ตอนที่ 222 ศักดิ์ฐานะของอาจารย์จารึก
“ในตอนนี้ข้าไม่มี!” ฉินหยุนไม่ยินดีมอบสร้อยข้อมือมิติเก็บ ของแก่ห
ลันเฟิ งจิน อย่างไรแล้ว เขาก็ไม่ได้คุ้นเคยกับนางอะไร มากขนาดนั้น
นอกจากนี้สร้อยข้อมือดังกล่าวยังลํ้าค่าอย่างยิ่ง หลันเฟิ งจินหัวเราะ
“ไม่มีเลยหรือ? อย่างนั้นเมื่อไหร่จะมี?” อาจารย์ผู้อื่นล้วนบอกได้จาก
นํ้าเสียงของหลันเฟิงจิน ว่าเป็น นางกําลังข่มขู่ฉินหยุนและคิดอยากให้เขา
นําเอาสร้อยข้อมือมิติ เก็บของออกมา หากเป็นเช่นนั้นจริง พวกเขาคง
อิจฉาจนแทบ ตายตกกันแล้ว"
“ท่านต้องรอจนกว่าวิญญาณยุทธ์ไฟของข้าจะฟื้นฟูสมบูรณ์ดี จากนั้นข้า
ค่อยมอบสร้อยข้อมือมิติเก็บของแก่ท่าน” ฉินหยุน ยิ้มกล่าว
“ได้! เช่นนั้นมาเป็นศิษย์ข้า อย่าได้ลืมคํากล่าวเมื่อครู่ หากเจ้า กล้าลวง
หลอกต่อข้า บทเรียนใหญ่หลวงได้ถึงตัวเจ้าแน่” หลันเฟิ งจินไม่คิดฝัน
บังคับเอาสร้อยข้อมือมิติเก็บของแต่อย่าง ใดอีก นางเพียงแค่แสดงเพื่อให้
ผู้อื่นเข้าใจว่าเหตุใดนางจึงรับ ฉินหยุนเป็นศิษย์ ฉินหยุนถอนหายใจโล่
งอกพยักหน้า จากนั้นจึงเดินไปทางหลันเฟิ งจิน
หลันเฟิ งจินแท้จริงยอมรับฉินหยุนเป็นศิษย์ เรื่องนี้ทําเอาศิษย์ ผู้อื่นริษยา
ยิ่ง พวกเขาไม่คิดว่าฉินหยุนจะได้รับการยอมรับ จากหลันเฟิ งจินเพียง
เพราะสร้อยข้อมือมิติเก็บของ แท้จริงฉินหยุนและหลันเฟิ งจินมีสัมพันธ์ที่ดี
ต่อกันไม่น้อย พวก เขาต่างทราบความลับของกันและกันดี แต่กับผู้อื่น
ล้วนไม่ใช่ หลันเฟิ งจินคัดเลือกศิษย์ได้สี่คนแล้ว ไม่ว่าจะมีศิษย์อื่นที่มี
พรสวรรค์มากล้นมาแต่ใดอีก นางก็ไม่มีสิทธิ์เลือกอีกต่อไป ฝูงชนไม่เข้าใจ
ว่าเหตุใดนางไม่ทําเช่นเชี่ยวหยางหลง ผู้ซึ่ง คัดเลือกแต่ขอบเขตกายวร
ยุทธ์ระดับที่แปด ด้วยความสามารถระดับนาง ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่
แปดย่อมยินดีติดตามอยู่ แล้ว
เชี่ยวหยางหลงกัดฟันกรอดเมื่อได้เห็นดังนี้ เป็นเขาทราบดีว่าหลันเฟิ งจินท
รงพลังเพียงใด นางเป็นบุคคลที่เขาไม่กล้ายั่วยุ และตอนนี้ฉินหยุนเป็น
ศิษย์ของหลันเฟิ งจิน เชี่ยวหยางหลงไม่ ยินดีอย่างยิ่ง ทั้งนี้เขายังเป็นกังวล
ว่าหน่วยของหลันเฟิ งจินจะ เหนือยิ่งกว่าพวกเขา หลังเสร็จสิ้นการคัดเลือก
ศิษย์ พวกเขาจึงเริ่มแบ่งออกกันเป็น หน่วย แต่ละหน่วยจะเลือกผู้นํา
หน่วยขึ้นมา
“พวกเจ้าคนใดคิดเสนอตัวอยากเป็นผู้นําหน่วยบ้าง?” หลันเฟิ งจินหันมอง
เสวี่ยซือเยี่ยคล้ายคิดอยากให้นางเป็นผู้นํา กรณีนี้ นางไม่หันมองฉินหยุน
และคณะแต่อย่างใด
“แม่นางเสวี่ย การฝึกฝนของท่านสูงที่สุด ท่านควรต้องรับ แล้ว” แม้เขา
ชอบหยอกล้อหญิงสาว แต่มู่หรงต้าเหรินไม่กล้า ยั่วยุเสวี่ยซือเยี่ย
นอกจากนี้ยังมีหลันเฟิงจนอยู่ด้วย
ฉินหยุนสามารถบอกได้ว่าภายในใจอีกฝ่ายคิดทําอย่าง แต่ไม่ กล้า
