาก กระนั้น เชี่ยวเย่ว์เหม่ยและฉินหยุนก็ยังคง
ตั้งระวังไว้ก่อน เชี่ยวเย่ว์เหม่ยนวิญญาณยุทธ์กระจกของนางออกมา
พยายามสัมผัสถึงตําแหน่งวิญญาณยุทธ์ทั้งหมดภายในถํ้า นาง สามารถ
พบกายวรยุทธ์ระดับที่แปดได้รวดเร็วโดยทันที
อีกทางหนึ่ง จิตวิญญาณต้นกําเนิดของฉินหยุนออกจากร่าง และเข้า
สํารวจด้านในถํ้า เขาพบว่านักลอบสังหารระดับแปด สองคนนั้น สมควร
รวดเร็วยิ่งกว่าเชี่ยวเย่ว์เหม่ย
“สังหารพวกมันโดยเร็วที่สุด!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยส่งเสียงทางจิต ให้ฉินหยุน
ขณะเดินผ่านเส้นทางในถํ้า พวกเขาได้เห็นนักลอบสังหารเมา มายหลาย
คนนอนกลิ้งกับพื้น พวกเขาเหล่านี้ล้วนดื่มจนเมาได้ สติ ไม่อาจทนทานได้
แม้การโจมตีเพียงครั้งเดียว ฉินหยุนและเชี่ยวเย่ว์เหม่ยเข้าถึงด้านในสุด
ของถํ้าซึ่งเป็นห้อง หิน ทันทีเมื่อนางเข้ามา เชี่ยวเย่ว์เหม่ยปลดปล่อยวิชา
รวมจิต วิญญาณสังหารพร้อมพลังจิตปริมาณมหาศาลเข้าโจมตี กล่าวได้
ว่านักลอบสังหารกายวรยุทธ์ระดับที่แปดแข็งแกร่งยิ่ง เมื่อพวกเขาเห็น
ผู้อื่นเข้ามา โดยทันที พวกเขาทราบว่าเรื่องนี้ ผิดปกติแล้ว
การเคลื่อนไหวของเชี่ยวเย่ว์เหม่ยรวดเร็ว ทันทีเมื่อนางเข้ามา นางจึงใช้
การโจมตีพลังจิตซึ่งแข็งแกร่งที่สุดออก เป็นผลให้นัก ลอบสังหารทั้งสอง
ปวดหัวรุนแรงจนไม่อาจควบคุมพลังภายในได้
ฉินหยุนพุ่งเข้าปะทะโบกมือเอากระบี่ยาวออก สับฟันเข้าที่หัว ของนักลอบ
สังหารทั้งสอง การกระทําครั้งนี้ให้ประสิทธิภาพดี เยี่ยม!
“เร็วมาก!” หลังเชี่ยวเย่ว์เหม่ยกล่าวคํานี้ นางเร่งร้อนพุ่งออก จากห้องหิน
ควบคุมดาบของนางบินไปมาเพื่อปลิดชีวิตนัก ลอบสังหารระดับที่เจ็ด
ภายนอกจนหมดสิ้น ฉินหยุนใช้พลังจิตควบคุมกระบี่ของตน ปลิดปลง
ศีรษะของนัก ลอบสังหารทั้งถํ้าอย่างรวดเร็ว ยิ่งเวลาผ่านไป เขายิ่งใช้พลัง
จิต โจมตีได้คล่องแคล่วมากขึ้น นักลอบสังหารหลายสิบคนที่เมามาย ไม่
ต่างอะไรกับไก่รอให้ฉัน หยุนและเชี่ยวเย่ว์เหม่ยเชือด
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยถอนหายใจบางเบาออกมาขณะยิ้มยะเยือก “ชื่อวี้วี่มาที่นี่
เมื่อครู่ มันเอาไวน์ทั้งหมดที่นี่ไป! สงสัยนักว่ามันไป ฉลองอะไรถึงคิดดื่ม
มากมายเพียงนั้น”
“ ข้าเห็นกล่องที่ห้องหินด้านในสุด น่าจะมีอะไรหลายอย่างอยู่ ข้างใน เข้า
ไปตรวจสอบกันดีกว่า!” ฉินหยุนกล่าว หลังจากพวกเขาเข้าไปในห้องหิน
พวกเขาจึงมุ่งตรงไปที่โต๊ะ ด้านในสุด หัวและร่างของผู้ฝึกตนกายวรยุทธ์
ระดับที่แปดซึ่ง ถูกตัดออก ยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวดังกล่าว ฉินหยุนเปิดกล่อง
และนําเอาแผ่นหนังสัตว์ผืนใหญ่ออกมา เขา กางมันออกจึงพบว่าเป็น
แผนที่ ขณะใช้นิ้วลูบที่บนแผนที่ เขากล่าว
“หมึกยังไม่แห้งดี เหมือน เพิ่งวาดเมื่อไม่นานมานี้ นี่มันแผนที่ของอะไร
กัน?” “เหมือนจะมีตัวอักษรด้านล่าง ให้ข้าดูหน่อย!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ย เบิก
ดวงตาออกกว้างขณะใบหน้าเผยความตื่นตะลึง พิจารณา จากเนื้อหา
ตัวอักษร ฉินหยุนพบว่าแผนที่นี้ถูกแจกจ่ายออกไป เพื่อเชื้อเชิญผู้อื่นเข้า
ไปยังแดนต้องห้ามเทียนซี่
“แดนต้องห้ามหรือ? หรือนี่จะเป็นสถานที่ซึ่งอสูรขัดเกลา วิญญาณถูกคุม
ขังเอาไว้?” ฉินหยุนเอ่ยแตกตื่น “เพราะอะไรชื่อวี้ ถึงเชื้อเชิญคนมากมาย
มา?” ตราบเท่าที่เป็นหนึ่งในสมาชิกราชวงศ์ของสามจักรวรรดิ พวก เขา
ย่อมต้องคุ้นหูกับชื่อวี้
“อสูรขัดเกลาวิญญาณ” อสูรขัดเกลาวิญญาณเป็นจอมปีศาจเมื่อหลายปี
ก่อน กล่าวได้ ว่ามันฝึกฝนวิชาปีศาจร้าย และใช้วิชาอันชั่วร้ายเหล่านั้น
ดูดกลืนดวงวิญญาณของผู้ฝึกตนอื่นจนสิ้น นอกจากนี้ มันยัง นําเอา
วิญญาณยุทธ์ของบุคคลเหล่านั้นไปหล่อเลี้ยงให้วิญญาณ ยุทธ์ของมัน
แข็งแกร่งขึ้น
นี่คือทั้งหมดที่ฉินหยุนกับเชี่ยวเย่ว์เหม่ยทราบ เชี่ยวเย่ว์เหม่ยหัวเราะเสียง
เป็น “ตามบันทึกประวัติศาสตร์ของ สามจักรวรรดิ อสูรขัดเกลาวิญญาณ
ไม่มีทางได้รับการให้อภัย โทษของมันคือตาย! แต่เป็นจักรวรรดิเทียนซี่ที่
ยินยอมให้มันใช้ ชีวิตมานานยิ่ง ชัดเจนว่าพวกเขาคิดบีบบังคับให้ปีศาจ
ร้ายตัว นั้นส่งมอบเคล็ดวิชาขัดเกลาวิญญาณ!”
ฉินหยุนขมวดคิ้วเอ่ยถาม “ข้าได้ยินอาจารย์หยางบอกว่า มียา เสพติดที่
พิเศษชนิดหนึ่งซึ่งสามารถทําให้เกิดภาพหลอน เมื่อ โดนอาการนั้นเล่น
งาน หากถามอะไรออกผู้คนก็ล้วนตอบ! อย่า บอกนะว่าชื่อวี้ เชี่ยวชาญยา
พวกนั้น? เขาน่าจะคิดว่าสามารถ ทําให้ตัวอสูรยอมบอกต่อและส่งมอบ
เคล็ดวิชาขัดเกลา วิญญาณ”
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยพยักหน้ารับ “ที่ชื่อวี้ ยินดีปานนั้น กระทั่งคิด ฉลองที่นี่ไป
แล้วครั้งหนึ่ง บางทีมันคงได้เม็ดยาดังกล่าว มาแล้ว” ฉินหยุนเอ่ยต่อ
“มีห้องหินอีกหลายห้องที่ถูกผนึกเอาไว้ น่าจะมี อะไรอยู่ข้างใน เปิดพวก
มันและตรวจสอบกันดีกว่า” หลังจากนั้น พวกเขาทั้งสองจึงเปิดห้องปิด
ผนึกที่เหลืออยู่ พวก เขาพบว่าภายในเย็นเยียบ มีสัตว์ปีศาจระดับที่หก
และเจ็ด จํานวนหนึ่งอยู่ภายใน สัตว์ปีศาจเหล่านี้ล้วนตายแล้ว ผิวหนัง
และกระดูกมีราคาแพง ยิ่ง ฉินหยุนย่อมยินดีรับพวกมันไว้
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยเดินออกจากถํ้าและกล่าวคํา “พี่ชาย ไปที่แดน ต้องห้าม
เทียนซี่กัน! ข้าไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะสร้างแดน ต้องห้ามเอาไว้ที่
เทือกเขาเมฆมังกรแห่งนี้”
ฉินหยุนคิดอยู่พักหนึ่งค่อยกล่าว “หากพวกเราไปยังแดน ต้องห้าม พวก
เราอาจเผชิญหน้ากับชื่อวี้ และคนที่มันเชื้อเชิญ มา!”
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยกล่าวตอบ “หากระวังย่อมไม่มีปัญหา พวกเรา เพียงแค่ไปดู
หากพวกมันสามารถได้รับวิชาขัดเกลาวิญญาณ จริง เช่นนั้นพวกเราจะนํา
เรื่องนี้ไปแพร่กระจายต่อ” ฉินหยุนพยักหน้ารับและเก็บแผนที่ดังกล่าวมา
เขาพิจารณา มองมัน จนพบว่ามีจุดสีแดงอยู่แห่งหนึ่ง มันอยู่บริเวณพื้นที่
ชายขอบของเทือกเขาเมฆมังกร
“เป็นเทือกเขาเมฆมังกรที่ใกล้เคียงกับจักรวรรดิเทียนขี่มาก อยู่ ทางทิศ
ตะวันตกเฉียงเหนือ ไม่แปลกใจเลยที่คิดสร้างแดน ต้องห้ามไว้ที่นี่ ที่ข้าไม่
แน่ใจคือบริเวณนั้นจะมีวิญญาณสัตว์ ร้ายมากมายหรือไม่” ฉินหยุนกล่าว
คําขณะพิจารณาแผนที่เชี่ยวเย่ว์เหม่ยคาดเดา “บางทีเพราะวิญญาณสัตว์
ร้ายทรงพลัง จํานวนมากอยู่ที่นั่น ชื่อวี้ จึงต้องเชิญคนจํานวนมากร่วมทาง
ไป ด้วย” ฉินหยุนกล่าว
“พวกเรามีประสบการณ์จัดการวิญญาณสัตว์ ร้ายไม่น้อย ไม่น่ามีอะไร
ต้องกังวล!” พวกเขาเดินทางผ่านราตรีกาลเพื่อมุ่งหน้าไปยังแดนต้องห้าม
ช่วงกลางดึก ท้องฟ้าเต็มไปด้วยหมู่เมฆ แสงดาวและแสงจันทร์ พร่าเลือน
ฉินหยุนและเชี่ยวเย่ว์เหม่ยบินด้วยระดับความสูงไม่มากนัก พวกเขากําลัง
มุ่งหน้าไปยังเขตแดนของจักรวรรดิเทียนซี่ ฉินหยุนตอนนี้บินด้วยอุปกรณ์
วิญญาณ แม้ความเร็วเชื่องช้าไป บ้าง แต่มันมีความมั่นคงและสามารถทํา
ให้สงบใจได้ ทั้งยังใช้ พลังไม่เยอะมากนัก เขาเอ่ยคํา
“เย่ว์เหม่ย เจ้าไม่ต้องกลับไปสถาบันยุทธ์เทียน เสวียนหรือ?”
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยเผยใบหน้าหมองหม่น นางแค่นเสียงตอบกลับมา “ข้าไม่คิด
กลับไป อยู่กับท่านข้ามีความสุขกว่า! ข้าเกลียดชัง สถาบันยุทธ์เทียน
เสวียน โชคดีนักที่ข้าไม่ได้ยอมรับเงื่อนไขใด ของพวกมัน ดังนั้นข้าจึง
สามารถจากไปได้อย่างที่ต้องการ”
เป็นเพราะนางเรียนรู้จากความผิดพลาดของเชี่ยวเย่ว์หลาน นางจึง
วางแผนคิดปลดแอกจากการควบคุมของจักรวรรดิเทียน เชี่ยว ตอนนี้นาง
เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เจ็ด กล่าวได้ว่านางมีพละกําลังใน
ระดับสูงแล้ว ฉินหยุนยิ้มกล่าว
“เหตุใดเจ้าไม่ออกจากสถาบันยุทธ์เทียน เสวียน และให้อาจารย์ตู้รับเป็น
ศิษย์กันเล่า! อาจารย์ผู้มีหน้ามี ตาในสถาบันยุทธ์ชิงเสวียน กระทั่งรอง
อธิการยังต้องไว้หน้า เขา”
“เช่นนั้นก็ดี ไว้กลับไปข้าจะปรึกษากับอาจารย์ตู้” เชี่ยวเย่ว์ เหม่ยพยักหน้า
รับรัวเร็ว
“ข้าเสียดายนักที่ไม่ได้เลือกสถาบัน ยุทธ์ชิงเสวียนแต่แรก เป็นป้าของข้าที่
เรียกข้าไปที่นั่น และก็ เป็นอาจารย์ของข้าจนถึงตอนนี้ อย่างน้อยก็ยังดีที่
นางดูแลข้า อย่างดี”
“ป้าของเจ้าต้องการขายเจ้าด้วยงั้นหรือ?” ฉินหยุนเอ่ยถาม
“แน่นอนว่าไม่.. แต่ว่า นางเป็นพวกหัวโบราณยิ่ง ตอนที่นาง ทราบว่าท่าน
และข้าอยู่ด้วยกัน นางถึงขั้นสอนบทเรียนมารยาท แก่ข้ายกใหญ่” เชี่ยว
เย่ว์เหม่ยหัวเราะ
“นางแค่อิจฉาข้าต่างหาก ได้เป็นเพราะ ข้าได้เล่นกับชายอื่น ตัวท่านป้านั้น
ก็ตกอยู่ภายใต้แรงกดดันเมื่อ ครั้งก่อนโน้น นับว่าโชคดีนักที่นางไม่ได้
แต่งงาน” ฉินหยุนยิ้มเอ่ยถาม
“ป้าของเจ้าชื่อวี้ เชี่ยวเสวียนฉิน? ได้ยินว่า นางครองตัวเป็นโสดมานานนัก
นางคงอัดอั้นเรื่องนี้มานานยิ่ง” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยหัวเราะคิกคัก
“อย่าได้พูดเช่นนี้ต่อหน้านาง ไม่เช่นนั้นนางได้สั่งสอนท่านสักบทเรียนแน่”
พวกเขาคุยกันไปและหัวเราะตลอดทาง ก่อนจะทันรู้ตัวก็รุ่งสาง แล้ว พวก
เขาตอนนี้ได้เห็นแม่นํ้าที่มีกระแสนํ้าเชี่ยวกรากอยู่ ไกลออกไป แสงตะวันสี
ทองคําสาดส่องแม่นํ้ายามเช้าถือว่า งดงามไม่น้อย ถัดจากแม่นํ้าแห่งนั้น
คือป่าหนาทึบ นี่คล้ายกับในแผนที่ แดน ต้องห้ามเทียนขี่สมควรซุกซ่อน
เอาไว้ในป่าหนาทึบ
“ลงพื้นกันดีกว่า!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยกล่าว ฉินหยุนพยุกหน้ารับ ทั้งสองลงไป
เดินเท้าผ่านป่า ทุกก้าวเดิน เปี่ยมไปด้วยความระแวดระวัง
“เหมือนไม่มีอะไรเลยนี่?” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยพึมพํา ฉินหยุนเอ่ยตอบ
“ตอนพวกเรามองจากด้านบน พวกเราไม่เห็น ทั้งเนินเขาและสิ่งปลูกสร้าง
ที่เห็นก็แค่ป่าใหญ่ ข้าเดาว่าน่าจะ เป็นสิ่งปลูกสร้างใต้ดิน” เชี่ยวเย่ว์เหม่ย
คิดอยู่พักหนึ่ง ก็ได้ข้อสรุปแบบเดียวกัน แต่ ขณะที่นางกําลังจะกล่าวชม
ฉินหยุน นางพลันรู้สึกได้ถึงการ เคลื่อนไหวโดยรอบ สีหน้าของนางต้อง
แปรเปลี่ยน
“พวกเราโดนเจอตัว!” ฉินหยุนสัมผัสได้ว่ามีหลายคนกําลังเข้า มาทางนี้
“หนี!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยเร่งรีบทะยานกายออก ฉินหยุนตามติดด้านหลังนาง
ขณะที่เขาทําการตรวจสอบ โดยรอบ เขาพบว่ามีกลุ่มคนกําลังไล่ล่าพวก
เขา ล้วนเป็น ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เจ็ด วิชาเคลื่อนไหวถือว่ายอด
เยี่ยม เพียงไม่นาน พวกเขาจึงได้เห็นบ้านหินหลังเล็กได้ถูกสร้าง เอาไว้
โดยมีแมกไม้สีเขียวปกปิด ที่ตรงนั้นมีกว่าสิบคนยืนล้อม บ้านหินดังกล่าว
รวมทั้งชื่อวี้ ก็อยู่ในคนกลุ่มนั้นด้วย!
ตอนที่ 168 แดนต้องห้ามเทียน
เมื่อเชียวเย่ว์เหม่ยเห็นกลุ่มคนตรงหน้า นางตะโกนร้อง “ท่านป้าก็อยู่ที่นี่!”
ท่ามกลางกลุ่มคนนับสิบตรงหน้า มีหญิงสาวผู้หนึ่งสวมใส่ชุดสี นํ้าเงิน
นางให้อารมณ์ดั่งชนชั้นสูง เสน่ห์อย่างเหนือลํ้า ใบหน้า รูปไข่งดงาม เปี่ยม
ไปด้วยความน่าเกรงขาม เมื่อดวงตางดงาม ของนางมองที่เชี่ยวเย่ว์เหม่ย
ก็พลันเผยอาการตื่นตกใจและ โกรธเกรี้ยว เชี่ยวเสวียนฉันทะยานกาย
ออก นําพามาซึ่งอากาศเย็นพัดเข้า ใส่ ใบหน้านี้เปี่ยมด้วยความเย็นเยือก
“เย่ว์เหม่ย เหตุใดเจ้ามา ที่นี่? แล้วชายคนนั้นคือ?”
“มันคือฉินหยุน!” ชายชราคนหนึ่งตะโกนขึ้น เป็นอาจารย์จาก สถาบันยุทธ์
เทียนเสวียน การปรากฏตัวของฉินหยุนทําเอาหลายคนเกิดความแตกตื่น
“เร็ว จับตัวฉินหยุนเอาไว้!” เด็กหนุ่มในชุดเกราะสีแดงฉาน ตะโกนขึ้น เด็ก
หนุ่มผู้นี้คือชื่อวี้ ใบหน้าเรียวและบางนั้นเผยความดํามืดอัน โหดเหี้ยม นี่
เป็นเพราะฉินหยุนคือผู้ทําลายอนาคตอันดีระหว่าง เขาและเชี่ยวเย่ว์เหม่ย
เมื่อเชียวเย่ว์เหม่ยเห็นดังนี้ นางเร่งร้อนหยุดและยืนต่อหน้าฉัน หยุน แขน
ของนางกางออกกว้าง
“เขาคือศิษย์ของสถาบันยุทธ์ ชิงเสวียน ชื่อวี้ หากข้าบอกต่อสถาบันยุทธ์
ชิงเสวียนต่อเรื่องนี้ เจ้าได้โดนไล่ออกแน่!” เชี่ยวเสวียนฉันเผยเสียงเย็น
“เย่ว์เหม่ย เหตุใดเจ้ายังอยู่กับเขา อีก? เดี๋ยวนะ... นี่เจ้ามีออร่าของวัชระ
กระดูก หมายความว่า ก้าวสู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เจ็ดแล้ว?”
เมื่อชื่อวี้ และผู้อื่นได้ยินดังนี้ สีหน้าพวกเขาล้วนแปรเปลี่ยน เชี่ยวเย่ว์เหม่ย
อายุสิบสี่ปี แต่อยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เจ็ด แล้ว!
“ใช่ ข้าเพิ่งก้าวขึ้นมาได้!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยเผยเสียงละมุน
“ท่านป้า ท่านห้ามโจมตีฉินหยุน ไม่เช่นนั้นข้าจะไม่สนใจท่าน อีก!”
“ข้าไม่ทําอะไรเขา แต่ข้าสามารถทําอะไรเจ้าได้ ใช่ไหม?” กล่าวคําจบ มือ
ขาวนั้นพลันโบกสะบัด แสงสีนํ้าเงินปรากฏและ ปกคลุมเชี่ยวเย่ว์เหม่ย
จากนั้น นางจึงชักมือกลับและดึงเข้าหา เชี่ยวเสวียนฉันอายุราวสามสิบ
เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตกายวร ยุทธ์ระดับที่เก้า นางไม่อ่อนด้อย ดังนั้นจึงเป็น
เรื่องง่ายสะกด ข่มเชี่ยวเย่ว์เหม่ย! ฉินหยุนตระหนักได้ว่าสถานการณ์
ผิดพลาดไปแล้ว เขาเร่งรีบ ขว้างยันต์อัคคีหลายแผ่นออก พวกมันระเบิด
เกิดเป็นเปลว เพลิงรุนแรง เขาเร่งรีบใช้โอกาสนี้ทะยานพุ่งไปด้านหน้า
กลุ่มคนตรงนี้ส่วนใหญ่คือกายวรยุทธ์ระดับที่เก้า พวกเขาล้วน ไม่หวาด
เกรงยันต์อัคคีของฉินหยุน เพียงขยับตัวก็กระจายได้ อย่างรวดเร็ว พวก
เขาตั้งวงล้อมขนาดใหญ่ โอบล้อมเป้าหมาย เอาไว้ ฉินหยุนที่มุ่งหน้าไป
ข้างอาคารสีเขียวพลันโดนล้อมเอาไว้ เสียงหยาบกร้านของชื่อวี้ดังขึ้น
“ฉินหยุน เหตุใดไม่อยู่ใน สถาบันยุทธ์ชิงเสวียนโดยสงบ? นี่เป็นเจ้านําชีวิต
ตัวเองมาทิ้ง โดยแท้! เชี่ยวหยางหลงเกลียดชังเจ้าเข้ากระดูก หากข้า
สังหาร เจ้า เขาคงยินดีไม่น้อย ฮ่าฮ่าฮ่า” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยระเบิดโทสะ นาง
ลิ้นขัดขืนและกล่าวด้วยนํ้าเสียง เปี่ยมด้วยความอาฆาต “
ชื่อวี้ หากเจ้ากล้าทําอะไรพี่ชายข้า ต่อให้ข้า เชี่ยวเย่ว์เหม่ยผู้นี้ต้องสละ
ชีวิตเล็กจ้อยของตนเอง ข้า ขอสาบานจะล่าล้างสังหารจักรวรรดิเทียนขี่
ของเจ้าจนกว่าจะ ไม่มีเลือดเหลือให้สาดกระเซ็น! หากเจ้าไม่เชื่อข้า จง
ลองดู!”
ชื่อวี้ หันมองเชี่ยวเย่ว์เหม่ยที่โดนแสงสีนํ้าเงินปกคลุม เขาอด ไม่ได้ที่
จะต้องกัดฟันและกําหมัดแน่น เชี่ยวเย่ว์เหม่ยศักยภาพสูงลํ้า อายุเพียงสิบ
สี่ก็ก้าวสู่กายวรยุทธ์ระดับที่เจ็ด ถือว่าน่า กลัวเสียยิ่งกว่าเชี่ยวเย่ว์หลาน
ทั้งสองล้วนเป็นผู้มากพรสวรรค์ พอที่จะก้าวสู่ขอบเขตวรยุทธ์เตตั้งแต่อายุ
ยังเยาว์ ในราชวงศ์เทียนที่มีผู้ฝึกตนวรยุทธ์แต่อยู่ไม่มาก หากพวกเขา ต้อง
โดนผู้ฝึกตนวรยุทธ์เต๋าเข้าล้างแค้น จักรวรรดิของเขาต้อง เสียหายอย่าง
หนัก
“ท่านป้า แท้จริงแล้วท่านกระทั่งมีสัมพันธ์กับสวะอย่างชื่อวี้ เป็นข้ามอง
ท่านผิดไปจริง! ข้าไม่คิดอยากเห็นหน้าท่านอีก!” เมื่อเชียวเย่ว์เหม่ยเห็นว่า
ฉินหยุนโดนปิดล้อม และคล้ายจะเกิด ปัญหาขึ้น นางอดไม่ได้ที่จะต้อง
ช่วยเหลือ ทั้งยังรู้สึกโกรธแค้น ยิ่ง
เชี่ยวเสวียนฉันไม่คิดว่า นางจะมีความรู้สึกจริงใจให้แก่ฉินหยุน เพียงนี้
ตั้งแต่ได้เห็นเชี่ยวเย่ว์เหม่ยเติบโตมา แต่แล้วขณะที่เชี่ยวเสวียนฉินจะเข้า
ช่วยเหลือฉินหยุนนั้นเอง ผู้ อาวุโสจากสถาบันยุทธ์เทียนเสวียนจึงเข้า
ปะทะใส่ฉินหยุน!
ตู้ม!
ฉินหยุนโดนฝ่ามือกระแทกจากกายวรยุทธ์ระดับที่เก้า ร่างนั้น ลอยลิ่วไป
ตามแรง ปะทะเข้ากับประตูหินของบ้านหินสีเขียว หลังนั้น ชั่วขณะที่ร่าง
ปะทะกับประตูหินจนเข้าไปด้านใน ประตู จึงปิดลงโดยทันที หลังชายชรา
ลงมือเสร็จสิ้น เขาจึงหัวเราะออกเสียงดัง
“ตาเฒ่าสารเลว นี่เจ้า... ทําอะไรลงไป!?” เซี่ยวเย่ว์เหม่ย คําราม
“เด็กน้อยจงระวังปาก!” เมื่อชายชราถูกด่าต่อหน้าเช่นนี้ เขา พลันโกรธขึ้ง
ขณะตะคอกกลับเสียงเย็นเยือก
“ตาเฒ่าสารเลว ตาเฒ่าชั่วช้า ตาเฒ่าต่ําทราม ตระกูลของเจ้า ล้วนไร้ค่า
ยิ่งกว่าเดรัจฉาน...” ความโกรธแค้นของเซี่ยวเย่ว์เหม่ย เป็นผลให้นางเริ่ม
ก่นด่า ออกมา ทําเอาผู้คนโดยรอบต้องแข็งที่อ
นี่เป็นเพราะในสายตาพวกเขา เชี่ยวเย่ว์เหม่ยเป็นเด็กสาวสงบ เย็นเยือก
มาโดยตลอด แต่แล้วคราครั้งนี้ นางกลับกล่าวคํา หยาบคายจํานวนมาก
ออกมา แน่นอน เชี่ยวเสวียนฉินทราบนิสัยแท้จริงของเชี่ยวเย่ว์เหม่ย เมื่อ
นางสบที่ดวงตาคู่นั้น นางจึงทราบว่าตอนนี้เชียวเย่ว์เหม่ย เกลียดชังอย่าง
แท้จริงแล้ว
“มันโดนขังไว้ในแดนต้องห้ามเทียนขี่ของเรา ยกเว้นพระบิดา ข้า ไม่มีผู้ใด
จะปล่อยมันออกมาได้” ชื่อวี้ แค่นเสียง
“หากเจ้า ต้องการช่วยเหลือมัน เช่นนั้นก็ไปอ้อนวอนต่อพระบิดาข้า!”
“ไอ้แก่เดรัจฉาน พี่ชายข้าไม่เคยมีเรื่องขัดแย้งต่อเจ้า เหตุใด เจ้าต้องส่งเขา
เข้าแดนต้องห้าม? ข้ารู้นามของเจ้า ล้างคอรอไว้ เถอะ ถ้าข้าไม่คิดล้าง
แค้นต่อเรื่องนี้สักสิบเท่า ข้า เชี่ยวเย่ว์ เหม่ยผู้นี้ขอสาบานว่า หากไม่อาจ
กระทําได้ข้ายินดียอมให้ อสนีบาตฟาดฟันข้าจนถึงแก่ความตาย กระทั่ง
โดนลูกธนูนับ หมื่นทิ่มแทงหัวใจ พวกเจ้าจงรอข้าก่อนเถอะ!”
ดวงตางดงามของเชี่ยวเย่ว์เหม่ยกลับกลายเป็นสีแดงฉาน ทั้ง ร่างของนาง
เปี่ยมด้วยออร่าแห่งความโกรธแค้น เชี่ยวเสวียน ฉินที่อยู่ด้านหลังนางยัง
อดไม่ได้ที่จะหวั่นใจ
“เชี่ยวเสวียนฉิน คนลวงหลอก ข้าไม่คิดอยากเห็นหน้าท่านอีก ต่อไป!”
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยเผยเสียงเย็นเยือก ดวงตาเปี่ยมด้วย ความเหี้ยมโหด ความ
เป็นปฏิปักษ์อัดแน่นสุมอยู่ สายตานี้ มัน ยิ่งกว่าพี่สาวของนางเสียด้วยซํ้า
“เย่ว์เหม่ย.... สงบสติอารมณ์ก่อน!” เชี่ยวเสวียนฉินตะโกน
“หุบปาก!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยตะคอกกลับ เสียงของนางแทบแหบ แห้ง ทั้งร่าง
ปลดปล่อยพลังจิตแรงกล้าออกมา เป็นผลให้ทุก ผู้คนเกิดอาการมึนงง
หลังเชี่ยวเย่ว์เหม่ยเป็นอิสระจากเชี่ยวเสวียนฉิน ทุกผู้คนที่นี้ ต่างแตกตื่น
เร่งรีบตั้งป้องกันโดยทันที นางทราบดีว่าตนไม่อาจจัดการคนกลุ่มนี้ ดังนั้น
นางจึงเร่งร้อน หนีหายด้วยดาบบิน
เชี่ยวเสวียนฉินจ้องมองชายชรากล่าวเสียงเย็นเยือก “เป็นเจ้า สร้าง
ปัญหา! กระทําการทุ่มบ่ามส่งฉินหยุนเข้าแดนต้องห้าม นี่ เป็นปัญหาที่
เจ้าก่อ!”
ชายชราคะตอกกลับโกรธเคือง “ใครจะรู้ว่าเด็กนั่นจะปกป้อง ฉินหยุนเพียง
นี้!? ไม่ใช่ว่าผู้คนมากมายจะยินดีหรอกหรือที่พวก เราจัดการฉินหยุนได้?”
ชื่อวี้ กล่าว
“ข้าคิดอยากกําจัดฉินหยุน แต่ข้าจะไม่ทํามันต่อ หน้าเชี่ยวเย่ว์เหม่ย
ไม่เช่นนั้น ท่านต้องสังหารเชี่ยวเย่ว์เหม่ย ด้วยเพื่อไม่ให้นางแสวงหาการ
ล้างแค้น!”
เมื่อครู่ เขาคิดอยากเคลื่อนไหว แต่พอได้ยินคํากล่าวของเชี่ยว เย่ว์เหม่ยที่
เปี่ยมด้วยจิตสังหาร เขาจึงหยุด เชี่ยวเสวียนฉินถอนหายใจ
“พวกท่านล้วนได้เห็นแล้วว่าเย่ว์ เหม่ยปฏิบัติต่อข้าเช่นไรใช่หรือไม่? ตั้งแต่
นางยังเยาว์ นาง มักจะฟังข้าด้วยดีเสมอมา แต่ครั้งนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว
ข้าคง ต้องรีบนํานางกลับสู่จักวรรดิเทียนเซี่ยวเพื่อที่จะให้ผู้อื่นได้ช่วย ดูแล
นางแทนข้าแล้ว”
นางกล่าวจบก็ทะยานขึ้นสู่อากาศไล่ตามเชี่ยวเย่ว์เหม่ยไป ชายชรา
หัวเราะเสียงเย็น
“จะมีอะไรให้กลัว? นางก็แค่เด็กน้อย ผู้หนึ่งหรือไม่ใช่? หากนางไม่กลับ
สถาบันยุทธ์เทียนเสวียนและ จักรวรรดิเทียนเชี่ยว นางจะคิดไปที่ใดได้?
หากนางคิดอยาก แข็งแกร่งกว่านี้ ก็มีเพียงสองสถานที่ให้นางเลือกไป!”
“ข้าโดนนางเกลียดถึงที่สุดแล้ว ทั้งหมดเป็นเพราะฉินหยุน!” ชี้อวี้กล่าวคํา
โกรธแค้น เขาหันมองไปยังบ้านหินสีเขียว
“พวก เรามาที่นี่เพื่อคิดนําเคล็ดวิชาขัดเกลาวิญญาณออกมา แต่ ตอนนี้
พวกเรากลับส่งฉินหยุนเข้าไป เมื่อมีคนเข้าไปด้านใน อสูรร้ายผู้นั้นคงไม่มี
วันร่วมมือกับพวกเราอีก!” ชายวัยกลางคนกล่าว
“กล่าวก็คือ เรื่องนี้ไม่แย่นัก ฉินหยุนจะ ไม่มีวันได้ออกมาอีกครั้ง ตัวตน
ของมันสร้างปัญหาให้พวกเรา มากพอแล้ว กระทั่งว่าพลังธาตุของมันถูก
ทําลาย ผังวิญญาณ ที่มันครอบครองยังมีความสําคัญยิ่งยวดต่อตําหนัก
จารึกเทวะ ในภายหน้า มันจะกลายเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้หากพึ่งพา
ตําหนักจารึกเทวะ”
“อสูรขัดเกลาวิญญาณติดอยู่ภายในนั้นมากว่าสองร้อยปี โดน เคี่ยวกรํา
ด้วยความโดดเดี่ยว ในตอนแรก พวกเราคิดส่งคนเข้า ไปบรรเทาความโดด
เดี่ยวของอสูรผู้นั้นเผื่อว่าจะได้รับวิชาขัด เกลาวิญญาณ แต่แล้วแผนครั้งนี้
กลับล้มเหลว!”
“ไปกันเถอะ ไว้ฉินหยุนตายแล้วพวกเราค่อยมากันใหม่”
“ฉินหยุนไม่น่ามีชีวิตนานนัก อสูรร้ายผู้นั้นคงกินทั้งยังมีชีวิต ด้วยซํ้า” ทุก
คนจากไป ทว่าความคิดของชื่อวี้ยังหนักอึ้ง เมื่อครู่ เขารู้สึก ได้ถึงความ
เกลียดชังที่ล้นทะลักของเซี่ยวเย่ว์เหม่ย มันเป็น ความเกลียดชังที่ลึกลํ้าดั่ง
ทะเลเลือด มันทําเอาเขาไม่อาจลืม เลือนได้ ที่ทางเข้าของตําหนัก
ตะวันออกของตําหนักดวงดาววิญญาณสี คราม เชี่ยวหยางหลงกําลังเดิน
ไปมาด้วยท่วงท่ามือไพร่หลัง ราวกับกําลังรอใครบางคนอยู่ ไม่นานนัก
เชี่ยวเย่ว์หลานและหยางฉีเย่ว์ผู้สวมใส่ชุดสีนํ้าเงิน จึงเดินออกมาด้วยสี
หน้าเย็นเยือก เมื่อทั้งสองมองเชี่ยวหยางหลง ดวงตานั้นเปี่ยมด้วยความ
เดียดฉันท์ พวกนางเกลียดเขา อย่างรุนแรงยิ่ง ในสายตาของเซี่ยวหยาง
หลง ทั้งสองเกลียดชังเขาเปี่ยมล้นใน หัวใจ หากไม่ใช่เพราะพรสวรรค์
ของหยางฉีเย่ว์ เขาคงฝืน บังคับจัดการแต่งงานอย่างยิ่งใหญ่ไปแล้ว
ตอนนี้เขาได้เพียงแต่ อดทน
“มีอะไร?” เชี่ยวเย่ว์หลานเผยเสียงเย็นเอ่ยถาม เชี่ยวหยางหลงเผยสีหน้า
เย็นเยือก
“เชี่ยวเย่ว์เหม่ยหายตัวไป นอกจากท่านป้า เจ้าคือผู้เดียวที่มีความสัมพันธ์
อันดีด้วย ตอนนี้นางมีข้อเบาะแว้งกับท่านป้า ครั้งนี้เรื่องราวรุนแรงนัก ไม่
เหมือนก่อนหน้าที่นางเพียงมีอารมณ์โกรธเคืองเล็กน้อย”
“เป็นเจ้าฉกชิงอุปกรณ์วิญญาณของนาง ดังนั้นข้าควรทวงหนี้ แค้นครั้งนั้น
กับเจ้าด้วยซํ้า!” เจตนาฆ่าฟันรุนแรงทะลักออก เป็นผลให้เชี่ยวหยางหลง
ต้องลืมตัวก้าวเท้าถอย
“เย่ว์เหม่ยกระทําเสื่อมเสียต่อจักรวรรดิเทียนเชี่ยวเราเพราะอยู่ ร่วมกับฉิน
หยุน นั่นนับเป็นการลงโทษนาง!” เชี่ยวหยางหลงเผยเสียงยะเยือก เขาเอง
ก็ปลดปล่อยออร่าที่รุนแรงออกมา อย่างไรแล้วเขาก็คือผู้ฝึกตนขอบเขตวร
ยุทธ์เต๋า “เช่นนั้นก็ไปหานางด้วยตัวเจ้าเอง!” หลังเชี่ยวเย่ว์หลานกล่าว คํา
จบ นางจึงหันกลับและจากไป
“ฉินหยุนโดนส่งเข้าแดนต้องห้ามเทียนขี่ด้วยมือของอาจารย์ สถาบันยุทธ์
เทียนเสวียน นี่คือต้นเรื่องที่ทําให้เย่ว์เหม่ยโกรธ แค้น เจ้าไม่ห่วงว่านางจะ
ทําอะไรบ่มบ่ามหรือไร?”