เพียงพอกระทํา ส่วนใหญ่แล้วเขาเพียงกล้าต่อหญิงสาว ทั่วไป หากคนที่
พบเป็นผู้เหี้ยมโหดเช่นเพิ่งเฟยหลิง เขาคงหลบ ลี้หนีให้ห่างแล้ว
“ข้าไม่สน!” เสวี่ยซือเยี่ยกล่าวตอบเฉยชา เฉินหยุนเอ่ยคํา “งั้นให้ข้าเป็น
ผู้นําหน่วย!” เสวี่ยซือเยี่ยไม่สนใจเป็นผู้นําหน่วย มู่หรงต้าเหรินและฮั่วจง
ยอมรับฉินหยุน ด้วยเหตุนี้จึงไม่คัดค้านแต่อย่างใด ด้วยเหตุนี้ ฉินหยุนจึง
กลายเป็นผู้นําหน่วย
“หัวหน้าหน่วยทุกคน ออกมาและรับไข่มุกลึกลํ้า!” ผู้อํานวยการไป่กล่าว
คํา
“ไข่มุกลึกลํ้าสามารถดูดกลืนพลังงาน จากแก่นอสูร สิ่งแรกที่พวกเจ้าควร
กระทําเมื่อสังหารสัตว์อสูร ได้ คือคว้าเอาแก่นอสูรออกมา มีเพียงแก่นอสูร
ที่เพิ่งเอาออกมา จากร่างภายในหนึ่งชั่วโมงจึงค่อยใช้ไข่มุกลึกลํ้าดูดกลืน
ดังนั้น แล้วหากคิดซื้อหาแก่นอสูรจากตลาดถือว่าไร้ค่า” การแข่งขันเริ่มขึ้น
แล้ว เรื่องนี้เป็นผลให้ศิษย์หลายคนตื่นเต้น
เมื่อซุนจินเฮ่าออกไปรับไข่มุกลึกลํ้า เขาจึงกล่าวคําต่อ ผู้อํานวยการไป่
“ผู้อํานวยการ โปรดขับไล่ฉินหยุนออกจาก สถาบันเทียนเจียว เขาคือ
บุคคลน่าสงสัยยิ่ง ข้าเป็นกังวลว่าเขา จะทําร้ายศิษย์ผู้อื่นของสถาบัน
เทียนเจียวของเรา” ศิษย์ผู้อื่นที่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับแปดเอ่ยคําขึ้น
“ตลอด ช่วงปีที่ผ่านมา ฉินหยุนทําลายอัจฉริยะไปหลายต่อหลายคน เขา
คล้ายเป็นนักล่าสังหารอัจฉริยะ ดังนั้นข้าจึงคิดร้องขอต่อ ท่าน
ผู้อํานวยการให้ขับไล่เขาออกจากสถาบันเทียนเจียว” บุคคลขอบเขต
กายวรยุทธ์ระดับที่แปดนี้ ก็เป็นศิษย์ของเชี่ยวห ยางหลง ชัดเจนว่าเป็น
เชี่ยวหยางหลงบงการให้ก่อเรื่อง ฉินหยุนหัวเราะรับ
“พวกเจ้าล้วนสมองมีปัญหากันหรือ? หาก รัชทายาทเทียนหลิงคิดสังหาร
ข้าเพื่อสร้างชื่อแก่ตนเอง ข้าไม่ อาจทําเช่นเดียวกับเขาได้หรือไร? ข้าไม่
อาจต่อต้านใดได้จน ต้องยินยอมให้ถูกสังหารหรือ? ไร้สาระสิ้นดี!”
“ชื่อวี้และฉินเจิ้งเฟิง พวกมันทั้งสองประลองยุทธ์กับข้า และ เป็นผู้ที่
โหดเหี้ยมต่อข้าก่อน พวกเจ้าคิดว่าข้าสมควรปล่อยให้ พวกมันสังหารข้า
หรือ? ในมุมมองพวกเจ้า คิดอยากให้ข้าตบ ใบหน้าเป็นการขอบคุณดี
หรือไม่?”
“กล่าวถึงผู้ชั่วช้า อาจารย์ผู้สอนพวกเจ้า เชี่ยวหยางหลงเองก็ มีความผิด
ไม่อาจให้อภัย ใครกันไม่ทราบว่าเขาแปรเปลี่ยนบิดา ตัวเองเป็นหุ่นเชิดไร้
ชีวิต? หากพวกเจ้าอยู่ร่วมกับมันสักชั่ว ระยะเวลาหนึ่ง คงได้กลายเป็น
สุนัขรับใช้มัน ไม่อาจลืมหูลืมตา ได้อีก
เชี่ยวหยางหลงโกรธแค้นตะโกนดัง “จินเฮ่า ไปตบปากมัน ให้แก่ข้า! มัน
กล้ากล่าววาจาไร้สาระ ปรามาสต่อข้าอย่าง รุนแรง มันสมควรได้รับการ
ลงทัณฑ์! อย่าได้กังวล ข้าอยู่ที่นี่ เจ้าสามารถตบใบหน้ามันสักสิบครั้งได้!”