คําพูดของ เชี่ยวหยางหลง ทําให้ดวงตาของหยางฉีเย่ว์หวั่นไหว เชี่ยวเย่ว์
หลานจ้องมองเฉยชา นางแค่นเสียง
“น่าสนุกนี้ อย่าได้คิดว่าเย่ว์เหม่ยเป็นเด็กสาวรังแกได้ง่าย หากนางเอาจริง
กระทั่งข้าก็ไม่ขอยุ่งเกี่ยว!” หยางฉีเย่ว์ถอนหายใจเบา
“ฉินหยุนตกไปในสถานที่เช่นนั้น เหตุใดคนพวกนั้นถึงตามราวีไม่เลิก?”
นางตามหลังเชี่ยวเย่ว์หลานกลับเข้าไป ขณะนางเดินกลับเข้า ตําหนัก
ตะวันออก ภายในใจนั้นหนักอึ้ง!
“ฉินหยุน ก็ถือเป็นเรื่องดีที่มันถูกส่งเข้าแดนต้องห้ามเทียน ไม่เช่นนั้นข้า
จะทําให้มันรู้สึกทุกข์ทรมานต่อโชคชะตา ที่ เลวร้ายเสียยิ่งกว่าความตาย
ด้วยตัวข้าเอง!” เชี่ยวหยางหลงกํา หมัดแน่น เลือดแทบไหลหลั่งออกจาก
หัวใจของเขาที่เปี่ยมด้วย ความเกลียดชัง เชี่ยวเย่ว์เหม่ยก้าวสู่ขอบเขต
กายวรยุทธ์ระดับที่เจ็ด ด้วยพรสวรรค์ระดับนี้ มันเพียงพอแล้วที่จะทําให้
จักรวรรดิเทียน เชี่ยวให้ความสําคัญแก่นาง
แต่ตอนนี้นางกลับหายตัวไป ทั่วทั้ง จักรวรรดิเทียนเซี่ยวแตกตื่น หากเขา
กล่าวโทษนาง เชี่ยวหยางหลงก็มีส่วนต้องรับผิดชอบ ต่อเรื่องราวที่ฉกชิง
สร้อยข้อมือของเชี่ยวเย่ว์เหม่ย เป็นเขาที่บ่ม เพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความ
เกลียดชังในหัวใจนางมานานยิ่งแล้ว และแน่นอน ที่ควรต้องลําบากใจ
ที่สุดคือเชี่ยวเสวียนฉิน นางก็ เหมือนอย่างเชี่ยวเย่ว์หลาน นางรู้ถึงตัวตน
ของเด็กสาวเป็น อย่างดี นางเปรียบดั่งแม่มดน้อยที่เกิดมาพร้อมพรสวรรค์
มากล้น คราครั้งนี้ นางอาจปิดกั้นหัวใจตนเองดั่งเหล็กกล้า นางจะ ไม่สน
อีกว่าเรื่องราวที่นางก่อจะส่งผลกระทบกับผู้ใด
ส่วนที่ชวนกังวลที่สุดก็คือ พละกําลังของนางไม่อ่อนด้อย พลัง จิตของนาง
แข็งแกร่งยิ่ง ทั้งยังฝึกฝนวิชาเทวะควบคุมและรวม จิตวิญญาณสังหาร ทั้ง
สองล้วนเป็นการโจมตีทางพลังจิตที่ทรง พลังรุนแรงยิ่ง
ตอนที่ 169 เคลื่อนย้ายวิญญาณ
ข่าวคราวที่ฉินหยุนถูกส่งเข้าแดนต้องห้ามเทียนชี้แพร่กระจาย อย่าง
รวดเร็ว ตู้ก๋วยรู้สึกแย่ยิ่ง เขาแทบไม่เชื่อว่า ศิษย์ที่มีพรสวรรค์ยอด เยี่ยมผู้
นั้นจะถูกส่งไปยังแดนต้องห้าม เซี่ยเฟิง ฮั่วจง และมู่หรง พวกเขาล้วนมา
พบตู้ก่วย พวกเขา คิดอยากช่วยเหลือฉินหยุน ตู้ก๋วยคิดสนับสนุน ทว่า
พวกเขาไม่ มีพละกําลังถึงเพียงนั้น พวกเขาทําได้เพียงแต่กลับไปและ
ฝึกฝน กระทั่งว่ามีผู้ฝึกตนขอบเขตวรยุทธ์เต๋า มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะ มั่นใจได้
ว่าจะสามารถช่วยเหลืออีกฝ่ายจากแดนต้องห้าม
แดนต้องห้ามเทียนชี้ตั้งอยู่ในป่าลึก ทางเข้าของมันเป็นบ้านหิน สีเขียว
หลังหนึ่ง หลังจากฉินหยุนกระแทกกับประตูจนหลุดเข้ามาด้านในบ้าน
ด้านล่างนั้นกลับเป็นเส้นทางแนวดิ่งทอดยาวลงลึกไปกว่าหนึ่ง พันเมตร
เขาได้รับบาดเจ็บรุนแรงเพราะผู้อาวุโสจากสถาบันยุทธ์เทียน เสวียน
ดังนั้นเขาจึงไม่อาจโคจรพลังภายในได้ สติตอนนี้ก็เลือน ราง เขาทําได้
เพียงปล่อยให้ร่างกายร่วงหล่นไป เขากระทั่งเชื่อว่า ที่ปลายทางตนคงมี
สภาพน่าสังเวชยิ่ง แต่แล้ว หลังร่วงหล่นลงมา เขาปะทะเข้ากับวัตถุนุ่มนิ่ม
แต่ก็ยัง ต้องหมดสติไปเพราะแรงปะทะ หลังผ่านไปหลายวัน ฉินหยุนค่อย
ลืมตาตื่นขึ้น เขาได้เห็นแสง สว่างเจือจางสีขาวบนกําแพง เขาเร่งรีบลุกขึ้น
นั่งสํารวจมอง โดยรอบ เขาตอนนี้อยู่ในห้องหิน มีเพียงแสงสลัวผ่านไข่มุก
ที่ประดับ เอาไว้บนผนังช่วยส่องผ่านความมืด
“จําได้ว่า เราโดนผลักกระเด็นเข้ามาในบ้านหินสีเขียว! อย่า บอกนะว่า นี่
เราอยู่ในแดนต้องห้ามเทียนชื่?” ฉินหยุนนึกย้อน ก่อนตื่นตระหนก
“เด็กน้อย เจ้าอยู่ในแดนต้องห้ามเทียนขี่จริง!” เสียงอ่อนโยนของผู้หญิงดัง
ขึ้น ทว่า บุคคลที่เดินเข้ามานี้คือ หญิงชรา ศีรษะเต็มไปด้วยเส้นผมสีขาว
ดอกเลา นางใช้ไม้เท้า หัวมังกรทองคําค้ํายันเดินเข้ามา หญิงชราผู้นี้มีรอย
เหี่ยวย่นที่ใบหน้าไม่น้อย นางยิ้มอบอุ่นขณะ เดินมาถึงข้างเตียงและนั่งลง
ผู้คนล้วนทราบว่าอสูรขัดเกลาวิญญาณถูกคุมขังเอาไว้ในแดน ต้องห้าม
เทียนชี่ ฉินหยุนทราบเรื่องนี้กระจ่างชัดตั้งแต่ยังเยาว์ แต่แล้ว เขาไม่เคยคิด
เลย ว่าอสูรขัดเกลาวิญญาณในตํานานจะ เป็นหญิงชรา!
“อะ.... คุณยาย เหตุใดท่านอยู่ที่นี่?” ฉินหยุนยากจะเชื่อว่า หญิง ชรา
ตรงหน้าคืออสูรร้ายที่โด่งดังผู้นั้น
“เป็นข้าทําผิดจึงถูกขังเอาไว้ที่นี่ แล้วเจ้าเล่า?” หญิงชรา หัวเราะ รอยยิ้ม
ของนางทําให้ฉินหยุนรู้สึกไม่สบายใจยิ่ง
“ข้ามีปัญหากับคนกลุ่มหนึ่งและถูกส่งมาที่นี่” ฉินหยุนเร่งรีบ พยายาม
สัมผัสถึงวิญญาณยุทธ์ทั้งสองในแขนซ้าย เมื่อเขา พบว่าพวกมันยังอยู่ จึง
อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจโล่งอก เขายังประหลาดใจ บาดแผลตามร่างกาย
ล้วนหายดีแล้ว ก่อน หน้านี้เขาได้รับบาดเจ็บหนักเพราะผู้ฝึกตนขอบเขต
กายวรยุทธ์ ระดับที่เก้า ด้วยสภาพที่เขาไม่อาจโคจรพลังตนเองเพื่อรักษา
อาการบาดเจ็บ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะฟื้นฟูได้รวดเร็วขนาดนี้ หญิงชรา
หัวเราะ
“อาการบาดเจ็บของเจ้าเป็นข้ารักษาให้! วิญญาณยุทธ์ของเจ้าน่าสนใจ
นัก แต่เจ้าเองก็พบปัญหาใหญ่ เข้าให้แล้ว”
“คุณยาย ท่านคืออสูรในตํานานผู้นั้น?” ฉินหยุนรวมความกล้า เอ่ยถาม
เมื่อเห็นว่าหญิงชราไม่มีท่าที่คุกคาม หญิงชราถอนหายใจ
“ใช่ ใช่ เป็นข้าเองที่ถูกเรียกขานอสูร ขัดเกลาวิญญาณ ข้าช่วยเหลือผู้คน
มากมายของจักรวรรดิ เทียนชี้เพื่อให้ได้รับวิญญาณยุทธ์ทรงพลัง แต่กลับ
เป็นพวกเขา อกตัญญต่อข้า บีบบังคับให้ข้าต้องส่งมอบเคล็ดวิชาขัดเกลา
วิญญาณหลังจากที่สามีของข้าจากไป! ข้าไม่ยินยอม จึงถูก กักขังเอาไว้
ที่นี่”
ฉินหยุนเข้าใจดีถึงความโหดเหี้ยมแห่งจักรวรรดิ ดังนั้น เขาจึง เชื่อว่า คํา
กล่าวของหญิงชราผู้นี้สมควรเป็นจริงแล้ว
“คุณยาย ผู้น้อยนามว่าฉินหยุน เป็นองค์ชายแห่งจักรวรรดิ เทียนฉิน เดิม
ข้าเป็นองค์ชายรัชทายาท แต่ข้าถูกทําร้าย จัด ฉากวางแผนโดยข้าราช
บริพาร ตําแหน่งรัชทายาทของข้าถูก เพิกถอน เส้นวิญญาณสี่ตะวันถูกนํา
ออก ถึงกระนั้นแล้วพวก มันก็ยังคงเพ่งเล็งข้า พวกมันคิดทําลายข้าให้สิ้น
ซาก” ฉินหยุนถอนหายใจ
“ภายนอกข้ามีศัตรูมากมายนัก ที่นี่เหมือนจะเป็นที่ ปลอดภัยไม่น้อย”
หลังหญิงชราได้ยินดังนี้ นางขมวดคิ้วและกล่าวโกรธแค้นแทน
“พวกสารเลวเหล่านั้นช่างชั่วช้า กระทั่งนําเส้นวิญญาณผู้อื่น ออกจากร่าง
... ตอนนั้นเจ้าอายุเท่าใด?”
“สิบปี!” ฉินหยุนยิ้มข่มขื่มกล่าวตอบ
“แต่ก็เป็นเพียงแค่อดีต ขอรับ ข้าตอนนี้ไม่ได้เลวร้ายเพียงนั้น ตอนนี้อยู่
ขอบเขตกายวร ยุทธ์ระดับที่หกแล้ว”
“เจ้าต้องจดจําบุคคลที่พรากเส้นวิญญาณไปจากเจ้า ภายหลัง เจ้าต้องฆ่า
พวกมันไปทีละคนทีละคน อย่าได้ปล่อยวายร้าย เหล่านั้นมีชีวิตรอด”
สีหน้าของหญิงชราแกร่งดั่งเหล็กกล้า ทั้ง โหดเหี้ยม และเย็นเยือก ชัดเจน
ว่านางเกลียดชังและโกรธแค้น ต่อเรื่องราวทํานองนี้ยิ่ง ฉินหยุนเอ่ยถาม
“คุณยาย ข้าได้ยินว่าท่านพรากเอาวิญญาณ ยุทธ์ผู้อื่น เรื่องนี้เป็นจริง
หรือ?”
หญิงชราส่ายศีรษะ “สิ่งที่ข้าพรากออกมาคือวิญญาณยุทธ์ไร้ เจ้าของหรือ
วิญญาณยุทธ์สัตว์ ข้าไม่เคยนําวิญญาณยุทธ์จาก ผู้คนออกมา แน่นอนว่า
หากข้าเผชิญหน้ากับบุคคลชั่วร้ายที่ทํา ร้ายข้า ข้าก็ไม่ปราณีพวกมัน
เช่นกัน”
“ข้าคือหนึ่งในสี่นางสนมเอกแห่งจักรวรรดิเทียน ในกลุ่มนาง สนม ข้าถือ
ว่าใหญ่ที่สุดรองจากจักรพรรดินี หลังองค์จักรพรรดิ สิ้นพระชน
จักรพรรดินีเป็นกังวลว่าข้าจะสู้เพื่อคิดชิงบัลลังก์ ไม่เพียงแต่นางสังหาร
บุตรชายทั้งสองของข้า นางยังบีบบังคับ ให้ข้าส่งมอบวิชาขัดเกลา
วิญญาณ ช่างเป็นกลุ่มคนเขลา หาก พวกมันไม่สังหารบุตรชายข้า ข้าก็คง
ให้ความร่วมมือด้วยไป แล้ว” ฉินหยุนก้มศีรษะลงนึกย้อนถึงเรื่องราวที่
บันทึกเอาไว้ เขากล่าว กระซิบ
“มีย่อหน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์แห่งเทียนซี่ หนึ่งในสี่ นางสนมเอก เฉียว
รุ่ยเหวิ่นถูกจับประหารเพราะสมคบคิดกับ บุตรชายคิดชิงบัลลังก์”
ไม่มีผู้ใดทราบว่าอสูรขัดเกลาวิญญาณและนางสนมเอกจะเป็น คน
เดียวกันเช่นนี้
“ในครั้งนั้น มีผู้คนเพียงน้อยนิดที่ทราบว่าข้ารู้วิชาที่ใช้ขัดเกลา วิญญาณ
ยุทธ์ พวกมันเป็นกังวลว่าข้าจะใช้วิชาขัดเกลา วิญญาณเพื่อเอาชนะใจ
ผู้คน ดังนั้น พวกมันจึงคิดเคลื่อนไหว กวาดล้างตระกูลข้า พวกมันกลับ
กลายวิชาขัดเกลาวิญญาณ เป็นวิชาของปีศาจที่ไม่อาจได้รับการยอมรับ
เป็นผลให้ไม่มีผู้ใด คิดตามหาข้าเพื่อเรียนรู้วิชาดังกล่าว”
เฉียวรุ่ยเหวิ่นแค่นเสียง ฉินหยุนกล่าวด้วยความประหลาดใจไม่น้อย
“ท่านยายเฉียว ท่านถูกคุมขังที่นี่มากว่าสองร้อยปี และท่านยังชราภาพ
เพียงนี้ หมายความว่าจักรพรรดินีเมื่อครั้งนั้นสมควรตายไปแล้วไม่ใช่
หรือ?” เฉียวรุ่ยเหวิ่นหัวเราะ
“แน่นอน ข้าใช้วิชาขัดเกลาวิญญาณ เพื่อยังคงสภาพดวงวิญญาณ
เอาไว้! ตราบเท่าที่วิญญาณยุทธ์ ไม่สิ้นอายุขัย ข้าก็ยังสามารถอยู่ได้ตราบ
นานเท่านาน!”
หลังจากนั้น ฉินหยุนได้บอกเล่าต่อเฉียวรุ่ยเหวิ่นถึงทุกสิ่งอย่าง ที่เกิด
ขึ้นกับตนเอง มันทําให้นางรู้สึกว่าเรื่องราวนี้คล้ายกับ ตนเองนัก เป็นผลให้
นางยิ่งเกลียดชังผู้ที่มีสถานะจักรพรรดินียิ่ง เฉียวรุ่ยเหวิ่นกล่าว
“เสี่ยวหยุน วิญญาณยุทธ์ในร่างของเจ้า พิเศษนัก ด้วยตัวเจ้าเองก็น่าจะรู้”
“เป็นเพราะตอนนั้นสถานการณ์อันตราย ข้าจึงย้ายพวกมันไป ที่แขน แต่
กลับไม่อาจย้ายกลับคืนที่เดิม” ฉินหยุนรู้สึกยุ่งยากใจ
“ข้าเป็นกังวลอยู่ว่ามันจะส่งผลกระทบอะไรในภายหน้า หรือไม่!” เฉียวรุ่ย
เหวิ่นรีบกล่าว
“แน่นอนว่าจะส่งผลกระทบ หาก วิญญาณยุทธ์ทั้งหมดของเจ้าไปอยู่ที่
แขน จะเกิดอะไรขึ้นหาก ในภายหน้ามันถูกตัดออก? เจ้ารับประกันได้หรือ
ว่าแขนของเจ้า จะอยู่กับตัวตลอดไป?” ใบหน้าของฉินหยุนพลันเต็มไป
ด้วยความกังวลขณะเอ่ยถาม
“ท่านยายเฉียว ท่านพอจะช่วยข้าย้ายวิญญาณยุทธ์และพลัง ธาตุกลับคืน
สู่ตันเถียนได้หรือไม่ขอรับ?”
“เหตุใดจึงย้ายกลับไปตันเถียน? ข้าคิดย้ายวิญญาณยุทธ์สั่น ไหวและพลัง
ธาตุสั่นไหวของเจ้าไปยังหัวใจ! ที่แขนซ้ายให้เหลือ ไว้เพียงวิญญาณยุทธ์
ไฟที่ยังหลับใหลอยู่ก็พอ!”