ซุนจินเฮ่าได้ยินดังนี้ เขาจึงก้าวฝีเท้าออก มุ่งหน้ารวดเร็ว ท่ามกลางเสียง
ร้องอุทานของศิษย์หลายต่อหลายคน ฮั่วจงและมู่หรงต้าเหรินคิดอยาก
ช่วยเหลือ แต่พวกเขาโดนหลันเฟิ งจินรั้งเอาไว้ นางทราบดีว่าฉินหยุนไม่มี
ทางพ่ายแพ้
ทุกคนต่างเห็นซุนจินเฮ่าปรากฏตัวราวภูตผี เพียงฝ่ามือคิดตบที่ ใบหน้า
กลับเป็นเขาที่ร้องออกด้วยความเจ็บปวด
“สวะ!” ฉินหยุนตะโกนดังเย็นเยือกขณะไหววูบแขนราชสีห์ สวรรค์ มัน
ปลดปล่อยออกซึ่งสายฟ้าฟาดเข้าที่ใบหน้าซุนจิน เฮ่า จนเกิดขึ้นเสียงร้อง
คํารามของผู้ถูกกระทําอย่างโกรธแค้น ซุนจินเฮ่าถูกส่งร่างปลิวกระเด็น
หลายสิบเมตร ร่างล้มนิ่งกับ พื้นราวสุนัขตายตัวหนึ่ง เลือดกระอักออก
จากปาก ใบหน้าบูด บวมเลือดท่วม เชี่ยวหยางหลงเองก็พบว่าเรื่องราวผิด
ท่า แต่เขาไม่อาจหยุดยั้ง ไว้ได้ทัน
“ฉินหยุน เจ้ากล้าก่อเรื่องชั่วร้ายเพียงนี้ มาดูกันว่าข้าสั่งสอน อะไรเจ้าได้!”
เชี่ยวหยางหลงทะยานกายออกด้วยความโกรธ แค้น ตบหน้าซุนจินเฮ่าก็
เหมือนตบหน้าเชี่ยวหยางหลง ขณะที่เขา ทะยานกายออก เขาจึงได้เห็นห
ลันเฟิ งจินยืนหยัดตรงหน้าฉัน หยุน
หลันเฟิ งจินรวดเร็วยิ่งกว่าผู้ใด ราวกับนางเคลื่อนย้ายพริบตามา!
“เชี่ยวหยางหลง หากไม่อยากเป็นเช่นศิษย์ของเจ้าที่ต้องมี สภาพปากไร้ซึ่ง
ฟัน จงถอยไป” หลันเฟิ งจินแค่นเสียง นํ้าเสียง นี้คุกคาม หางตาของเซี่ยวห
ยางหลงกระตุกด้วยความโกรธแค้น เขาหัน กายกลับเดินไปช่วยรักษาซุน
จินเฮ่าที่ได้รับบาดเจ็บแทน
“อาจารย์ เป็นข้าไม่ระวัง ฉินหยุนมันโจมตีข้าด้วยพลังจิต” ซุน จินเฮ่าเคย
ได้ยินมาว่าฉินหยุนมีพลังจิตแกร่งกล้า แต่เขาไม่ ยอมรับว่าคือความจริง
เป็นเขาเชื่อมั่นในตนเอง ว่าพลังจิต ของฉินหยุนไม่อาจส่งผลอะไรต่อตน
ดังนั้นจึงหย่อนความระวัง ที่เขาไม่ทราบก็คือ ก่อนหน้านี้ไม่นาน ตู้ก๋วยเพิ่ง
ชี้แนะแก่ฉิน หยุนจนเข้าใจลึกลํ้ามากขึ้น เป็นเขาก้าวหน้าครั้งใหญ่ต่อ
เคล็ด วิชารวมจิตวิญญาณสังหาร เชี่ยวหยางหลงหันมองทางผู้อํานวยการ
ไป่และกล่าว
“ผู้อํานวยการ ท่านได้เห็นแล้วใช่หรือไม่? ฉินหยุนไม่คิดยั้งมือ นี่เป็น
หลักฐานว่าเขาเป็นภัยคุกคามต่อสถาบันเทียนเจียว ข้า หวังว่าท่านจะ
ตัดสินใจขับไล่เขาออกจากสถาบันโดยเร็ว” ผู้อํานวยการไป่หัวเราะเบา
“เชี่ยวหยางหลง อย่าได้คิดว่าเพียง เพราะเจ้าเป็นหัวหน้าศิษย์ตําหนัก
ตะวันตก แล้วเจ้าจะก่อการ ไร้ยางอายได้ ข้าเห็นทุกอย่างชัดเจน เป็นเจ้าที่
ให้ซุนจินเฮ่าลง มือก่อน! เจ้ากระทั่งไม่เห็นข้าในสายตา และตอนนี้ยังคิด
บอกให้ ข้าขับไล่ฉินหยุนออกจากสถาบันเทียนเจียวหรือ? เจ้าควร
ประมาณตนเองบ้าง!”
ด้วยฐานะผู้อํานวยการ เขายืนอยู่ที่ตรงนี้ แต่เชี่ยวหยางหลงไม่ เห็นหัวเขา
แม้สักนิด และออกคําสั่งให้ซุนจินเฮ่าเข้าโจมตีฉิน หยุน แต่ที่เขาไม่คาดคิด
ก็คือ ซุนจินเฮ่ากลับเป็นฝ่ายโดนฉิน หยุนโจมตีด้วยพลังจิตก่อนโดนตบ
หน้าอย่างไร้ปราณี ซุนจินเฮ่าที่ยืนขึ้นได้แล้วแทบต้องปิดใบหน้าตนเอง
สบฤด่าต่อ ฉินหยุน เชี่ยวหยางหลงกัดฟันกรอดขณะมองผู้อื่น
“อาจารย์ทั้งหลาย พวกท่านล้วนได้เห็นตัวตนของฉินหยุนแล้ว หากคิดให้
เขาออกไปพ้นจากสถาบันเทียนเจียว ให้มายืนด้านหลังสนับสนุน แก่ข้า
หากกว่าครึ่งของอาจารย์เห็นด้วยกับข้า ฉินหยุนก็ต้อง รับโทษ!” ไม่ช้า
อาจารย์และศิษย์หลายคนเริ่มก้าวเดินออกมายืนด้านหลังเชี่ยวหยางหลง
ผู้คนเหล่านี้เป็นเซี่ยวหยางหลงรู้จัก พวกเขารวมแล้วทั้งสิ้นยี่สิบสามคนที่
สนับสนุนให้ขับไล่ฉินหยุน แต่ก็ยังไม่ถึงครึ่งหนึ่ง พอเชี่ยวหยางหลงได้เห็น
ว่าจํานวนฝ่ายตนน้อยกว่าครึ่ง เขา เกิดความรู้สึกอับอาย ทว่า เขาก็ยังยืน
กราน
“ผู้อํานวยการไป่ ดูให้ชัด ด้วยจํานวนอาจารย์และศิษย์ที่สนับสนุนให้ฉิน
หยุนถูก ขับไล่ ข้าขอถามว่าท่านเคารพการตัดสินใจของพวกเขา หรือไม่”
“ยังเหลืออาจารย์อีกยี่สิบเจ็ดท่านที่ยังไม่ได้เผยเจตนา พวกเขา กล่าวหรือ
ว่าเห็นด้วยกับเจ้า?” หลันเฟิ งจินแค่นเสียง
“เจ้าเป็น ตัวแทนของอาจารย์อีกยี่สิบเจ็ดคนได้หรือ?”
“หากพวกเขาไม่ประกาศจุดยืน ก็เท่ากับวางตัวเป็นกลาง ไม่ใช่ การ
สนับสนุนให้ฉินหยุนอยู่ต่อ” เซี่ยวหยางหลงทราบว่า อาจารย์เหล่านี้ไม่คิด
ยั่วยุผู้อื่น ดังนั้นพวกเขาจึงเงียบ ซุนจินเฮ่าก้าวเดินออกมาข้างหน้ากล่าว
คําเสียงดัง
“ฉินหยุน หากเจ้ารู้ผิดชอบชั่วดีจงยอมรับ! ดังเจ้าเห็น หลายคนที่นี่ไม่
ยินดีที่เจ้าอยู่ที่นี่ ตัวตนของเจ้าที่นี่มีแต่จะส่งผลให้บรรยากาศ โดยรวมของ
สถาบันเทียนเจียวยํ่าแย่ลง”
หนึ่งในอาจารย์ที่สนับสนุนฝ่ายเชี่ยวหยางหลงกล่าวคําขึ้น “ฉินหยุนมีกว่า
หนึ่งร้อยล้านแต้มเสวียนในครอบครอง เพื่อ แต้มเสวียน สิ่งใดเขาล้วน
กระทําได้ ด้วยเขาอยู่ที่สถาบันเทียน เจียว พวกเราไม่สบายใจอย่างยิ่ง”
ศิษย์และอาจารย์อีกหลายสิบคนเริ่มตะโกนขึ้น
“ฉินหยุนออก ไป ฉินหยุนออกไป ฉินหยุนออกไป!” ฉินหยุนขมวดคิ้วกล่าว
“หนึ่งร้อยล้านแต้มเสวียนของข้า แลกเปลี่ยนด้วยแก่นอสูรกับกระเป๋ ามิติ
เก็บของ ข้าได้พวกมัน มาด้วยตนเอง เรื่องนี้ก็มีปัญหา?”
หากเป็นจริง เช่นนั้นฉินหยุนย่อมเป็นฝ่ายถูก นี่เป็นเพราะมี หลายคนคิด
อยากแลกเปลี่ยนแก่นอสูรเป็นกระเป๋ ามิติเก็บของ ดวงตาสีม่วงงดงามของ
เสวี่ยซือเยี่ยทอประกายเร่งร้อนเอ่ยถาม
“ฉินหยุน เจ้ายังมีอุปกรณ์เหล่านั้นอยู่หรือไม่? ให้ข้า แลกเปลี่ยนด้วยได้
หรือไม่?” ฉินหยุนคิดอยู่ครู่หนึ่งค่อยตอบ
“สร้อยข้อมือไม่มีแล้ว แต่ยังมี กระเป๋ ามิติเก็บของ เมื่อวิญญาณยุทธ์ของ
ข้าหายดี ข้าสามารถ ขัดเกลากระเป๋ าได้อีกจํานวนหนึ่ง ตอนนี้ข้าเหลือติด
ตัวไว้เพียง เล็กน้อย! ในเมื่อเจ้าและขาอยู่หน่วยเดียวกัน ถือว่าลดราคาให้
เป็นพิเศษ แก่นอสูรระดับเก้าจํานวนห้าเม็ดเป็นอย่างไร?”
“แพงขนาดนั้น? แก่นอสูรระดับเก้าจํานวนห้าเม็ดสามารถขาย เป็นเงินห้า
สิบล้านเหรียญผลึก กระเป๋ ามิติเก็บของของเจ้าสม ราคานี้?” เสวี่ยซือเยี่ย
ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“กระเป๋ ามิติเก็บขอบของข้ามีขนาดกว้างใหญ่ ใหญ่กว่า กระเป๋ าผุพังที่เจ้า
เคยเห็นหลายเท่านัก ทั้งยังมีความสามารถทํา สัญญาโลหิต และ
รูปลักษณ์ยังงดงาม!”