“เหตุใดจึงย้ายกลับไปตันเถียน?” ฉินหยุนถึงกับสับสนเพราะ คําพูดนี้ แต่
แล้ว เขาพลันลอบตื่นเต้นกับสิ่งที่ได้ยิน มันจะเป็น เรื่องดียิ่งหากวิญญาณ
ยุทธ์สั่นไหวของเขาสามารถไปยังหัวใจ หัวใจคือจุดตาย ด้วยการปกป้อง
จากพลังธาตุสั่นไหว มันจะไม่ มีทางบาดเจ็บได้โดยง่าย เฉียวรุ่ยเหวิ่น
หัวเราะ
“หากเจ้าไม่ต้องการย้ายพวกมันกลับ ตันเถียน กรณีนั้นเจ้าจะสามารถ
เก็บมันเอาไว้เพื่อวิญญาณยุทธ์ ที่สามให้อยู่อาศัย! นั่นนับเป็นสถานที่ที่ดี
ซึ่งเหมาะสมกับการ เก็บวิญญาณยุทธ์ที่สาม”
“เรื่องนี้เป็นไปได้หรือขอรับ?” ฉินหยุนตื่นเต้น
“นอนลงและให้ความร่วมมือกับคุณยายผู้นี้ ระหว่าง กระบวนการ เจ้า
จําเป็นต้องใช้สติของตัวเองเพื่อควบคุม วิญญาณยุทธ์” เฉียวรุ่ยเหวิ่น
กล่าว
หลังจากฉินหยุนนอนลง เฉียวรุ่ยเหวิ่นจึงนํ้ามือของนางวาง สัมผัสที่แขน
ของเขา ตอนนี้ นางปล่อยพลังจิตพิเศษซึ่งเล็งเป้า ไปที่วิญญาณยุทธ์สั่น
ไหว ไม่ช้า นางค่อย ๆ เริ่มเคลื่อนย้ายพลังธาตุสั่นไหวและกล่าว กระซิบ
“พลังธาตุสั่นไหวของเจ้านั้นอยู่ภายในพลังธาตุไฟอีกที่ หนึ่ง หากข้า
เคลื่อนมันออกตอนนี้ คงจะต้องอดทนต่ออาการ เจ็บปวดพอสมควร
อดทนเข้าไว้ ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม เจ้าต้องห้ามไม่ให้พลังธาตุสั่นไหว
กลับคืนเข้าไป!”
ฉินหยุนเร่งร้อนพยักหน้ารับก่อนคิ้วขมวดรอคอย ไม่นานนัก เขารู้สึกได้ถึง
พลังธาตุเริ่มสั่นสะเทือน ขณะมือของเฉียวรุ่ยเห วิ่นเคลื่อนไหวทีละน้อย
มันเคลื่อนเข้าสัมผัสกําแพงของพลัง ธาตุไฟ ก่อนจะเริ่มฉีกกระชากมัน
ออกเพื่อเข้าถึงพลังธาตุสั่น ไหว “อื้อ!” ฉินหยุนพยายามสะกดข่มเสียงร้อง
ความเจ็บปวด
“อดทนไว้ ไม่นานก็เสร็จ!” เฉียวรุ่ยเหวิ่นเองก็หลั่งเหงื่อขณะ ตะโกนบอก
เสียงลุ่มลึก
หลังผ่านไปครู่ ความเจ็บปวดค่อยเลือนหาย ฉินหยุนหอบหนัก ขณะเหงื่อ
ท่วมร่างกาย พลังธาตุสั่นไหวในที่สุดก็ถูกแยกออก จากพลังธาตุไฟ ด้วย
การควบคุมของเฉียวรุ่ยเหวิ่น มันค่อย ๆ เคลื่อนย้ายสู่หัวใจของเขา
“ท่านยายเฉียว พลังธาตุไฟของข้าหลับอยู่ ข้าจําเป็นต้อง ผสานกับ
วิญญาณยุทธ์ทรงพลังเพื่อปลุกมันให้ตื่นขึ้นหรือ ขอรับ?” ฉินหยุนเอ่ยถาม
“ใช่! วิญญาณยุทธ์สั่นไหวนี้แข็งแกร่งนัก หากวิญญาณยุทธ์ไฟ ไม่
แข็งแกร่งพอ มันจะทําลายวิญญาณยุทธ์ไฟและพลังธาตุไฟ ของเจ้า
นับเป็นเรื่องดีที่เจ้าได้พบข้า ไม่เช่นนั้นหากเจ้าออกไป หาวิญญาณยุทธ์
ด้วยตนเอง คงอาจเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นได้”
ไม่ช้า ฉินหยุนเริ่มรู้สึกได้ถึงพลังแรงกล้าทะลักเข้าในหัวใจ มัน เป็นพลัง
ธาตุสั่นไหวที่เข้าสู่หัวใจของเขาอย่างสมบูรณ์แล้ว เฉียวรุ่ยเหวิ่นปาดเช็ด
เหงื่อและกล่าว
“หากไม่ใช่เพราะเจ้า ฝึกฝนวิถีหัวใจเหลืองดํา ข้าคงไม่กล้าช่วย
เคลื่อนย้ายให้ มี เพียงวิถีหัวใจเหลืองดําจึงสามารถทานทนต่อแรงพลัง
ธาตุของเจ้าได้ กระทั่งว่าเป็นวัชระวิถีหัวใจ มันก็ไม่มีทางทานทนได้ คง ได้
แตกกระจายออกเป็นเสี่ยงแน่” หัวใจคือแกนกลางสําหรับการโคจรพลัง
ภายในร่างกาย ตอนนี้ มันได้ผสานรวมเข้ากับพลังสั่นไหว หมายความถึง
พลังสั่นไหว ของเขาจะสามารถเคลื่อนไปยังทุกหนแห่งในร่างกายได้
ในทันที เพื่อทําการป้องกันตนเอง!
“ขอบคุณท่านยายเฉียว!” ฉินหยุนกล่าวทราบซึ้ง
“เหตุใดต้องมากมารยาทต่อข้า? เจ้าหนู เจ้านั้นลําบากมามาก แล้ว คง
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่เจ้าจะประสบความสําเร็จอย่างที่เป็น ทุกวันนี้ น่าเวทนา
นักที่เจ้าต้องติดอยู่สถานที่บัดซบเช่นนี้!” เฉียวรุ่ยเหวิ่นถอนหายใจ
“กระทั่งว่าข้ามีพลังระดับขอบเขตวร ยุทธ์เต๋า ก็ยังไม่อาจหลบหนีพ้นจาก
ที่นี่ได้”
“ท่านยายเฉียว อะไรคือสาเหตุหลักที่ทําให้ท่านไม่อาจออกไป ได้?” ฉิน
หยุนค่อนข้างเชี่ยวชาญผังวิญญาณ เขาคิดอยากเห็น ต้นตอของมันเผื่อว่า
จะสามารถทะลวงผนึกจากภายใน
“ภายในมีอาคมที่ทรงพลังยิ่ง เป็นค่ายอาคมวิญญาณที่ปกคลุม ตําหนัก
ใต้ดินแห่งนี้ เจ้าสามารถเข้าได้จากภายนอก แต่ไม่มีวัน ออกไปได้เมื่ออยู่
ภายใน” เฉียวรุ่ยเหวิ่นกล่าว ฉินหยุนสัมผัสผนังรอบด้าน เขาเริ่มส่งจิต
วิญญาณต้นกําเนิด ออกไปนอกกําแพง แต่กลับไม่สําเร็จ สถานที่แห่งนี้
เหมือนจะ หนาแน่นยิ่งกว่าหอคอยทัณฑ์สวรรค์
หลังสํารวจโดยรอบแล้ว เขาจึงเดินออกจากห้อง มีทางเดินยาว อยู่
ภายนอก ระหว่างทางมีทางแยกอยู่จํานวนมากที่คล้าย เชื่อมต่อถึงกัน
เฉียวรุ่ยเหวิ่นเมื่อเห็นฉินหยุนคิดออกค้นหาจึงเดินตามมา
“เสี่ยวหยุน ข้านั้นอยู่ที่นี่มากว่าสองร้อยปีแล้ว และรู้ถึงตําหนัก ใต้ดินแห่ง
นี้เปรียบเสมือนหลังมือของข้าเอง! ด้านล่างนี้มีห้อง หินอยู่หนึ่งร้อยเก้า
ห้อง ที่ใหญ่ที่สุดจะเป็นห้องแปดเหลี่ยม ประกอบด้วยห้องหินรูปสี่เหลี่ยม
สามสิบหกห้อง ซึ่งค่อนข้าง ใหญ่พอสมควร ส่วนที่เหลืออีกเจ็ดสิบสอง
ห้องหินจะมีขนาด ค่อนข้างเล็ก”
ตอนที่ 170 วิชาขัดเกลาวิญญาณ
ฉินหยุนเดินไปตามระเบียงทางเดินมืดมิดขณะครุ่นคิดไปด้วย เขาเอ่ยถาม
“ท่านยายเฉียว ตลอดช่วงหลายปีมานี้ ท่าน สามารถดูดกลืนพลัง
วิญญาณสําเร็จได้ใช่หรือไม่?” เฉียวรุ่ยเหวิ่นตอบกลับ
“แน่นอน ข้าก้าวสู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋า ที่นี่ ก็น่าแปลกนัก แต่ดูเหมือนพลัง
วิญญาณที่นี่จะค่อนข้าง พิเศษ”
ฉินหยุนเองก็สัมผัสได้ ว่าออร่าของที่นี่ใกล้เคียงกับพลังปราณที่ ผ่านการ
ควบแน่นแล้ว มันบริสุทธิ์ยิ่ง! ครั้งอยู่ในหอคอยทัณฑ์สวรรค์ เขาไม่อาจ
ดูดกลืนพลังวิญญาณ ใดจากโลกภายนอกได้ ที่นี่เขาสามารถดูดกลืนพลัง
วิญญาณ แต่จิตวิญญาณต้นกําเนิดไม่อาจออกสู่ภายนอก
“แดนต้องห้ามแห่งนี้ต้องใช้พลังมหาศาลเพื่อคงสภาพม่านพลัง ที่
แข็งแกร่งเอาไว้ ดังนั้นจึงสมควรมีค่ายอาคมรวบรวมพลัง ขนาดใหญ่ซึ่งถูก
ใช้เพื่อรวบรวมพลังวิญญาณโดยรอบ ข้าคาด เดาว่าค่ายอาคมรวบรวม
พลังนั้น น่าจะเชื่อมต่อกับต้นไม้ทุกต้น ที่ภายนอก”
ฉินหยุนได้ข้อสรุปเช่นเดียวกันนี้ เป็นเพราะเขาสัมผัสได้ถึงแก่น พลังของ
พืชจากพลังวิญญาณที่นี่ เฉียวรุ่ยเหวิ่นไม่ได้เชี่ยวชาญผังวิญญาณนัก
นางเอ่ยถาม
“เสี่ยวหยุน ดูเหมือนเจ้าจะรู้เรื่องค่ายอาคมอย่างนั้นสินะ?” ฉินหยุนยิ้ม
ตอบ
“ท่านยายเฉียวขอรับ ข้านั้นคืออาจารย์จารึก ระดับต้น” เฉียวรุ่ยเหวิ่น
ประหลาดใจขณะเอ่ยถามตื่นเต้น
“จริงหรือนี่? ยอดเยี่ยมนัก! บางทีข้าคงมีวันได้เห็นแสงตะวันอีกครั้ง!”
“ค่ายอาคมรวบรวมพลังขนาดใหญ่มีการไหลเวียนปริมาณ มหาศาล เพื่อ
พลังงานเข้าหล่อเลี้ยงค่ายอาคม พลังวิญญาณ จํานวนมากจะถูกดูดลง
มาที่ตําหนักใต้ดินแห่งนี้”
ฉินหยุนกล่าวขณะเดินเร็วขึ้น ด้วยเฉียวรุ่ยเหวิ่นนําทาง เขาจึง สามารถ
มาถึงห้องแปดเปลี่ยมขนาดใหญ่ได้ เขายิ้มกล่าว
“เหมือนอย่างที่คิด พลังวิญญาณที่นี่อ่อนจางที่สุด! นี่คือจุดที่ ม่านพลัง
อ่อนแอที่สุด!”
“เช่นนั้นแล้วสามสิบหกห้อง กับเจ็ดสิบสองห้องเหล่านั้นเอาไว้ ทําอะไร?”
ฉินหยุนตอบ
“ห้องหินเหล่านั้นถูกสร้างขึ้นด้วยก้อนหิน วิญญาณขนาดใหญ่ โดยมีผัง
วิญญาณแกะสลักเอาไว้ที่ด้าน นอก! ห้องหินขนาดใหญ่สามสิบหกห้อง
พวกนั้น แต่ละห้องจะมี การแกะสลักผังรวบรวมพลังวิญญาณเอาไว้ และ
อีกเจ็ดสิบสอง ห้องหินที่เหลือ จะมีหน้าที่รับผิดชอบปลดปล่อยพลังของ
ค่าย อาคมให้ครอบคลุมตําหนักใต้ดินแห่งนี้”
“ห้องแปดเหลี่ยมขนาดใหญ่แห่งนี้มีเพื่อคุมสมดุล มันถูกใช้เพื่อ สร้าง
ความสมดุลของพลังงานและค่ายอาคม ตราบเท่าที่ ทําลายที่ตรงนี้ได้ ก็
สามารถทําลายค่ายอาคมได้”
เฉียวรุ่ยเหวิ่นส่ายศีรษะกล่าว “ข้าลองโจมตีห้องหินทุกห้องดู แล้ว แต่ล้วน
ไร้ค่า ไม่เพียงแต่สร้างไว้อย่างมั่นคง มันยัง สามารถดูดกลืนพลังได้อีก
ด้วย”
ฉินหยุนนําเอาค้อนราชันยักษ์วิญญาณออกมา และฟาดหวด เข้าที่ผนัง
ด้วยมังกรหลอมหกกระบวน เรื่องแปลกคือ เมื่อค้อนเขาปะทะกับผนัง มัน
ไม่ได้เกิดคลื่น อากาศ แต่พลังงานกลับถูกดูดกลืนหายจนหมดสิ้น
“เป็นเช่นนั้น!” หลังได้เห็น เฉียวรุ่ยเหวิ่นจึงถอนหายใจ
“ไม่ว่า จะใช้พลังมากมายเพียงใด มันก็ถูกดูดกลืนจนสิ้น!” ฉินหยุนนั่งลง
กับพื้นและเอ่ยคํา
“ทางเดินที่เดินลงมา สมควรมี ผนึกม่านพลังด้วยเช่นกัน ดูเหมือนจะมี
ปัญหาไม่ใช่น้อย!” เฉียวรุ่ยเหวิ่นกล่าว
“เสี่ยวหยุน เจ้าอย่าได้กังวลนัก พวกเรายัง มีเวลาอีกมาก! ในเมื่อเจ้าเป็น
อาจารย์จารึก มันคงดีกว่าที่เจ้า เรียนรู้วิชาขัดเกลาวิญญาณจากข้าที่นี่!”
“ท่านยายเฉียวขอรับ ท่านคิดสอนเคล็ดวิชาขัดเกลาวิญญาณ แก่ข้าจริง?”
ฉินหยุนลุกขึ้นยืน สีหน้านี้แตกตื่นประหลาดใจ เฉียวรุ่ยเหวิ่นยิ้มขณะลูบ
ศีรษะเขา
“แน่นอน ข้าไม่มีผู้สืบทอด ทั้งเจ้ายังเป็นเด็กดียิ่ง และเป็นอาจารย์จารึก
ดังนั้นเจ้าจึงเป็น ตัวเลือกชั้นเลิศที่ยายผู้นี้จะสอนเจ้า!” ฉินหยุนเอ่ยถาม
ด้วยท่าทีสงสัย
“ท่านยาย ผู้ใดเป็นคนสอน เคล็ดวิชาขัดเกลาวิญญาณแก่ท่าน? มันเป็น
วิชาของปีศาจจริง หรือขอรับ?”
“วิชาขัดเกลาวิญญาณของข้า คือสิ่งที่ราชันยุทธ์หลันเซียว เหลือทิ้งเอาไว้
ข้าบังเอิญได้รับมันมา เช่นนั้นแล้วจะเป็นเคล็ด วิชาชั่วร้ายได้อย่างไรกัน?”
เฉียวรุ่ยเหวิ่นยิ้มตอบ
“ท่านยาย ข้าเชื่อว่าตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ท่านคงไม่ได้กินอะไรที่ดี นักมา
นานยิ่ง ข้ามีอาหารติดตัวมานะ!” เมื่อฉินหยุนคิดถึงเรื่อง นี้ได้ เขาจึง
นําเอาผลไม้สด อาหารนานาชนิด และเนื้อสัตว์ ปีศาจออกมา
แม้เฉียวรุ่ยเหวิ่นอาศัยอยู่ที่นี่มาหลายร้อยปี นางยังคงดูเปี่ยม ด้วยพลัง
นางนั้นคล้ายอายุราวห้าสิบถึงหกสิบปี ทว่า เส้นผมสี ขาวและคิ้วสีขาวนั้น
แสดงถึงความชราภาพ เป็นเพราะที่นี่ไม่มี อะไรอยู่เลย นางได้แต่ชราลง
เรื่อย ๆ โดยที่ต้องเหงาและเปล่า เปลี่ยวอยู่ในสถานที่เช่นนี้
“ขอบใจเจ้ามากแล้วเสี่ยวหยุน!” เฉียวรุ่ยเหวิ่นยินดี ขณะนาง กิน นางยิ้ม
แทบไม่หุบ ฉินหยุนมีประสบการณ์เจ็บปวดคล้ายกันกับเฉียวรุ่ยเหวิ่น ด้วย
เหตุนี้ ทั้งสองคนจึงคล้ายเข้าใจกันและกันได้รวดเร็วยิ่ง ระหว่างที่กินไป
เฉียวรุ่ยเหวิ่นก็เริ่มสอนเคล็ดวิชาขัดเกลา วิญญาณ ฉินหยุนลอบตระหนก
เมื่อได้ยิน นี่เป็นเพราะเคล็ดวิชาขัดเกลา วิญญาณแท้จริงนั้นทรงพลังยิ่ง
มันคือการขัดเกลาผังจารึกแก่ วิญญาณยุทธ์ มันจะทําให้วิญญาณยุทธ์
สามารถเติบโตได้ แข็งแกร่งยิ่งขึ้น!
เฉียวรุ่ยเหวิ่นไม่ทราบในวิถีจารึก ดังนั้นแล้วนางจึงทําได้แค่ ผสาน
วิญญาณยุทธ์ กระนั้น วิญญาณยุทธ์ที่นางขัดเกลาได้ก็ ทรงพลังยิ่ง ที่นี่ไม่
มีวิญญาณยุทธ์หรือวิญญาณสัตว์ ดังนั้นฉินหยุนจึงไม่ อาจนําพวกมันมา
ใช้เพื่อฝึกฝนการขัดเกลา เขาทําได้เพียงแค่ จดจําจุดสําคัญที่เฉียวรุ่ยเหวิ่น
บอกต่อ กระทั่งมีหลายอย่างที่ แม้แต่นางก็ไม่เข้าใจ หลายวันให้หลัง ฉิน
หยุนสามารถจดจําเคล็ดวิชาขัดเกลา วิญญาณทั้งหมดได้เรียบร้อย เฉียว
รุ่ยเหวิ่นใช้เวลาอยู่หลายวัน และคืนเพื่อทวนให้เขาฟังครั้งแล้วครั้งเล่า
ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่อง ยากแก่การจดจํา
“เสี่ยวหยุน หากพวกเราออกไปได้ ข้าจะพาเจ้าไปยังยอดเขา ชี้นํา
วิญญาณดวงดาว” เฉียวรุ่ยเหวิ่นนั่งบนเก้าอี้ไม้ เป็นฉัน หยุนนําไม้ออก
จากมิติเก็บของเพื่อสร้างขึ้น
ฉินหยุนตอนนี้กําลังใช้ไม้ทําเก้าอี้ แต่ฉับพลันเขาหยุดชะงัก ถามออกด้วย
ความสงสัยและสนใจ “ยอดเขาชี้นําวิญญาณ ดวงดาว? มันคือสถานที่อัน
ใดกันขอรับ?” เฉียวรุ่ยเหวิ่นตอบคํา
“เป็นสถานที่ลึกลับซึ่งราชันยุทธ์หลัน เซียวสร้างขึ้น มันเป็นค่ายอาคม
ขนาดใหญ่ที่อยู่บนภูเขา ตราบ เท่าที่พวกเราสามารถเปิดการทํางานของ
ค่ายอาคม พวกเรา สามารถชักนําวิญญาณยุทธ์ดวงดาวมาได้! กระทั่งว่า
เป็น วิญญาณยุทธ์ดวงดาวที่อ่อนแอที่สุด มันก็ยังแข็งแกร่งยิ่ง ด้วย
วิญญาณยุทธ์ไฟของเจ้าที่หลับใหลอยู่ มีเพียงผสานรวมกับ วิญญาณยุทธ์
ดวงดาวจึงสามารถปลุกมันขึ้นได้”
“ยอดเขาชี้นําวิญญาณดวงดาวอยู่ที่ใดกัน?” เมื่อฉินหยุนได้ยิน ดังนี้ เขา
เริ่มไหวหวั่น เขาคาดหวังว่าจะออกจากสถานที่บัดซบ แห่งนี้โดยเร็วเพื่อไป
ยังจุดหมาย
“อยู่ในเทือกเขาเมฆมังกร ทางตอนเหนือ จะมีดาวเหนือสีดํา คอยชี้นําบน
ท้องฟ้า แน่นอนว่าที่นั่นมียอดเขาหลายแห่ง หาก เจ้ามองพวกมันจากด้าน
นอก ยอดเขาชี้นําวิญญาณดวงดาวไม่ แตกต่างอะไรจากยอดเขาแห่งอื่น
เลยแม้สักนิด!”
“ใกล้เคียงยอดเขาชี้นําวิญญาณดวงดาวมีบึงนํ้า เมื่อใดที่เห็น บึงนํ้า เมื่อ
ดาวเหนือสีดําปรากฏขึ้น พวกเราจะรู้ได้ว่ามันคือที่ นั่น” ฉินหยุนจดจํา
เรื่องนี้ไว้ขึ้นใจ เขายังไม่มั่นใจนักว่าเมื่อใดตนจะ มีโอกาสได้ไปที่นั่น
“เสี่ยวหยุน ดูเหมือนเจ้าจะเร่งรีบออกไปนัก เป็นเจ้าบอกว่ามี ศัตรู
มากมายที่ภายนอก ไม่ใช่ว่าหลบซ่อนที่นี่ก่อนจะเป็นการ ดีกว่าหรือ? หรือ
มีเรื่องอันใด?” เฉียวรุ่ยเหวิ่นเอ่ยถาม ฉินหยุนตอบ
“มีเรื่องหนึ่งขอรับ... ครั้งข้ายังเยาว์ แม่ของข้าได้ จัดแจงงานแต่งงาน
ระหว่างข้าและองค์หญิงแห่งจักรวรรดิ เทียนเขียว ภายหลังข้าโดนยึด
ตําแหน่งคืน จักรวรรดิเทียน เชี่ยวจึงตัดสินใจเปลี่ยนแปลงคู่แต่งงานของ
องค์หญิงเป็นองค์ ชายรัชทายาทคนใหม่ พิธีอภิเษกสมรสนั้นจะจัดขึ้นใน
อีกสอง หรือสามเดือนจากนี้ขอรับ”
เฉียวรุ่ยเหวิ่นพยักหน้ารับเชื่องช้า “เป็นเช่นนี้เอง เจ้านั้นควร ไป อย่างไร
แล้ว การแต่งงานครั้งนี้เป็นมารดาเจ้าทําไว้เพื่อเจ้า เจ้าควรไปชิงตัวองค์
หญิงผู้นั้นกลับคืนมา” ฉินหยุนเกาศีรษะยิ้มเก้กัง
“ไม่ใช่เช่นนั้นขอรับ ข้าไม่คิดชิงนาง กลับมา...” เฉียวรุ่ยเหวิ่นขมวดคิ้ว
“หรือองค์หญิงผู้นั้นไม่โปรดปรานเจ้า? เช่นนั้นพวกเราควรชิงตัวนางมา
และสั่งสอนบทเรียนเสีย”
“ก็ไม่ใช่เช่นนั้นขอรับ...” ฉินหยุนรู้สึกได้ว่าจะเป็นเชี่ยวเย่ว์ หลานต่างหาก
ที่สั่งสอนบทเรียนแก่เขา อย่างไรแล้ว ที่โลกภายนอก มีข่าวลือกระจายทั่ว
ว่าเชี่ยวเย่ว์ หลานเกลียดชังเขาลึกลํ้า กล่าวได้ว่าเป็นเพราะนางโดนบังคับ
ให้มีคู่หมั้นหมายตั้งแต่ยังเยาว์ ตัวตนของนางจึงเย็นชาและไร้ ซึ่งหัวใจ
หลายผู้คนต่างรู้สึกว่าฉินหยุนเป็นคราบมลทินในชีวิตของเชี่ยว เย่ว์หลาน
พวกเขาล้วนเชื่อว่าเชี่ยวเย่ว์หลานปรารถนาจะ สังหารเขายิ่งกว่าใคร
“ปัญหาก็คือ พวกเราไม่อาจออกไปตอนนี้! หากเจ้าสามารถ ออกไป
เช่นนั้นจงรีบเร่งไปยังยอดเขาชี้นําวิญญาณดวงดาว และผสานรวม
วิญญาณยุทธ์ดวงดาว นี่จะเป็นการเพิ่มพลังแก่ เจ้าอย่างยิ่งยวด อาจ
เป็นได้ที่เจ้าจะก้าวสู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ ระดับที่เจ็ด”
“เฮ้อ มันไม่มีวิธีออกไปเลยหรือนี่?” ฉินหยุนรู้สึกสิ้นหวัง เขา เดินไปมาใน
ห้องหินมาก็นาน เพื่อคิดหาวิธีแก้ไขปัญหาที่นี่ เฉียวรุ่ยเหวิ่นอดไม่ได้ที่จะ
กล่าวออก “คงมีเพียงพวกเราต้องใช้พลังงานทั้งหมดของม่านพลัง เช่นนั้น
อาจทําได้” ฉินหยุนนิ่งไปครู่ก่อนพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เขาร้องโพล่งออก
“ใช่แล้ว! แค่ใช้พลังงานทั้งหมดของม่านพลัง! หากพวกเราฉก ซิงเอา
พลังงานที่ม่านพลังจําเป็นต้องใช้ พวกเราก็จะหาโอกาส ออกไปได้ตราบ
เท่าที่ตําหนักใต้ดินแห่งนี้ไร้ซึ่งสมดุล” เขาเร่งรีบไปยังห้องแปดเหลี่ยม
ขนาดใหญ่ ห้องแห่งนี้กว้างหลายสิบเมตร นับว่ากว้างขวางยิ่ง
ชั่วขณะที่ฉินหยุนมาถึง เขาจึงนําเอาแผ่นหินออกมาหลายแผ่น และเริ่ม
วางพวกมันลงกับพื้น แผ่นหินเหล่านี้คือส่วนหนึ่งของ ค่ายอาคมวิญญาณ
บรรจบเก้าตะวัน เขาคิดใช้งานมันเพื่อฉก ซิงเอาพลังงานของค่ายอาคม
ที่นี่ เฉียวรุ่ยเหวิ่นเอ่ยถามอย่างสงสัย “เสี่ยวหยุน พลังวิญญาณที่นี่บาง
เบานัก จะได้ผลหรือ?” ฉินหยุนยิ้มกล่าว
“ที่นี่คือตัวกลางขอรับ สถานที่นี้มีเพื่อควบคุม สั่งการไหลของพลังงาน
ตราบเท่าที่เกิดความวุ่นวายตรงนี้ พวกเราก็มีโอกาสออกไปจากที่นี่”
นางถูกกักขังที่นี่มานานหลายปี จนกระทั่งแทบสิ้นหวังแล้วด้วย ซํ้า แต่
ตอนนี้กลับได้เห็นประกายแสงแห่งความหวังอยู่ตรงหน้า หลังฉินหยุน
ติดตั้งอาคมวิญญาณบรรจบเก้าตะวัน เขาจึง ควบคุมเปิดการใช้งาน
อาคม จากนั้น เขาค่อยไปยืนเหนืออาคม และปลดปล่อยพลังจิต เพื่อทํา
ให้ตัวเขาสามารถสัมผัสถึงพลัง วิญญาณเก้าตะวันได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
พลังวิญญาณปริมาณมหาศาลเริ่มถูกดูดกลืนโดยอาคม วิญญาณบรรจบ
เก้าตะวันอย่างสมบูรณ์ มันเติมเต็มพลังงาน ภายในค่ายอาคมก่อนไหล
หลั่งสู่กายเขาเพื่อหล่อเลี้ยงบํารุง ไม่กี่ชั่วโมงถัดมา ม่านพลังเริ่มอ่อนแรง
ลงเรื่อย ๆ เมื่อเฉียวรุ่ยเหวิ่นโจมตีใส่ผนัง มันเริ่มสั่น นี่หมายความถึงม่าน
พลังโดนผลกระทบรุนแรงจนไม่อาจคงสภาพความแข็งแกร่ง มันไม่มีการ
ดูดกลืนพลังที่เข้าปะทะเหมือนอย่างก่อนหน้าอีก ต่อไปแล้ว
“วิเศษ! หากเป็นแบบนี้ ข้าสามารถทําลายกําแพงหินนี้ได้!” เฉียวรุ่ยเหวิ่น
ตื่นเต้นยินดี นางตอนนี้ใช้พลังระดับขอบเขตวร ยุทธ์เต่อย่างต่อเนื่อง
โจมตีใส่กําแพงอย่างไม่หยุดหย่อน ฉินหยุนเพียงแค่รับหน้าที่ควบคุม
อาคมวิญญาณบรรจบเก้า ตะวันเพื่อดูดกลืนพลังวิญญาณปริมาณ
มหาศาล เขา จําเป็นต้องทําลายโครงสร้างผนึกก็ตอนที่พลังของม่านพลัง
อ่อนแอลงที่สุด
เสียงเฉียวรุ่ยเหวิ่นโจมตีกําแพงหินรุนแรง ยิ่งมายิ่งดังขึ้น ห้อง แปดเหลี่ยม
แห่งนี้สั่นสะเทือน ราวกับมันสามารถพังทลายลงมา ได้ทุกเมื่อ
“ท่านยาย พวกเราต้องระวังให้ดี หากม่านพลังแตก พลังงาน รุนแรงจะ
ไหลทะลักออก ท่านต้องปกป้องตัวเองให้ดีนะขอรับ” ฉินหยุนเร่งรีบเอ่ย
เตือน
“ข้าจะระวัง!” หลังเฉียวรุ่ยเหวิ่นรับคําจบ นางก็เริ่มประทับฝ่า มือลุงกับ
กําแพงหินต่อเนื่อง
ตู้ม!
ห้องหินแห่งนี้เริ่มสั่นไหวรุนแรง หินแข็งแกร่งเริ่มร่วงหล่นจาก กําแพงจนปริ
แตกออก หลังจากถูกกักขังไว้ที่นี่ ในที่สุดนางก็จะได้เห็นแสงตะวันอีกครั้ง
นางตอนนี้อดไม่ได้จริง ๆ ที่จะหัวเราะออกเสียงดังด้วยความ ยินดี
ตอนที่ 171 มุ่งสู่ยอดเขา
เมื่อฉินหยุนเห็นก้อนหินที่ผนังเริ่มปริแตก เขาจึงเร่งรีบเก็บ อาคมวิญญาณ
บรรจบเก้าตะวันกลับ และเข้าไปอยู่ข้างกาย เฉียวรุ่ยเหวิ่น
“ครั้งสุดท้าย!” นางถูกกักขังไว้ที่นี่เป็นเวลากว่าสองร้อยปี และ ตอนนี้ นาง
กําลังจะได้เห็นแสงตะวันอีกครั้งหนึ่ง นางยินดีจนกระทั่งมือนั้นสั่นเทิ้ม
ขณะนี้ นางกําลังควบแน่น พลังซึ่งแข็งแกร่งที่สุดก่อนจะผลักออกจากฝ่า
มืออย่างเชื่องช้า เมื่อสัมผัสกับผนังหิน มันจึงเกิดเสียงระเบิดดังสนั่นขึ้น!
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ห้องหินหลายแห่งเริ่มยุบตัว
ในห้องหินขนาดใหญ่ที่สุดซึ่งพวกเขาอยู่ตอนนี้ หินก้อนใหญ่ที่ ใช้สร้างห้อง
นี้ขึ้นมาเริ่มล้มครืนลงอย่างต่อเนื่อง เฉียวรุ่ยเหวิ่นใช้กําลังภายในสร้างม่าน
พลัง ปกคลุมฉินหยุน และตัวนางเอาไว้ จากนั้นจึงทะลวงผนังห้องอีกครั้ง
เกิดเป็นรู ขนาดใหญ่ที่มุ่งตรงขึ้นสู่พื้นดิน
“ทําได้แล้ว!” เฉียวรุ่ยเหวิ่นไม่อาจสะกดข่มความยินดี นาง หัวเราะออก
เสียงดังขณะพาฉินหยุนออกมาด้วย แทบจะ ในทันที ทั้งสองก็มาถึงพื้นผิว
ด้านบน “ท่านยาย ต้องมีคนจากจักรวรรดิเทียนชี่มาตรวจตราที่นี่แน่ พวก
เราต้องระวัง!”
ฉินหยุนเอ่ยคําเสียงเบา เขาระแวดระวัง รอบด้านโดยทันที ตอนที่เฉียวรุ่ย
เหวิ่นอยู่ในตําหนักใต้ดิน ฉินหยุนเล่าให้นางฟัง ถึงตําหนักดวงดาว
วิญญาณสีคราม นางเองก็ทราบว่าตําหนัก ดวงดาวนั้นมีผู้ฝึกตนทรงพลัง
มากมาย พวกเขาเหล่านั้นย่อม ต้องการวิชาขัดเกลาวิญญาณของนางแน่
“พวกเราจะให้ใครรู้ตอนนี้ไม่ได้ว่าพวกเราออกมาแล้ว!” หลัง เก็บอาการ
ตื่นเต้น นางสงบใจลง ฉินหยุนมองอาคารหินสีเขียวจึงพบว่าตอนนี้มัน
ถล่มลงไปแล้ว ตราบเท่าที่มีคนของจักรวรรดิเทียนขี่มาพบเห็น พวกเขา
ต้อง ทราบแน่นอนว่าพวกเขาทําลายม่านพลังหลบหนีออกมาได้ เรื่องนี้
ยากปิดซ่อนนัก
“พวกเราจะปิดไว้ได้อย่างไรขอรับ? เมื่อตําหนักใต้ดินถล่มไป แล้ว เสียง
และแรงสั่นสะเทือนต้องกระจายไปทั่วแน่ แถวนี้ สมควรมีคนของจักรวรรดิ
เทียนซี่ตรวจตราไม่ไกลออกไป พวก นั้นคงมาที่นี่โดยเร็ว” ฉินหยุนหันมอง
รอบขณะปล่อยพลังจิต ออกสํารวจรอบด้าน หากมีคนใกล้เข้ามา เขาจะ
ได้รับมืออย่าง ทันท่วงที เฉียวรุ่ยเหวิ่นเผยสีหน้าจริงจัง
“เหมือนว่าคงมีแต่ต้องใช้เคล็ด วิชาต้องห้ามโบราณของหลันเซียวแล้ว
สินะ!” ฉินหยุนเอ่ยถามแตกตื่น
“เคล็ดวิชาต้องห้ามโบราณ? มันคือ อะไรกันขอรับ?”
“เป็นการเรียกอุกกาบาตให้ตกลงมา... แต่ว่า หลังข้าใช้มันไป แล้ว มันจะ
ใช้พลังงานอย่างมหาศาล ต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง กว่าจะฟื้นตัวได้!”
เฉียวรุ่ยเหวิ่นกล่าว
“หากพวกมันพบว่าข้า ออกจากแดนต้องห้าม พวกมันต้องไล่ล่าข้าไปทุก
หนแห่ง กระทั่งเจ้าก็จะมีอันตรายไปด้วย” นางเม้มริมฝีปากขณะคว้าจับ
ไม้เท้าคํ้ายันเดินออกไป คลื่นพลัง ทรงอํานาจไหลทะลักออกจากกายนาง
เป็นผลให้สายลมรอบ ด้านเกิดความบิดเบี้ยวร้องโหยหวน อย่างกะทันหัน
ออร่าจากทั่วทั้งบริเวณและต้นไม้ทั้งหมด โดยรอบพลันถูกช่วงชิง ฉินหยุ
นมองขึ้นไป เขากําลังเห็นอุกกาบาตขนาดใหญ่กําลังมาทางนี้
“ฮึ่ม!!” เฉียวรุ่ยเหวิ่นคํารามร้อง พลังงานที่ไหลทะลักออกจาก กายนางยิ่ง
มายิ่งรุนแรง ไม่ช้า ทั้งร่างของนางแทบถูกดูดพลัง จนว่างเปล่าขณะล้มลง
กับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง นางเผยเสียงอ่อนแรงออก
“เร็วเข้า!! ออกไปจากที่นี่!”
ฉินหยุนพานางขึ้นแผ่นหลังขณะใช้ก้าวอัคคีเมฆา ทะยานร่าง ขึ้นท้องฟ้า
หายวับไปด้วยความเร็วสูง ขณะที่อยู่กลางอากาศ เขารู้สึกได้ถึงอากาศ
ร้อนแรงกําลังสะกด ลงมาจากเบื้องบน ต้นไม้เบื้องล่างตอนนี้เริ่มแตกและ
มอดไหม้ สภาพนี้ไม่ต่างอะไรกับทะเลเพลิง
ตู้ม!!