ฉินหยุนนําเอากระเป๋ าใบเล็กส่องแสงสีม่วงออกมา มันงดงาม จริงดังที่ว่า
ทั้งยังเป็นสีม่วง เสวี่ยซือเยี่ยสวมใส่ชุดสีม่วง ชัดเจนว่านางชอบสีม่วง และ
ก็ บังเอิญพอดีที่ฉินหยุนขัดเกลากระเป๋ ามิติเก็บของสีม่วงเอาไว้ ใบหนึ่ง
“ข้า ข้ามีแก่นอสูรระดับเก้าเพียงแค่สามเท่านั้นเอง” เสรี้ย ซื้อเยี่ยเผย
ดวงตาสีม่วงลุกโชน ชัดเจนว่านางคิดอยาก ครอบครองมัน ไม่ใช่เพียงแค่
นางที่หวั่นไหว ศิษย์ผู้อื่นที่นี่ล้วนหวั่นไหว พวก เขาแทบคิดอยากทะยาน
กายเข้าไปคว้ามันฉกชิงเอามา
“ในเมื่อพวกเราอยู่หน่วยเดียวกัน ข้ายอมให้เจ้าติดไว้สองก่อน ได้” ฉิน
หยุนยิ้มกล่าวขณะส่งกระเป๋ าให้ถึงมือนาง เสวี่ยซือเยี่ยรับกระเป๋ าไป
สํารวจ นางยินดียิ่ง แต่สีหน้าหาได้ แปรเปลี่ยน กลับกัน ดวงตาสีม่วงคู่นั้น
เริ่มหม่นแสงลง ถัดจากนั้น นางจึงนําเอาแก่นอสูรระดับเก้าจํานวนสาม
เม็ดส่ง ให้แก่ฉินหยุน
ขณะฉินหยุนเก็บแก่นอสูรไป อาจารย์ผู้อาวุโสจึงเดินเข้ามายิ้ม กล่าวถาม
“ฉินหยุน เจ้ายังมีกระเป๋ ามิติเก็บของอยู่หรือไม่? พอจะแลกเปลี่ยนกับข้า
ได้หรือไม่?”
“ท่านไม่ได้อยู่หน่วยเดียวกับข้า ท่านจําเป็นต้องจ่ายแก่นอสูร ระดับเก้า
จํานวนสิบเม็ด” ฉินหยุนยิ้มกล่าว
“ผู้อาวุโส ท่านเอง ก็เป็นคนรู้และเข้าใจเป็นอย่างดี ท่านคงทราบดีว่าหาก
ต้องการ ได้รับอุปกรณ์วิญญาณมิติเก็บของที่ดีสักชิ้นหนึ่ง ต้องพึ่งพา
โชคชะตาเพียงใด ท่านได้แต่ต้องหวังพึ่งโอกาสที่จะมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้!”
ตอนที่ 223 ความเป็ นมาของสถาบันยุทธ์ชิงเสวียน
อาจารย์ชราท่านนี้ลังเลเพราะราคาที่แพงเกินไป มันเทียบเท่า กับหนึ่งร้อย
ล้านเหรียญผลึก! ฉินหยุนนําเอากระเป๋ าส่องแสงทองคําออก หากเทียบ
กับพวกที่ หยาบกร้าน ของเขากลับกลายเป็นดี เพราะมีรายละเอียด
งดงาม
“เรื่องนี้ลดราคาได้หรือไม่? พื้นที่ข้างในกว้างเท่าใด?” เมื่อ อาจารย์ชรา
ท่านนี้เห็นกระเป๋ าของจริง ใจพลันไหวหวั่น ศิษย์ผู้อื่นล้วนริษยา ทว่าพวก
เขาได้แต่รับชมเรื่องราวที่ยากมี โอกาสได้พบพานกับตัวเองเช่นนี้ ต่อให้
พวกเขามีเหรียญผลึก ก็ยังต้องหาอาจารย์จารึกที่พร้อมจะขัดเกลาให้สัก
ชิ้นหนึ่ง
อาจารย์จารึกหลายท่านขัดเกลากระเป๋ ามิติเก็บของอย่างหยาบ กระด้าง
เพื่อให้เสร็จโดยเร็ว ผลลัพธ์ที่ได้คือแทบไม่มีอะไรที่ วิจิตรงดงามเลยแม้สัก
ชิ้น ยิ่งไปกว่านั้น มีอาจารย์จารึกเพียงน้อยนิดซึ่งสามารถแกะสลัก ผังมิติ
ปกติแล้ว อาจารย์จารึกผู้นั้นย่อมไม่ขัดเกลาวัตถุด้วย ตนเอง เพียงรับ
หน้าที่การแกะสลักเท่านั้น
“ความกว้างน่าจะใส่วัวกระทิงได้สักห้าสิบถึงหกสิบตัว!” ฉิน หยุนหัวเราะ
กล่าวคํา
“ในเมื่อท่านเป็นผู้อาวุโส เช่นนั้นแก่น อสูรระดับเก้าสักแปดเม็ดเป็น
อย่างไร?” นี่เป็นเพียงแค่กระเป๋ ามิติเก็บของ ทว่าภายในกลับกว้างขวาง
กล่าวได้ว่ามันถูกจัดทําขึ้นจากวัสดุคุณภาพดี ทั้งผังวิญญาณก็ ยังเป็น
ระดับสูง สําหรับบรรดาศิษย์ เพียงใส่วัวกระทิงได้สักสิบตัวก็ถือว่าดีเลิศ
แล้ว อันที่จริงเป้าหมายหลักของพวกเขาคือเอาไว้เก็บสิ่งของ ลํ้าค่า
“ได้ ตกลง!” อาจารย์ชราตัดสินใจยอมรับราคาก่อนจะมอบ แก่นอสูรระดับ
เก้าแก่ฉินหยุนจํานวนแปดเม็ด หลังอาจารย์ชราท่านนี้จากไป อาจารย์อีก
สี่ท่านจึงเข้ามา พวก เขามีทั้งวัยกลางคนและชรา ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึง
แลกแก่น อสูรระดับเก้าจํานวนแปดเม็ดเพื่อกระเป๋ ามิติเก็บของกับฉินหยุน
ด้วยวิธีการนี้ ฉินหยุนจึงได้รับแก่นอสูรระดับเก้าจํานวนสี่สิบ เม็ด มัน
สามารถนําไปแลกเปลี่ยนได้เป็นสองร้อยล้านแต้มเสวียน! เชี่ยวหยางหลง
กัดฟันกรอดเจ็บแค้น ฉินหยุนสามารถหาสอง ร้อยล้านแต้มเสวียนได้
โดยง่าย แต่พวกเขากลับต้องใช้ เวลานานนับ
“กระเป๋ ามิติเก็บของหมดชั่วคราว หากทุกท่านสามารถหา อาจารย์จารึก
ช่วยขัดเกลาอุปกรณ์มิติเก็บของ ข้าสามารถ ช่วยเหลือเรื่องการแกะสลัก
ได้” ฉินหยุนกล่าวคําโดยทันทีเมื่อ เห็นอาจารย์อีกหลายท่านคิดเดินเข้ามา
สิ่งสําคัญที่สุดของอุปกรณ์มิติเก็บของคือผังจารึก อาจารย์ จารึกหลาย
ท่านไม่มีพวกมันในครอบครอง ดังนั้นพวกเขาจึงทํา ได้แค่ทําผลิตภัณฑ์
สําเร็จเพื่อให้ผู้อื่นนําไปแกะสลักต่อ
พอฉินหยุนกล่าวดังนี้ อาจารย์หลายท่านล้วนยินดี พวกเขา นําเอาบัตร
แนะนําตัวตนมอบให้แก่ฉินหยุนกันยกใหญ่ ฉินหยุนอารมณ์ดีขณะถอน
หายใจขึ้นขมต่อบรรดาอาจารย์
“มี อาจารย์กว่ายี่สิบคนคิดอยากขับไล่ข้าออกจากสถาบันเทียน เจียว ข้า
สงสัยนักว่าพวกท่านจะช่วยให้ข้าอยู่ที่นี่เพื่อมีโอกาส ได้แกะสลักผัง
วิญญาณมิติแก่พวกท่านได้หรือไม่”
“เรื่องราวง่ายดายนัก!” ผู้อาวุโสท่านหนึ่งเร่งรีบไปยืนข้างฉินหยุน
อาจารย์ท่านอื่นก็เริ่มยืนด้านหลังฉินหยุน เป็นการยืนยัน เจตจํานงให้เขา
อยู่ต่อ เชี่ยวหยางหลงและอาจารย์อีกยี่สิบคนฝ่ายเขาล้วนกายแข็งที่อ
ยี่สิบคนตรงนี้ รู้สึกเสียดายยิ่งที่พลาดโอกาสไปยั่วยุฉินหยุน พวกเขาเศร้า
หมองกันไม่ใช่น้อย
ผู้อํานวยการไป่ยิ้มกล่าว “ผลลัพธ์กระจ่างแล้ว ฉินหยุนอยู่ต่อ ได้” ซุนจิน
เฮ่าโกรธแค้นและงุนงงต่อผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น แต่พอได้เห็น ฉินหยุนสบายอก
สบายใจ เขาพลันชี้หน้าฉินหยุนตะโกนกล่าว คํา
“ผู้อํานวยการ ท่านล้วนได้เห็น เป็นเขาหลอกล่อกลุ่มคน ด้วยวาจา เรื่องนี้
ไม่อาจนับ!”