อุกกาบาตปะทะกับพื้นดิน เป็นผลให้คลื่นเปลวเพลิงรุนแรง กระจายออก
ก้อนหินเริ่มหลอมละลายกลายเป็นของเหลว คลื่นเปลวเพลิงรุนแรง
กระจายส่งผลให้ป่ ารอบด้านนับพัน กิโลเมตรกลับกลายเป็นทะเลเพลิง
ฉินหยุนตอนนี้อยู่กลางอากาศขณะทั้งร่างปกคลุมด้วยคลื่นพลัง คุ้มกาย
เอาไว้ เบื้องล่างตอนนี้ มันคือทะเลเพลิงและแอ่งลาวา ภูเขาใกล้เคียงที่สูง
หลายพันเมตรยังเกิดเป็นหลุมแหว่งเพราะ ส่วนหนึ่งถูกหลอมเหลวเป็น
ลาวา
“เคล็ดวิชาต้องห้ามโบราณนี้ทรงพลังนัก นี่มันหายนะภัยทาง ธรรมชาติ!”
ฉินหยุนพาร่างที่สิ้นสติของเฉียวรุ่ยเหวิ่นขี่หลัง ทะยานตัวออก ภายในใจ
ของเขาตอนนี้กําลังแตกตื่นขณะ เคลื่อนผ่านอากาศมุ่งหน้าไปทางเหนือ
ราวหนึ่งชั่วโมงหลังฉินหยุนจากไป กลุ่มคนปรากฏขึ้นบน ท้องฟ้าเหนือ
แดนต้องห้ามเทียนขี่ ซึ่งตอนนี้กลายเป็นแอ่งลาวา ไปแล้ว
ตู้ก๋วยขมวดคิ้วแน่น เขามองลงไปยังหลุมด้านล่าง จากนั้นเขา จึงหันมอง
กลุ่มคนจากสถาบันยุทธ์เทียนเสวียนและคําราม กล่าว
“ตอนนี้พวกเจ้าพอใจหรือยัง? ฉินหยุนตายแล้ว!” จ้าวฉวนถอนหายใจยาว
“เด็กหนุ่มที่มีพรสวรรค์ทางวิถี่จารึก เหนือลํ้า... ถึงกับต้องจบสิ้นเช่นนี้!”
โฮ้วฉิงเฟิงกล่าว
“ข้าต้องกลับไปปลอบประโลมพวกเขา.... ตอน พวกเขาได้ยินว่าฉินหยุน
ถูกส่งเข้าแดนต้องห้ามเทียนชี่ พวก เขาก็แทบระเบิดโทสะกันอยู่แล้ว...”
“เรื่องนี้หาได้เกี่ยวอันใดกับพวกเราไม่ จงอย่าได้มองพวกเรา เช่นนั้น!”
กัวเจิ้งกล่าวโต้แย้งด้วยท่าที่เคร่งขรึม ทว่า ภายในใจ นั้นยินดีจนแทบแย่
แล้ว
“เป็นอาจารย์ของสถาบันยุทธ์เทียนเสวียนเจ้าที่กระทําโดย พลการส่งฉิน
หยุนเข้าแดนต้องห้าม! เชี่ยวเย่ว์เหม่ยคิดว่า ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของ
สถาบันยุทธ์เทียนเสวียนเจ้า เด็ก สาวผู้นั้นหายตัวไปนานยิ่งแล้ว ข้าคิดว่า
นางคงเคลื่อนไหวใน อีกไม่ช้าแน่” ตู้ก๋วยแค่นเสียง
“อาจารย์ตู้ พวกเรากลับ!” โฮ้วฉิงเฟิงถอนหายใจ เขาหันกลับ และทะยาน
กายผ่านอากาศไป พลังจิตของตู้ก๋วยแข็งแกร่ง เขายังคุ้นเคยกับพลังจิต
ของฉินหยุน ดังนั้นเขาจึงสามารถสัมผัสได้ถึงร่องรอยเศษเสี้ยวที่ คุ้นเคย
ขณะยื่นขยายพลังจิตออกไปสํารวจ ตอนแรกที่เขามาถึง หลังสัมผัสพลัง
จิตของฉินหยุนได้ เขาเร่ง รีบลบร่องรอยนั้นทิ้ง
ผลลัพธ์ที่ได้ ไม่มีใครนอกจากเขาที่ สามารถรู้ถึงเรื่องนี้ เขาไม่คิดแจ้งเรื่อง
นี้ต่อโฮ้วฉิงเฟิง เป็นเพราะเขายังไม่มั่นใจว่า ฉินหยุนยังมีชีวิตรอดอยู่
หรือไม่
ฉินหยุนใช้เวลาอยู่กับอสูรขัดเกลาวิญญาณในแดนต้องห้าม นานนัก หาก
เขายังรอดชีวิต เขาย่อมต้องเชี่ยวชาญวิชาขัด เกลาวิญญาณอย่าง
แน่นอน!
ตั้งแต่ที่ตําหนักดวงดาววิญญาณสีครามปรากฏตัวขึ้น อุกกาบาตนับวันก็
ยิ่งร่วงหล่นจากท้องฟ้าบ่อยครั้ง ทว่า พวก มันไม่เคยใหญ่โตเพียงนี้มา
ก่อน กระนั้นทุกคนที่นี้ก็หาได้คิดมาก ความ เพียงคิดว่านี่เป็นอุบัติเหตุอัน
โชคร้ายก็เท่านั้น โดยเฉพาะกับผู้ที่เกลียดชังฉินหยุนเข้ากระดูกดํา พวก
เขา เหล่านั้นล้วนเชื่อว่านี่เป็นการลงทัณฑ์จากสวรรค์ที่ตัดสินโทษ ของฉิน
หยุนและอสูรขัดเกลาวิญญาณ
สําหรับผู้ที่คิดเป็นอื่น พวกเขาล้วนเวทนาฉินหยุน เป็นเขาโดน ทําร้าย
มากมายยิ่ง พลังธาตุยังแตกสลาย ทั้งยังถูกส่งเข้าแดน ต้องห้าม ท้ายที่สุด
ถึงกับต้องตายเพราะอุกกาบาต ไม่ว่าจะมองเรื่องนี้อย่างไร มันก็คล้ายกับ
เป็นการท้าทายจน สวรรค์ลงทัณฑ์ ไม่เช่นนั้นแล้วใครกันจะกระทํา
เรื่องราว ทั้งหมดเหล่านี้ได้?
ฉินหยุนตอนนี้แบกเฉียวรุ่ยเหวิ่นไว้บนแผ่นหลัง ตลอดทั้งวัน หลังการวิ่ง
ผ่านอากาศ เขาเริ่มรู้สึกหมดเรี่ยวแรง จึงตัดสินใจ ลงพื้นไปพักบริเวณ
ต้นไม้ใหญ่ เขาหันมองเฉียวรุ่ยเหวิ่นที่อ่อนแรงยิ่งและเอ่ยถามด้วยความ
กังวล
“ท่านยาย ไหวหรือเปล่าขอรับ?” เฉียวรุ่ยเหวิ่นลืมตาขึ้นและยิ้มตอบ
“ยายผู้นี้ยังไหวอยู่ ข้ายินดี ยิ่งนักที่ได้เห็นเก้าตะวันด้วยตาตัวเองอีกครั้ง!
หลังพักผ่อนสัก พักข้าก็ดีขึ้นเอง”
“เสี่ยวหยุน เจ้าไปที่ยอดเขาชี้นําวิญญาณดวงดาว! เจ้าพาข้า ไปด้วยมีแต่
จะไม่สะดวก อาการของข้าไม่ได้ฟื้นตัวเร็วถึงเพียงนี้
“ไม่ ข้าทิ้งท่านไว้ที่นี่ไม่ได้!” ฉินหยุนปฏิเสธหนักแน่น เมื่อเฉียวรุ่ยเหวิ่นได้
เห็นสีหน้าฉินหยุนเป็นห่วงนางจากใจจริง นางรู้สึกอบอุ่น ด้วยรอยยิ้มอ่อน
แรง นางกล่าวคํา
“จงหาภูเขา สูงและสร้างถํ้าลึก ให้ข้าได้อยู่ด้านในนั้น หลังเจ้าไปแล้ว จง
ผนึกถํ้าเอาไว้ ข้าจะฟื้นตัวอย่างปลอดภัยในถํ้าแห่งนั้น”
“เด็กดี ฟังและเชื่อท่านยายผู้นี้! มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่เจ้าจะพาข้า ไปยังยอด
เขาชี้นําวิญญาณดวงดาว เจ้าต้องได้รับวิญญาณยุทธ์ ดวงดาว ในอีกสอง
หรือสามเดือนให้หลัง เจ้ายังต้องไปชิงตัว องค์หญิงของเจ้ากลับคืนมา”
“ท่านยาย แล้วท่านคิดทําอย่างไรต่อ?” ฉินหยุนเป็นกังวลยิ่ง ทั้งยังเป็นห่วง
ท่านยายผู้นี้ที่ชรามากแล้ว
เฉียวรุ่ยเหวิ่นตอบ “หากข้าฟื้นฟูเรียบร้อย ข้าจะมุ่งหน้าสู่แดน ยุทธ์
อ้างว้าง ศัตรูทั้งหมดของข้าในเทียนชี่ล้วนล้มหายตายกัน จนหมดสิ้น ข้า
ไม่มีห่วงอะไรติดพันที่นี่อีกต่อไปแล้ว! ทั้งข้ายัง เชื่อในตัวเจ้า เจ้าจะต้อง
สามารถเหนือลํ้ากว่าเจ้าพวกคน เหล่านั้นที่ข่มเหงเจ้าด้วยกําลังของตัวเจ้า
เองได้แน่!”
ฉินหยุนทําได้แค่พาเฉียวรุ่ยเหวิ่นขึ้นหลังและบินขึ้นไปยังภูเขา สูง ขุดถํ้า
ลึกแห่งหนึ่งขึ้น เขาตัดสินใจนําอาคมวิญญาณบรรจบเก้าตะวันไว้ภายใน
นี่จะ ทําให้เฉียวรุ่ยเหวิ่นสามารถดูดกลืนพลังวิญญาณได้รวดเร็วขึ้น ทั้งยัง
มอบอุปกรณ์วิญญาณมิติเก็บของแก่นาง และยังแบ่ง เสบียงส่วนมากที่
เขามีให้กับนาง
“เด็กดี หากมีผู้ใดสงสัยว่าเจ้าเชี่ยวชาญเคล็ดวิชาขัดเกลา วิญญาณ และ
หากไม่อาจเก็บซ่อนมันไว้ได้อีก จงบอกต่อพวก มัน ว่าเคล็ดวิชาขัดเกลา
วิญญาณถูกสร้างขึ้นโดยราชันยุทธ์หลันเซียว” เฉียวรุ่ยเหวิ่นกล่าว
“เจ้าต้องพยายามเพื่อให้ได้เป็นศิษย์ของตําหนักตะวันออกของ ตําหนัก
ดวงดาววิญญาณสีคราม เพื่อเรียนรู้วิชายุทธ์ของราชัน ยุทธ์หลันเซียว”
ฉินหยุนเร่งรีบพยักหน้ารับ เขาตอนนี้รู้และเข้าใจวิถีหัวใจตะวัน ดาราอัน
ทรงพลังมาแล้วครั้งหนึ่ง เป็นผลให้พลังจิตของเขา แปรเปลี่ยนเป็น
ดวงดาวที่เป็นขุมพลังจิตอันทรงอํานาจ ดังนั้น แล้ว เขาจึงนับถือราชัน
ยุทธ์หลันเซียว ท้ายที่สุด เฉียวรุ่ยเหวิ่นได้บอกต่อเขาถึงเรื่องของยอดเขา
ชี้นํา วิญญาณดวงดาวอีกหลายอย่าง เพื่อให้เขาได้เข้าใจ กระบวนการ
ฉินหยุนบอกลาอย่างไม่ยินดีนักแก่เฉียวรุ่ยเหวิ่น หลังออกไป แล้วเขาจึง
ปิดผนึกถํ้า จากนั้นจึงค่อยเดินทางภาคพื้นดินมุ่ง หน้าสู่ทางตอนเหนือ
จากตะวันตกของเทือกเขาเมฆมังกรสู่ทางทิศเหนือ มันเป็นการ เดินทางที่
ยาวไกลและอันตราย เขาไม่ทราบว่าตนจะสามารถ สําเร็จงานได้ทันก่อน
พิธีอภิเษกสมรสหรือไม่
ช่วงกลางคืน ฉินหยุนลอยตัวสูงกลางท้องฟ้าขณะมองหา ดวงดาวทางทิศ
เหนือ มันเป็นดาวเหนือทมิฬ ดาวเหนือทมิฬส่องแสงสีนํ้าเงินออกเจือจาง
มันเป็นดวงดาว สุกสว่างที่สุดทางทิศเหนือของท้องฟ้าพร่างพรายดวงดาว
“หวังว่ายอดเขาชี้นําวิญญาณดวงดาว จะช่วยเราได้รับ วิญญาณยุทธ์จริง
นะ” ฉินหยุนกลับลงพื้นและเดินทางในยาม คํ่าคืนต่อ ที่เทือกเขาเมฆมังกร
ในตอนนี้ เขาเดินทางอย่างระมัดระวังและ หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับ
สัตว์ปีศาจที่ทรงพลัง หากเขาไปพบ เจอกับสัตว์ปีศาจระดับแปดหรือเก้า
เข้า คงได้กลายเป็นหายนะแน่
“ไม่รู้ว่าเย่ว์เหม่ยเป็นอย่างไรบ้าง เราถูกส่งเข้าแดนต้องห้าม เทียนชื่ นาง
ต้องเป็นกังวลแน่ ทั้งยังจะต้องโกรธแค้นต่อเรื่องนี้ มาก!” ฉินหยุนแอบเป็น
กังวลว่าเชี่ยวเย่ว์เหม่ยจะทําอะไรเกินต่อหน้าเขา เชี่ยวเย่ว์เหม่ยมักหัวเราะ
คิกคักและขี้เล่นอยู่เสมอ แต่นางเป็นคนตรงไปตรงมายิ่งกว่าใคร
นอกจากนี้ เมื่อนางคิด โหดเหี้ยม มันก็พร้อมจะทําให้ผู้คนต้องพรั่นพรึง
อู่ว์ อูว์ อู่ว์ ในป่ าเงียบงันกลางดึก เสียงหอนของหมาป่าดังขึ้น ฉินหยุน
ตัดสินใจหยุดเท้า ปลดปล่อยพลังจิตออกสํารวจ พร้อม กันนี้ เขาใช้เคล็ด
วิชาเพื่อกลบร่องรอยทั้งหมดของตนเอง โดยรอบ ก่อนเข้าไปซ่อนตัวในดง
ใบไม้ของต้นไม้ใหญ่ไม่ไกลออกไป ดวงตาสีเขียวเข้มคู่หนึ่งปรากฏ มันเป็น
สุนัขสีตัว ดําตัวใหญ่ราววัว มีชายคนหนึ่งกําลังขี่มันที่บนหลังขณะเดิน
ผ่านไปอย่างเชื่องช้า ไม่นานนัก มีสุนัขตัวใหญ่กว่าสองเมตรดวงตาสีเขียว
อีกสองตัว พวกมันพาคนขี่หลังขณะเดินมาและดมตามพื้น
“สุนัขเจ้าเห่าหรือไม่ใช่? มันพบอะไรเข้าหรือไง?” ชายร่างใหญ่ เอ่ยถาม
“สุนัขเจ้าก็อยู่ใกล้แต่ไม่พบอะไรเลยหรือไง?” ชายอีกคนหนึ่ง กล่าว
“หรือสุนัขข้าจะประสาทสัมผัสไวเกินไป!”
“แม้ไม่มีอะไรแต่ก็ต้องระวัง สิ่งที่พวกเราเฝ้าคุ้มกันอยู่นี้คือ เหล็กวิญญาณ
ชั้นเลิศ พวกเราเพิ่งจะเริ่มขุดกันเอง! ตอนนี้ถือ เป็นช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้า
ขวาน!”
“ตําหนักตะวันตกออกจะเกินไปแล้ว ทาสกว่าร้อยคนเสียชีวิต เพราะอะไร
ถึงไม่ยอมส่งคนใหม่เข้ามาเพิ่มอีก? พวกเขาไม่ได้ส่ง คนมาเพิ่มแต่กลับ
ต้องการเหมืองเหล็กวิญญาณ ไม่เพียงแต่งานกองสุมจนไม่เหลือที่ให้กอง
พวกเรายังต้องมาหวาดระแวงจน ประสาทแทบเสีย” เมื่อฉินหยุนได้ยินบท
สนทนาเหล่านี้ เขาลอบตระหนก ที่นี่ ถึงกับมีเหมืองเหล็กวิญญาณชั้นเลิศ
อยู่!
ตอนที่ 172 เหล็กวิญญาณชั้นเลิศ
หากขัดเกลาแร่เหล็กวิญญาณจากเหมือง สิ่งที่ย่อมได้รับคือ เหล็ก
วิญญาณ สําหรับงานหลอม เหล็กวิญญาณถือเป็นสิ่ง สําคัญยิ่ง นี่ยังไม่
กล่าวถึงเหล็กวิญญาณชั้นเลิศ
“มูลค่าของเหล็กวิญญาณชั้นเลิศน่าจะหนึ่งหมื่นเหรียญผลึกต่อ หนึ่งจิน
สงสัยนักว่าเหล็กวิญญาณชั้นเลิศที่ขัดเกลาจากแร่ เหล็กวิญญาณใน
เหมืองนี้จะมีสักเท่าใด” ฉินหยุนครุ่นคิด จากบทสนทนาเมื่อครู่ เขาได้
ทราบว่าเหมือง เหล็กวิญญาณแห่งนี้ถูกควบคุมเอาไว้โดยตําหนัก
ตะวันตก พวกเขายังนําแรงงานทาสจํานวนมหาศาลมาที่เหมืองแห่งนี้
“เท่าที่ฟัง พวกมันใช้แรงงานทาสโหดเหี้ยมนัก โดยไม่สนด้วย ซํ้าว่าคน
เหล่านั้นจะเป็นหรือตาย ช่างน่ารังเกียจนัก ในเมื่อเจอ เข้าแบบนี้ คงต้อง
ช่วยเหลือ”
กลุ่มคนที่เดินตรวจตราโดยรอบมีพื้นฐานการฝึกฝนที่ขอบเขต กายวรยุทธ์
ระดับที่ห้า ฉินหยุนรู้สึกได้ว่าด้วยกําลังของตนเอง เขาสามารถก่อการได้
สําเร็จ หลังคนตรวจตราเดินจากไปแล้ว เขาจึงเคลื่อนกายลอบเร้นไป บน
ต้นไม้ใหญ่ ไม่นานนัก เขาก็ได้ยินเสียงดังขึ้นท่ามกลางป่ าเงียบ เป็นเสียง
แส้หวด เสียงร้องของแรงงานทาส เสียงก่นด่าของคนคุมงาน และเสียงร้อง
ของเด็ก!
“เดรัจฉานตําหนักตะวันตกพวกนี้กระทั่งนําแรงงานทาสเด็กมา ใช้ที่นี่ ทั้ง
ยังบีบบังคับพวกเขาทํางานอย่างหนักอีก?” ฉินหยุน โกรธแค้น เขาอด
ไม่ได้ที่จะยิ่งเร่งความเร็วมุ่งหน้าเพิ่มขึ้นไปอีก ผ่านไปครู่ เขาตอนนี้ยืนอยู่
เหนือยอดไม้สูงกว่าร้อยเมตรขณะ มองลงที่หลุมขนาดใหญ่ตรงหน้าซึ่ง
กว้างหลายร้อยเมตร
หลุมดังกล่าวลึกลงไปราวสิบเมตร มันเป็นหินแข็งด้านล่าง มี การตั้งคบ
เพลิงไว้ตลอดตามแนวหลุมทําให้ตัวหลุมดูเป็นสีแดง ฉาน ที่ก้นหลุม
ดังกล่าว มีชายกํายําหลายคนที่มือและเท้ามีโซ่ตรวน ทั้งยังมีเด็กและชาย
วัยกลางคน ร่างของพวกเขาเหล่านั้นเต็ม ไปด้วยรอยบาดแผล ทั้งยังมีรอย
ฟกชํ้าสีดําม่วงทั่วร่างกายไปหมด!
ที่น่าตื่นตะลึงยิ่งกว่าก็คือ กลุ่มชายหลายคนถือแส้ฟาดหวดเข้า ใส่เด็กที่
อายุราวสิบปีที่มือเท้าก็มีโซ่ตรวน!
“พวกสารเลวตําหนักตะวันตก!” ดวงตาฉินหยุนแทบ แปรเปลี่ยนเป็นสีแดง
เมื่อเห็นเรื่องราวนี้ แรงงานทาสเหล่านี้ต้องทํางานอย่างหนักเพื่อขุดเอาหิน
แข็ง ขึ้นมา ไม่เช่นนั้นเด็กซึ่งน่าจะเป็นบุตรหลานพวกเขาต้องโดน กระทํา
ทรมาน
ฉินหยุนสํารวจรอบบริเวณเหมือง เขาพบว่ามีหอคอย สังเกตการณ์อยู่สาม
แห่ง ผู้คุมที่หลุมยักษ์มีกว่าสิบคน พวกเขา ล้วนอยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์
ระดับที่ห้า
“มีสามคนอยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่หก ทั้งหมดเป็น คนชรา ทั้งยังอยู่
ในที่แยกส่วนตัว! เริ่มจากพวกนี้ก่อนแล้วกัน!”
หลังคิดแผนการบุกโจมตีได้แล้ว เขาจึงเปลี่ยนมาใส่ชุดดําและ นําเอาหนัง
สัตว์ออกมาสร้างยันต์
“ยังสะกดกายสามารถใช้สร้างยันต์ได้ ทั้งยังง่ายในการสร้าง ถือว่าเพียง
พอที่จะใช้รับมือกับพวกผู้คุม สําหรับพวกคนบน หอคอย เราคงต้องใช้ฝัง
หลับใหลเพื่อทํายันต์สะกดจิต ถ้าไม่มี พลังจิตกล้าแข็งพอและโดนยันต์
สะกดจิตเข้าเล่นงาน ก็น่าจะ หลับไปในทันที” จากสามสิบหกผังวิญญาณ
ฉินหยุนได้เรียนรู้ถึงวิญญาณแปลก ประหลาดระดับสูงมาไม่น้อย!
ยันต์สะกดจิตถือว่ายากในการสร้าง มันจําเป็นต้องใช้พลังจิตสูง มาก หนัง
สัตว์ที่ใช้แกะสลักยังต้องมีการเคลือบพิเศษด้วยพลัง จิต หลังผ่านไปหลาย
ชั่วโมง ฉินหยุนหันมองท้องฟ้าขณะคิดกับ ตนเอง
“ในอีกสองชั่วโมงจะรุ่งสาง เราต้องทําให้เรียบร้อยก่อนฟ้าสาง”
เมื่อสร้างยันต์เสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาเริ่มลงมือโดยทันที อันดับแรก เขา
ลอบเข้าไปในบ้านหลังเล็กอย่างเงียบงัน เขา ค่อย ๆ ใช้พลังจิตเปิด
หน้าต่างอย่างเงียบเชียบ เมื่อเปิดหน้าต่างได้ เขาจึงเห็นผู้ฝึกตนระดับที่หก
โดยทันที เขา ใช้งานรวมจิตวิญญาณสังหารเพื่อทําให้ชายชราอยู่ใน
อาการ มึนงง จากนั้น เขาจึงเร่งรีบเข้าในตัวบ้านปลิดชีพชายชราทิ้ง
“ยังเหลืออีกสอง!” ฉินหยุนเปลี่ยนไปใส่ชุดสีนํ้าเงินของชาย ชรา มันจะ
ช่วยป้องกันไม่ให้เขาโดนพบเจอเร็วเกินไปนักโดย คนของตําหนักดวงดาว
วิญญาณสีคราม
ชายชราเหล่านี้ล้วนกําลังฝึกฝน สภาพไม่ต่างอะไรกับกําลัง หลับลึก พวก
เขาเหล่านี้แทบไร้ซึ่งความระวังอันใดด้วยซํ้า จึง เป็นผลให้เขาสามารถ
สังหารอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย หลังสังหารชายชราทั้งสามที่ขอบเขต
กายวรยุทธ์ระดับที่หก แล้ว ฉินหยุนเลือกถอยห่างออกมาก่อน ตอนนี้เขา
เตรียมใช้ พลังจิตส่งยันต์สะกดจิตไปยังหอคอยสังเกตการณ์ เพื่อทําการ
สะกดจิตพวกคนที่อยู่ด้านบน
เมื่อคนจากหอสังเกตการณ์ทั้งสามหลับใหล เขาจึงปล่อย ราชสีห์สีเงิน
ออกพร้อมนําเอากระบออกมา อันดับแรก เขาใช้ยันต์สะกดกายเพื่อทํา
การสะกดผู้คุมรอบหลุม เหมือง จากนั้นจึงใช้ราชสีห์สีเงินเพื่อค้นหาหน่วย
ลาดตระเวน และกําจัดทิ้ง
หลังจัดการพวกผู้คุมรอบนอกได้แล้ว ฉินหยุนจึงใช้เคล็ดวิชาเท วะควบคุม
นํ้ากระบี่ร่อนออกไป ด้วยการกวัดแกว่งไม่กี่ครั้ง เขา ก็สังหารผู้คุมที่
โหดเหี้ยมทั้งหมดลงได้!
เมื่อจัดการเสร็จเรียบร้อย เขาค่อยถอนหายใจโล่งอก เขาค่อนข้างพึงพอใจ
กับฝีมือการลอบสังหารครั้งนี้ไม่น้อย ไม่ไกลออกไป เสียงสุนัขเห่าดังขึ้น
หน่วยลาดตระเวนที่ขี่สุนัข ตัวใหญ่ไม่มีกําลังพอให้ต่อสู้กับราชสีห์สีเงินอยู
แล้ว เขาไม่ จําเป็นต้องห่วงแต่อย่างใด เมื่อกลุ่มแรงงานทาสด้านล่างได้
เห็นผู้คุมถูกฆ่าตายจนหมด
พวกเขาแตกตื่นและตกอยู่ในอาการหวาดกลัว ฉินหยุนสวมใส่หน้ากาก
โยนพวงกุญแจโซ่ตรวนแก่พวกเขา
“ปลดโซ่ตรวนพวกเจ้าและออกไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุด!” เขาพบว่ามี
แรงงานทาสหลายคนที่อยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ ระดับที่สามหรือสี่ กระทั่งมี
ชายชราที่เป็นระดับห้า
“นี่โดนจับมาได้อย่างไรกัน?” ฉินหยุนเอ่ยถาม
“ตําหนักตะวันตกบอกว่าพวกมันกําลังคัดเลือกผู้ฝึกตน พวก มันบอกว่า
พวกเราสามารถนําบุตรหลานไปยังตําหนักตะวันตกได้ ใครกันจะคิดว่า
พวกมันคิดก่อการชั่วร้ายเพียงนี้?” ชายชรา ตอบกลับอย่างโกรธแค้น
“ท่านผู้กล้า ท่านกระทําการต่อต้านตําหนักตะวันตก ท่านต้อง ระมัดระวัง
ตัวให้ดี พวกมันโหดเหี้ยมผิดมนุษย์นัก” หลายคนต่างเอ่ยเตือนฉินหยุน
ด้วยความเป็นห่วง ว่าตําหนัก ตะวันตกจะไม่ปล่อยวาง พวกเขายังเร่งรีบ
กล่าวขอบคุณ ฉินหยุนตอนนี้เห็นกองแร่เหล็กวิญญาณชั้นเลิศวางไว้ หลัง
ผ่าน การขัดเกลา เขาจะสามารถได้รับเหล็กวิญญาณชั้นเลิศจํานวน มาก
แต่ตอนนี้ยังไม่มั่นใจนักว่าจะมากเท่าใด หลังช่วยเหลือแรงงานทาส พวก
เขาได้บอกต่อเขาว่าแร่เหล็ก วิญญาณชั้นเลิศที่นี่แทบถูกขุดออกมา
หมดแล้ว เพราะมันเป็น แค่เหมืองขนาดเล็ก
“ตลอดเส้นทางกลับขอให้ทุกคนระวังตัว ทางที่ดีต้องไปแจ้ง เรื่องนี้ต่อ
ตําหนักจารึกเทวะ!” ฉินหยุนแนะนําพวกเขา
ณ เวลานี้ มีเพียงตําหนักจารึกเทวะที่สามารถคานอํานาจกับ ตําหนัก
ดวงดาววิญญาณสีครามท้ายที่สุด กลุ่มคนกล่าวขอบคุณฉินหยุนอีกครั้ง
ก่อนจะเร่งร้อน พาบุตรหลานของตนจากไป ทางด้านฉินหยุน เขาเริ่ม
สํารวจหลุมที่เป็นเหมืองแห่งนี้ก่อน ตระหนักได้ ว่าแท้จริงมันแทบไม่เหลือ
แร่เหล็กวิญญาณอยู่แล้ว ต่อให้เขาคิดอยากขุดมันเพิ่ม เขาก็คงได้ไม่มาก
นัก
แต่อย่างไร ตอนนี้เขาก็ได้รับแร่เหล็กวิญญาณส่วนใหญ่มาครอบครองเป็น
ที่เรียบร้อยแล้วด้วย รุ่งสาง ฉินหยุนจึงโยนศพคนของตําหนักตะวันตกลง
ในหลุมที่ เป็นเหมืองก่อนเผาร่างพวกเขาเหล่านั้นด้วยยันต์อัคคี จากนั้น
จึงค่อยเดินทางมุ่งหน้าสู่ยอดเขาชี้นําวิญญาณดวงดาวต่อ ข่าวคราวเรื่อง
แดนต้องห้ามเทียนชื่ถูกอุกกาบาตตกลงมา ทําลายล้างแพร่กระจายไปยัง
หลายพื้นที่อย่างรวดเร็ว ขณะที่ผู้คนสนทนากันอย่างออกรสต่อเรื่องนี้ อีก
หนึ่งข่าวคราว ชวนตื่นตะลึงก็บังเกิดขึ้น!
ที่สถาบันยุทธ์เทียนเสวียน ศิษย์ทั้งเจ็ดคนที่อยู่ขอบเขตกายวร ยุทธ์ระดับที่
เจ็ด พวกเขาเหล่านี้ขณะออกไปหาประสบการณ์ ภายนอก กลับถูกทําให้
พิการจนสิ้น บุคคลที่ลงมือก่อการคือเชี่ยวเย่ว์เหม่ย! ย้อนกลับไปตอนนั้น
อาจารย์จากสถาบันยุทธ์เทียนเสวียนคือผู้ ที่ส่งฉินหยุนเข้าแดนต้องห้าม
เทียน เชี่ยวเย่ว์เหม่ยมีสัมพันธ์อันดีกับฉินหยุน หลังนางหายตัวไป
นางจึงเริ่มแสวงการล้างแค้นแก่ฉินหยุน นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนล้วน ตระหนักได้
บรรดาศิษย์ที่โดนเชี่ยวเย่ว์เหยทําให้พิการเหล่านั้น ก็คือศิษย์ ของอาจารย์
ผู้ที่ลงมือก่อการ! ครั้งเชี่ยวเย่ว์เหม่ยมีพลังขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่หก
นางก็ แข็งแกร่งมากอยู่แล้ว นางสามารถทัดเทียมได้กระทั่งผู้ฝึกตน
ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เจ็ดหลายคนด้วยซํ้า และตอนนี้นาง ก้าวสู่
ระดับที่เจ็ด พละกําลังของนางยิ่งน่าสะพรึงเกินผู้ใด คาดคิด
ไม่นานนัก ข่าวคราวเรื่องศิษย์ที่โดนทําให้พิการก็แพร่กระจาย ออกอีกครั้ง
และก็เป็นเชี่ยวเย่ว์เหม่ยลงมือ! ตั้งแต่แดนต้องห้ามเทียนชื่ถูกอุกกาบาต
ทําลาย เชี่ยวเย่ว์เหม่ย มุ่งเน้นแต่แสวงหาการล้างแค้น ไม่เพียงนางล้าง
แค้นต่อ อาจารย์ของสถาบันยุทธ์เทียนเสวียน นางกระทั่งคิดแสวงการ
ล้างแค้นต่อพี่ชายของนางอย่างเชี่ยวหยางหลง!
ที่จักรวรรดิเทียนเชียว ข้าราชบริพารเฒ่าซึ่งมีสัมพันธ์อันดีกับ เซี่ยวหยาง
หลง พวกเขาล้วนเป็นนักรบแข็งแกร่งกลับโดนลอบ สังหารในคฤหาสน์
ของตนเอง เป็นผลให้บรรดาขุนนางของ จักรวรรดิเทียนเชี่ยวตกอยู่ใน
ภาวะตึงเครียดและแตกตื่น พวกเขาแทบไม่อาจทําอะไรได้ เนื่องจาก
ผู้ก่อการต่อพวกเขา คือองค์หญิงแห่งจักรวรรดิเทียนเชียว!
สร้อยข้อมือมิติเก็บของของเชี่ยวเย่ว์เหม่ย ครั้งหนึ่งโดนเชี่ยวห ยางหลงฉก
ชิงเอาไปและทําลาย นี่คือสาเหตุของการล้างแค้น ครั้งนี้
บริเวณหน้าประตูตําหนักตะวันออกของตําหนักดวงดาว วิญญาณสีคราม
เชี่ยวหยางหลงมาพบเชี่ยวเย่ว์หลานอีกครั้ง และครั้งนี้กระทั่ง นําเชี่ยว
เสวียนฉินร่วมทางมาด้วย
“เย่ว์หลาน นี่คือพระราชโองการลับ!” เมื่อเซี่ยวหยางหลงพบ เชี่ยวเย่ว์
หลานเดินออกมา เขาจึงเร่งร้อนส่งจดหมายในมือให้ เมื่อเชียวเย่ว์หลาน
รับมันไป มือขาวราวดอกไม้งดงามของนาง พลันเกิดกระแสความร้อน
เปลวเพลิงลุกโชน เผาไหม้จดหมาย นั้นกลายเป็นธุลี
“เย่ว์หลาน เจ้า” เชี่ยวเสวียนฉันคิ้วขมวดกล่าวด้วยความ เป็นกังวล
“พระบิดาเจ้าต้องการให้เจ้าร่วมมือค้นหาเย่ว์เหม่ย เรื่องนี้เร่งด่วนนัก มัน
อาจส่งผลกระทบต่ออนาคตของจักรวรรดิ เทียนเซี่ยวของเรา!”
“ข้ากําลังจะแต่งออกสู่จักรวรรดิอื่นแล้ว เหตุใดข้าต้องสนใจ อนาคตของ
จักรวรรดิเทียนเชี่ยวด้วยกัน?” เชี่ยวเย่ว์หลานเผย เสียงเย็นเยือก
นางเดิมที่คาดหวังให้ฉินหยุนมาที่งานพิธีอภิเษกสมรส นาง คาดหวังคิดใช้
ความวุ่นวายที่อีกฝ่ายก่อหาทางหลบหนี แต่ ตอนนี้ฉินหยุนตายไปแล้ว
นางจึงตกอยู่ในความสิ้นหวัง ผู้อื่นล้วนบอกได้ว่าเชี่ยวเย่ว์หลานไม่ยินดียิ่ง
กับการแต่งงาน ครั้งนี้ หากไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่ามีหญิงชราขอบเขตวร
ยุทธ์ เต๋าสองคนตามติดนางไม่ห่าง นางคงหาทางหนีไปได้แล้ว เชี่ยวหยาง
หลงกําหมัดแน่น นํ้าเสียงกล่าวด้วยความโกรธเคือง
“เย่ว์เหม่ยทําผู้ติดตามข้าหลายสิบคนพิการ เจ้าจะยอมให้นาง ก่อการ
เลวร้ายเช่นนี้ต่อไป?” เชี่ยวเย่ว์หลานแค่นเสียงจากลําคอ
“พวกเจ้าก็ก่อเรื่องชั่วช้า ต่อนางก่อนหรือไม่ใช่? หากข้าพานางกลับมา
นางก็จะมีชะตา เช่นเดียวกับข้า นางจะต้องเสียสละตัวเองเพื่อ
ผลประโยชน์ พวกเจ้า ถูกขายออกแลกผลประโยชน์ ข้าไม่คิดให้นางตกอยู่
ใน สถานการณ์เช่นข้า! นางคือคนที่ใกล้ชิดกับข้าที่สุด นางเป็น อิสระถือ
เป็นเรื่องดี ในฐานะพี่สาว ข้ารู้สึกยินดีนัก!”