“หุบปาก!” ฉินหยุนตะโกนกราดเกรี้ยวและพลันตบใบหน้าซุน จินเฮ่าด้วย
ฝ่ามือ ส่งร่างนั้นกระเด็นลอยไปกระแทกพื้นแทบ เท้าเชี่ยวหยางหลง ซุน
จินเฮ่าเผยใบหน้าบิดเบี้ยวเพราะแรงปะทะ ร่างนั้นกลิ้งกับ พื้นไปมาด้วย
ความเจ็บปวดก่อนสิ้นสติไป
“ทําได้ดี!” ผู้อาวุโสท่านหนึ่งกล่าว ผู้อื่นตามติดเป็นลูกคลื่น
“ทําได้ดี ทําได้ดี!” เชี่ยวหยางหลงหันมองซุนจินเฮ่าที่สิ้นสติกับพื้นและ
โกรธแค้น ขึ้นมา เขาไม่คิดว่าฉินหยุนจะเป็นฝ่ายลงมือก่อนเสียงของเขา
คํารามลั่น
“ฉินหยุน เจ้าทําเกินไปแล้ว!! ขณะเขากล่าวคําจบ ร่างนั้นทะลักออกด้วย
กําลังภายในทะยาน กายเข้าใส่ฉินหยุน! ชายชราผู้ซึ่งซื้อหากระเป๋ ามิติ
เก็บของจากฉินหยุน รีบเร่งปล่อย กําลังภายในออกด้วยฝ่ามือขณะตะโกน
โกรธเคือง
“เซี่ยวหยาง หลง เจ้าเป็นถึงผู้ฝึกตนขอบเขตวรยุทธ์เต๋า แต่แล้วกลับไม่มี
แม้แต่เศษเสี้ยวความสง่าหรือสูงส่งแต่อย่างใด เจ้าถึงขั้นกล้าลง มือต่อ
เด็กน้อยขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เจ็ด การรังแกของ เจ้านี้ทําพวกเรา
ตําหนักดวงดาววิญญาณสีครามเสียหน้ายิ่ง นัก”
ฉินหยุนเพิ่งทราบตอนนี้ว่าอาจารย์ชราท่านนี้ มาจากตําหนัก ตะวันออก
เพราะเขาไม่ได้สวมใส่ชุดสีนํ้าเงิน ดังนั้นจึงไม่ง่าย รับรู้
“ตําหนักตะวันออกตกตํ่าเพียงนั้น ยังกล้าแส่หาเรื่องในข้อ พิพาทของผู้อื่น
ด้วยหรือ? ผู้เฒ่าชรา เหตุใดไม่สู้กับข้าเสียเลย เล่า?” เชี่ยวหยางหลงมา
จากตําหนักตะวันตก ตลอดมาเขาดูแคลนตําหนักตะวันออก ตอนนี้เป็น
เขาโกรธแค้นเปี่ยมล้น จึง เริ่มกล่าวคําออกด้วยเสียงอันดัง อาจารย์ชราผู้นี้
โกรธแค้นยิ่งเมื่อโดนต่อว่า พอฉินหยุนได้เห็นดังนี้ เขาจึงตะโกนขึ้นอย่าง
โกรธเกรี้ยว
“เซี่ยวหยางหลง เรื่องนี้เป็นเจ้ารังแกผู้น้อยเช่นข้า แต่เจ้ากลับ ลามปามถึง
ผู้อาวุโส ผู้ที่ไร้ซึ่งความเคารพต่อผู้อาวุโสเช่นเจ้าไม่ สมควรได้เป็น
อาจารย์!” เขาหันมองทางผู้อํานวยการไป่กล่าวคํา
“ผู้อํานวยการ โปรด ขับไล่เซี่ยวหยางหลงออกจากสถาบันเทียนเจียว!” มู่
หรงต้าเหรินตะโกนขึ้น
“ผู้ที่เห็นด้วยให้ขับไล่เชี่ยวหยางหลง ออกจากสถาบันเทียนเจียวโปรดยก
มือ การมีบุคคลเช่นนี้ใน สถาบันของเราถือเป็นเรื่องอันตรายเกินไป”
หลายคนยกมือขึ้น มีเพียงแต่คณะของเชี่ยวหยางหลงกว่ายี่สิบ คนที่ไม่ยก
“เชี่ยวหยางหลง ใช้ความรุนแรง! ออกไปเสีย!” มู่หรงต้าเหริน ตะโกนขึ้น
เสียงดัง หลายคนเริ่มตะโกนตาม
อาจารย์เฒ่าหลายคนไม่โง่เขลา ฉินหยุนเป็นอาจารย์จารึก ทั้ง ยังสามารถ
แกะสลักผังวิญญาณลํ้าค่า พวกเขาต้องสร้าง สัมพันธ์อันดีกับอีกฝ่ายไว้
เรื่องนี้จะยิ่งช่วยให้การแกะสลักผัง วิญญาณในภายหน้าสะดวกสบาย
มากขึ้น เชี่ยวหยางหลงคือผู้ที่วางยากระทั่งบิดาตนเอง ดังนั้นไม่มีใคร คิด
ชื่นชอบบุคคลเช่นนี้ นอกจากนี้แล้ว เขายังไม่ได้สร้าง ผลประโยชน์อันใด
ให้ ผู้อํานวยการไป่กล่าว
“เชี่ยวหยางหลง เจ้าได้เห็นแล้ว พวก เขาไม่ยินดีต้อนรับเจ้า! เจ้าคงทราบ
ดีว่าตัวเจ้าเองเป็นเช่นไร เช่นนี้จงจากไปเสีย ตอนนี้กว่าครึ่งของอาจารย์
ร้องขอให้เจ้าจากไป จงไปตอนที่ยังทําได้”
เชี่ยวหยางหลงโกรธแค้น ดวงตาทั้งสองแดง หมัดนั้นกํา เอาไว้แน่นจน
แทบส่งเสียงปริแตกออกมาได้เพราะพลังภายใน สุมอัด เมื่อผู้อาวุโสหลาย
คนเห็นดังนี้ พวกเขาเร่งรีบดึงฉินหยุน เข้ากลุ่มฝูงชน
หลันเฟิ งจิน ผู้ซึ่งรับชมจากด้านข้างมาตลอด ก็เข้ามายืนเคียง ข้างฉินหยุน
เป็นนางกังวลว่าเชี่ยวหยางหลงจะลงมือเกินกว่า เหตุ