เชี่ยวเสวียนฉินกัดฟันแน่นขณะกล่าว “ข้าขอสัญญา ตราบ เท่าที่เย่ว์เหม่ย
หยุดมือต่อเรื่องนี้ นางจะไม่ต้องถูกส่งไป แต่งงาน...” นางรู้สึกผิดร้ายแรง
เป็นเพราะหากนางไม่ห้ามเชี่ยวเย่ว์เหม่ย เอาไว้ครั้งนั้น ฉินหยุนคงไม่ถูกส่ง
เข้าแดนต้องห้ามเทียนขี่ และ มันจะไม่มีทางเกิดเรื่องตามหลังมากมาย
เช่นนี้
“ท่านป้ากลับไปเสีย! เว้นแต่ฉินหยุนฟื้นคืนชีพมาได้ เย่ว์เหม่ย ไม่มีทาง
หยุด” เชี่ยวเย่ว์หลานกล่าวไม่ไว้หน้า ขณะที่เซี่ยวหยางหลงกําลังจะพูด
อะไรบางอย่าง คนหนุ่ม จํานวนหนึ่งพลันเร่งรีบเข้ามาพร้อมรายงานด้วย
อาการแตกตื่น
“ศิษย์พี่เชี่ยว เกิดเรื่องร้ายแรงแล้ว หนึ่งในเหมืองเหล็ก วิญญาณชั้นเลิศ
ของพวกเราถูกทําลาย ศิษย์ทั้งหมดที่เฝ้าระวัง เหมืองล้วนถูกสังหาร
สถานที่ทําเหมืองถูกเผาทําลายสิ้น” เชี่ยวหยางหลงคือหัวหน้าศิษย์ของ
ตําหนักตะวันตก และยังมี หน้าที่รับผิดชอบหลายสิ่งอย่าง พอได้ยินดังนี้
เชี่ยวเย่ว์เหม่ย พลันผุดในใจเขาโดยทันที
เชี่ยวเสวียนฉินขมวดคิ้ว “นี่เย่ว์เหม่ยเป็นคนทําอีกแล้วหรือ?” ใบหน้าของ
เชี่ยวเย่ว์หลานหาได้มีอารมณ์ใดไม่ นางเพียงหัน กายและเดินกลับเข้า
ประตูตําหนักตะวันออก เชี่ยวหยางหลงกัดฟันแน่น
“นอกจากนางเด็กนั่นแล้ว ใครกัน จะกล้าทํา? ต้องจับตัวนางให้ได้!” เชี่ยว
เสวียนฉันรู้สึกอับจน นางตอนนี้ทําได้เพียงแต่ออกค้นหา เชี่ยวเย่ว์เหม่ย
ต่อไป ตําหนักดวงดาววิญญาณสีครามเปรียบเสมือนดวงตะวันไม่มีทาง
มอดดับ แต่แล้วตอนนี้ เหมืองแสนสําคัญแห่งหนึ่งของพวก เขาถูกผู้อื่น
ทําลายฉกชิงเอาไป กล่าวกันว่านี่เป็นการล้างแค้นของเซี่ยวเย่ว์เหม่ยต่อ
เซี่ยวหยาง หลง ทั้งยังนับเป็นจุดเริ่มของการต่อต้านตําหนักตะวันตก
ขณะที่ตําหนักตะวันตกอยู่ในความโกลาหล จ้าวฉวนจาก ตําหนักจารึกเท
วะจึงมาเยือนหน้าทางเข้าหลักของตําหนัก ดวงดาววิญญาณสีคราม
หลังข่าวคราวเรื่องเหมืองของตําหนักตะวันตกถูกทําลาย ก็มี ข่าวลือว่า
พวกเขาได้ใช้แรงงานทาสอย่างโหดร้ายทารุนเพื่อทํา การขุดแร่เหล็ก
วิญญาณ ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีการใช้บุตรหลาน ของแรงงานที่ถูกทําร้าย
เป็นการข่มขู่ เรื่องนี้ดึงความสนใจของ ตําหนักจารึกเทวะมากนัก ผู้ฝึกตน
หลายคนยังรู้สึกโกรธแค้นต่อ เรื่องนี้เช่นกัน
ตอนที่ 173 ยอดเขาชี้นําวิญญาณดวงดาว
ในตอนนี้ ชื่อเสียงของตําหนักตะวันตกมลายหาย เชี่ยวหยาง หลงผู้ซึ่งรับ
หน้าที่ดูแลเหมือง เขาโดนกดดันให้ต้องรับผิดชอบ ต่อเรื่องนี้ ยิ่งเป็นผลให้
เขาเกลียดชังเชี่ยวเย่ว์เหม่ยยิ่งขึ้น ฉินหยุนเป็นตัวการที่ก่อเรื่องครั้งนี้ เขา
ยังคงอยู่ในเทือกเขาเมฆ มังกร และกําลังมุ่งหน้าไปยังทิศเหนือเพื่อค้นหา
ยอดเขาชี้นํา วิญญาณดวงดาว
ในอีกไม่กี่วันให้หลัง ฉินหยุนยังคงมุ่งหน้าสู่ภูเขาทางตอนเหนือ ท้ายที่สุด
เขาจึงมาถึงบึงนํ้าแห่งหนึ่ง ที่แห่งนี้มียอดเขาสูงหลาย สิบแห่งปรากฏขึ้น
จากพื้น แต่ละยอดเขาล้วนสูงหลักพันถึง หลักหมื่นเมตรกันทั้งสิ้น ระหว่าง
ทางมาที่นี่ เขาได้เจอกับสัตว์ปีศาจระดับแปด ทว่าก็สามารถหลบเลี่ยงมา
ได้
ภายหลัง เขาพบเจอกลุ่มวิญญาณสัตว์ ร้าย จึงลงมือสังหารพวกมันด้วย
ยันต์สะกดวิญญาณ เฉียวรุ่ยเหวิ่นกล่าวว่าในยามคํ่าคืน หากยืนทางทิศใต้
และรอให้ ดาวเหนือทมิฬปรากฏ มันจะเป็นตัวนําทางบ่งชี้ถึงยอดเขาชี้นํา
วิญญาณดวงดาว ตอนนี้ตะวันใกล้ลับฟ้า ฉินหยุนจึงรอคอยที่บึงนํ้าอย่าง
อดทน เก้าตะวันค่อยเลือนลับหายจากขอบฟ้า ความมืดยามคํ่าคืนมา
เยือน ดวงดาวเริ่มปรากฏส่องแสงกลางท้องฟ้ายามคํ่าคืน ฉินหยุนยืนอยู่
ทางทิศใต้ เขากําลังมองขึ้นไปยังท้องฟ้าทางทิศ เหนือ ไม่ช้า เขาได้พบว่า
มีดาวเหนือทมิฬปรากฏขึ้นบนยอด เขาแห่งหนึ่ง
“ต้องเป็นภูเขาลูกนั้น!” เขาตอนนี้ลอบยินดีขณะเร่งรีบใช้ก้าว อัคคีเมฆา
ขึ้นไปด้านบน ด้วยการทะยานกายผ่านอากาศ เขา เร่งรีบมุ่งหน้าสู่ยอด
เขาชี้นําวิญญาณดวงดาว
ยอดเขาชี้นําวิญญาณดวงดาวไม่ได้สูงที่สุดในยอดเขาแถบนี้ มันสูงราว
สามถึงสี่พันเมตรเท่านั้น รูปลักษณ์ก็ไม่มีอะไรพิเศษ มันธรรมดาจนไม่มี
ผู้ใดสังเกตเห็นถึงได้ ฉินหยุนเร่งรีบมุ่งหน้าสู่ยอดเขาดังกล่าว เขาได้เห็น
แท่งเสาสูง ราวครึ่งเมตรอยู่หลายแห่งบนยอดเขา เมื่อนับเรียบร้อยจึง
พบว่ามันมีเสาทั้งสิ้นเก้าสิบเก้าแท่ง พวกมันต่างถูกปกคลุมด้วยวัชพืชและ
ฝุ่นกาลเวลา
“เสาพวกนี้น่าจะเป็นเสาค่ายอาคม นี้จะต้องเป็นค่ายอาคม ขนาดใหญ่
มาก แต่เป็นเพราะไม่มีคนดูแลมานานหลายปีแล้ว มันเลยถูกฝุ่นและ
วัชพืชปกคลุมงั้นสินะ” ฉินหยุนเริ่มทําการถอนหญ้าและเถาวัลย์พืชเพื่อทํา
ความ สะอาดยอดเขาแห่งนี้ เขากระทั่งต้องใช้แรงไม่น้อยเพื่อถอน หญ้า
จากสิ่งนี้ทําให้เขาได้พบว่าหญ้าพวกนี้มีความทนทาน และเหนียวยิ่ง
ผ่านการทําความสะอาดไปหลายชั่วโมง ลานกว้างวงกลม ขนาดกว่าหนึ่ง
ร้อยเมตรจึงปรากฏที่ยอดเขา แท่งเสาที่หนาและ สั้นพวกนั้นคือสิ่งที่ราย
ล้อมลานกว้างแห่งนี้เอาไว้ ฉินหยุนพิจารณามองตามพื้น ก่อนตระหนักได้
ว่ามีลายเส้น ซับซ้อนจํานวนมาก
“ไม่รู้เลยว่านี่มันผังวิญญาณอะไร แถมที่เห็นก็แค่เส้นสว่าง น่าเสียดาย
นัก” ฉินหยุนลอยขึ้นกลางอากาศขณะสํารวจมองลานกว้างวงกลม เบื้อง
ล่าง เขาตอนนี้สามารถเห็นการแกะสลักที่เป็นยังได้ครบ
ทุกซอกมุม สิ่งนี้คือผังก้นหอย มันคล้ายกับดาราจักรรูปทรงก้นหอยบน
ท้องฟ้า เสาหินที่หนาและสั้นเหล่านี้ ถูกจัดเรียงเอาไว้เพื่อทําให้ เกิดขึ้น
เป็นแขนของก้นหอย
“นี่ราชันยุทธ์หลนเซียวสร้างค่ายอาคมแห่งนี้ไว้นานเพียงใด กัน?” ฉินหยุน
เกิดความสงสัยยิ่ง เป็นเพราะผังวิญญาณนับหมื่นที่แกะสลักเอาไว้ มัน
มากขนาดไม่อาจนับ พวกมันล้วนถูก แกะสลักจัดทําขึ้นอย่างพิถีพิถัน เขา
ร่อนลงตรงกลางค่ายอาคมขณะนั่งขัดสมาธิกับพื้น จากนั้น จึงใช้พลังจิต
เข้าสู่ตัวอาคมและเริ่มสัมผัสถึงมัน ค่ายอาคมจะ ค่อย ๆ ตื่นขึ้นทีละนิด
“มหาอาคมระดับนี้ถึงกับต้องดึงดูดพลังดวงดาวมาใช้” ฉินหยุนตระหนก
ขณะมองรอบ เขาพบว่าแสงปริมาณมหาศาล กําลังไหลหลั่งเข้าหาเสาทั้ง
เก้าสิบเก้าต้น มหาอาคมนี้คล้ายสุกสว่างขึ้น ราวกับมันคือดาราจักรที่เต็ม
ไป ด้วยหมู่ดาว
“ไม่อยากจะเชื่อ!” ฉินหยุนอุทานวนซํ้า มหาอาคมทํางานสําเร็จ มันกําลัง
ดูดกลืนพลังดวงดาวอย่างบ้า คลั่งเพื่อทําให้มหาอาคมทํางานตาม
กระบวนการ ฉินหยุนนั่งลงที่อาคมขณะหลับตา เขาเริ่มฝึกฝนวิถีหัวใจ
ตะวัน ดาราอย่างเงียบงันขณะโคจรจิตวิญญาณต้นกําเนิดไปด้วย
ด้วยเหตุใดไม่ทราบ เขารู้สึกคล้ายตกอยู่ในทะเลดวงดาวขนาด ใหญ่ มัน
ค่อย ๆ เคลื่อนคล้อยเข้าหาลูกไฟสีนํ้าเงิน เมื่อเขาเข้าไปใกล้ เขายิ่ง
ตระหนก เป็นเพราะนี่ไม่ใช่ลูกไฟสีนํ้า เงิน แต่มันคือดวงตะวันสีนํ้าเงินที่
ปล่อยความร้อนแรงมหาศาลออกมา
ที่น่าสะพรึงที่สุดก็คือ ดวงตะวันสีนํ้าเงินนี้ใหญ่เกินจะกล่าว ต่อ หน้าดวง
ตะวันสีนํ้าเงิน เขาไม่ต่างอะไรกับฝุ่นธุลีเล็กน้อย สติของเขายังคงเคลื่อน
ไปอย่างต่อเนื่องเพื่อเข้าสู่ดวงตะวันสีนํ้า เงิน เขาได้พบว่าแท้จริงแล้ว
ภายในมีหมาป่าตัวใหญ่หลับใหล อยู่ด้านใน
เขาพยายามใช้จิตสํานึกของตัวเองปลุกหมาป่าตัว นั้น แต่กลับไร้อาการ
ตอบสนอง หลังล้มเหลว จิตสํานึกของเขาจึงออกจากดวงตะวันสีนํ้าเงิน
ออกท่องไปทั่วทะเลดวงดาว ที่ทําเขาแตกตื่นที่สุดคือ ขณะนี้ เขาอยู่ในห้วง
อวกาศ มันมีดวงตะวันขนาดใหญ่มากมายอยู่เต็ม ไปหมด แต่ละแห่งล้วน
มีสีที่แตกต่างกันออกไป ดวงตะวันส่วนใหญ่ล้วนว่างเปล่าและไร้ซึ่งชีวิต
ดวงวิญญาณที่ อยู่ภายในคล้ายตายไปนานยิ่งแล้ว
“มีดวงตะวันเช่นนี้คงอยู่ในท้องฟ้ายามคํ่าคืนจํานวนมาก เป็น เพราะพวก
มันอยู่ห่างไกลจากเรามาก ที่พวกเราได้เห็นจึงเป็น เพียงแค่แสงดาวเล็ก
จ้อย... สงสัยจริงว่าในเก้าดวงตะวันของ โลกเรานั้นมีอะไรอยู่ภายใน?”
ขณะฉินหยุนท่องทั่วดาราจักรกว้างใหญ่ เขาตระหนักได้ว่ามี ดวงตะวัน
สองดวงในแต่ละพื้นที่ บางแห่งก็มีสามหรือสี่ สําหรับ บริเวณที่มีห้าหรือ
หกดวงนั้น มีน้อยยิ่ง เก้าตะวันที่เขาคุ้นเคย หาได้ยากยิ่ง นอกจากนี้ มันยัง
ลอยขึ้น และตกลงเป็นเวลาพร้อมกัน พวกมันไม่ได้โคจรซึ่งกันและกัน
“ดูเหมือนมหาอาคมของยอดเขาชี้นําวิญญาณดวงดาวนี้ จะทํา ให้ผู้คน
สามารถเข้าสู่สายธารแห่งดวงดาว เพื่อค้นหาวิญญาณ ยุทธ์ที่เหมาะสม
กับตนเองได้”
ฉินหยุนท่องไปในสายธารแห่งดวงดาวไร้สิ้นสุด ภายในใจเปี่ยม ไปด้วย
ความอยากรู้เห็น เขาอยากได้รับพลังอันแข็งแกร่ง มี เพียงแต่การท่องไป
เรื่อย ๆ เท่านั้นจึงสามารถสํารวจทะเล ดวงดาวอันลึกลับเหล่านี้ได้ เขา
กระทั่งไม่ทราบว่าตนเองท่องไปในทะเลดวงดาวนี้นาน เพียงใดแล้ว เขา
ทราบเพียงแต่ตนตอนนี้อยู่ท่ามกลางกลุ่มดาว ยักษ์จํานวนมหาศาล
“หรือเป็นเพราะพวกมันไม่ยอมรับเรา?” ฉินหยุนถอนหายใจ ออก เขาทํา
ได้เพียงแต่เร่ร่อนไปเรื่อยเข้าหาศูนย์กลางของดารา จักรก้นหอย เป็น
เพราะที่ตรงนั้นคือสถานที่ซึ่งแสงสว่างแรง กล้าที่สุด หมายความว่ามัน
จะต้องมีมหาดวงตะวันอยู่จํานวน มาก
เขาเองยังไม่ทราบว่าเพราะอะไรจิตสํานึกของตนเองสามารถ ลอยไปได้
อย่างรวดเร็ว เพียงพริบตา เขาได้มาถึงตรงศูนย์กลาง ของดาราจักรก้น
หอย ที่แห่งนี้มีดวงตะวันขนาดใหญ่ยักษ์ จํานวนมาก พวกมันทั้งร้อนแรง
และน่าสะพรึง พวกมันล้วนใหญ่โตยิ่งกว่าดวงก่อนหน้าที่เขาพบพานมา
อย่างไม่อาจเทียบ เปรียบ
ที่ทําฉินหยุนตระหนกที่สุดก็คือ ตรงศูนย์กลางของดาราจักรกัน หอยแห่งนี้
มันคือทรงกลมสีดําสนิท มันเป็นทรงกลมสีดําที่ชวน พรั่นพรึง ยากแก่การ
มองเห็น เหตุผลว่าทําไมเขาจึงสามารถมองเห็นพวกมัน ก็เพราะดวง
ตะวันขนาดยักษ์เหล่านี้ส่องแสงลุกโซนรอบทรงกลมสีดําลูกนั้น ดวงตะวัน
เหล่านี้ปลดปล่อยลําแสงรุนแรงออกมา ทว่าไม่มี ลําแสงใดในพวกมันจะ
สามารถส่องให้เห็นทรงกลมสีดําสนิท นั้นได้เลย ร่างของฉินหยุนสั่นเทิ้ม
จิตสํานึกของเขาคล้ายไม่มั่นคง ด้วย อะไรไม่ทราบ ร่างกายเขากลับเปี่ยม
ด้วยความหวาดกลัวจนถึง จิตวิญญาณ มันคล้ายกับเขากําลังจะโดนมัน
ดูดกลืนเข้าไป
“ใจเราต้องหนักแน่น มีเพียงใจหนักแน่นไม่หวั่นเกรงความ กลัว! ยิ่งชวน
ตื่นตะลึงเท่าไหร่ มันก็ยิ่งท้าทายมากขึ้น!”
ถึงตอนนี้ เขานึกย้อนไปถึงตอนวัยเด็กที่เส้นวิญญาณถูกพราก เอาไป เขา
นึกย้อนถึงตอนหยางฉีเย่ว์เผยสีหน้าอับจนยอมรับต่อ ชะตากรรม คลื่น
ความรู้สึกรุนแรงทะลักออก มันค่อย ๆ ทําให้ เขาสงบใจลงต่อความ
หวาดกลัวได้ หลังดึงสติกลับคืนมาได้ เขาค่อยมองทรงกลมสีดําขนาด
ใหญ่ ตรงหน้า และทะยานกายออกไปหามันอย่างรวดเร็ว
ทั่วทั้งดาราจักรทรงก้นหอยแห่งนี้ มั่นหมุนวนเคลื่อนคล้อยไป ตามทรง
กลมสีดําตรงหน้า นี่แสดงให้เห็นแล้วว่าทรงกลมสีดํา ตรงหน้านี้มีพลังชวน
พรั่นพรึงระดับใด!
แม้ทรงกลมสีดําขนาดใหญ่ยิ่ง แต่มันกลับเล็กยิ่งนักหากเทียบ กับทั้งดารา
จักร มันคล้ายจุดเล็กจ้อยตรงกลางดาราจักรทรงก้น หอย กระนั้นกลับมี
พลังให้ทั้งดาราจักรเคลื่อนคล้อยรอบตัวของ มันได้ จิตสํานึกของฉินหยุน

ไม่มีความคิดเห็น :

แสดงความคิดเห็น