“ฉินหยุน เจ้ารอก่อนเถอะ!” เชี่ยวหยางหลงคํารามโกรธเกรี้ยว ดังกึกก้อง
ไปทั่วทั้งบริเวณตะวันตกของสถาบันยุทธ์ชิงเสวียน เชี่ยวหยางหลงสบถคํา
หยาบอยู่หลายคํา ก่อนออกไปจาก สถาบันเทียนเจียวด้วยความโกรธสุม
ในอกเปี่ยมล้น ศิษย์ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่แปดช่วยแบกร่างซุนจิน
เฮ่า ตามติดเชี่ยวหยางหลงไป
พวกเขาไม่กล้าอยู่ต่อ พวกเขาคือ กลุ่มแรกที่ออกปากขับไล่ฉินหยุน หาก
คิดอยู่ต่อ ความตายอาจ มาเยือนง่ายเกินผู้ใดทราบ อาจารย์ทางฝ่ายนั้น
พวกเขาใช้จ่ายเหรียญผลึกไปมากเพื่อ คัดเลือกศิษย์ หากพวกเขาไม่ได้รับ
อะไรกลับคืนจากสถาบัน เทียนเจียว ก็เท่ากับพวกเขาเสียเงินโดยเปล่า
แล้ว พวกเขาจึง ยืนหยัดอยู่ต่อ
“ทุกคนจงเตรียมตัวและมุ่งหน้าไปยังตําหนักดวงดาววิญญาณ สีคราม
ภายในสามวัน ด้วยพละกําลังของตําหนักดวงดาว วิญญาณสีคราม พวก
เขาจะเริ่มกําจัดสัตว์อสูร พวกเราเพียงไป ที่นั่นเพื่อฝึกฝน” ผู้อํานวยการไป่
กล่าว
“นี่จะยังเป็นการ ทดสอบแรกเพื่อเข้าร่วมสถาบันเทียนเจียวด้วย” หลันเฟิ ง
จินมองฉินหยุนและคณะพร้อมกล่าวคํา “บททดสอบ จะทดสอบความเชื่อ
ใจและการผสานงาน ฉินหยุน เจ้าเป็นผู้นํา หน่วย เจ้าต้องรับผิดชอบ
หน้าที่เป็นผู้นําหน่วยที่ดีด้วยละ”
ฉินหยุนพยักหน้ารับ “แน่นอนว่าข้าจะเป็นหัวหน้าหน่วยที่ดี ขอรับ”
ในช่วงเวลาสามวัน พวกเขาจะฝึกฝนกันอยู่ที่นี่ สวนด้านหลังของสถาบัน
เทียนเจียว มีอาคารเล็กหลายแห่ง อาจารย์และศิษย์อาศัยอยู่ร่วมอาคาร
เดียวกัน นี่ก็เพื่อช่วยให้ พวกเขามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกันมาก
ขึ้นทั่วทั้งสถาบันเทียนเจียวล้อมไว้ด้วยกําแพงสูง พื้นที่เป็นรูป สี่เหลี่ยมยาว
ประมาณสองพันเมตรในแต่ละด้าน ที่ตรงกลางของลานฝึกฝน มีลานต่อสู้
ขนาดใหญ่ ล้อมรอบเอาไว้ด้วยลาน ฝึกฝนและอาคารเล็กหลายแห่ง
รวมทั้งสวนหย่อมที่มีทั้งต้นไม้ และดอกไม้ ฝูงอีกา นํ้าตก และธารนํ้า
รวมถึงศาลากลางนํ้า ล้วนมีครบถ้วน สภาพแวดล้อมถือว่าดียิ่ง ศิษย์
หลายคนชื่นชอบบรรยากาศที่นี่ มันดีกว่าที่พวกเขาใช้อยู่ อาศัยก่อนหน้านี้
มากนัก
อาคารที่ฉินหยุนและคณะใช้อยู่อาศัย อยู่ทางตะวันออกของ สวนด้านหลัง
สถาบันเทียนเจียว มันอยู่ข้างธารนํ้าขนาดเล็ก ทั้ง ยังมีแปลงดอกไม้
ล้อมรอบ นอกจากนี้ยังมีศาลากลางธารนํ้าที่ อยู่ไม่ไกลออกไป
“ที่นี่ดีกว่าตําหนักสัตว์ยุทธ์มากนัก น่าเสียดายที่พวกเราต้อง ออกไปฝึกฝน
ชั่วระยะเวลาหนึ่ง” ฮั่วจงเอ่ยคําเสียดาย ฉินหยุนยิ้ม
“ตําหนักสัตว์ยุทธ์เป็นสังกัดของตําหนักศักดิ์สิทธิ์ เหตุใดจึงไม่อาจเทียบ
ที่นี่ได้กัน?” หลันเฟิงจนเต๋าะประตูอาคารให้เปิดออก เผยซึ่งโถงกว้างขวาง
นางหันมองฉินหยุนและกล่าว
“สภาพแวดล้อมโดยรวมของสถาบันยุทธ์ชิงเสวียนดีกว่าตําหนักดวงดาว
วิญญาณสีคราม เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะอะไร? นี่ก็เพราะสถาบันยุทธ์ชิง
เสวียนเป็น ปรมาจารย์หลนเซียวจัดแจงก่อตั้งด้วยตัวเองอย่างไรเล่า”
“อาจารย์ เรื่องนี้จริงหรือขอรับ?” ฮั่วจงเอ่ยถามแปลกใจ
“ความเป็นมาของสถาบันยุทธ์ชิงเสวียนยาวนานเพียงนั้น?”
“แน่นอน บรรพบุรุษหลันเซียวทรงพลังอํานาจยิ่ง กล่าวกันว่า เขาทราบว่า
หลุมฝังเซียนอยู่ที่ใด นอกจากนี้ยังมีเหตุผลที่ทําให้ เขาทรงพลัง เป็นเพราะ
เขาได้เข้าหลุมฝังเซียนโดยโชคนําพา”
หลันเฟิ งจินเข้ามาในห้องโถงรับรองขณะนําหุ่นไม้ออกมาปัด กวาด
สถานที่ ความจริงที่ราชันยุทธ์หลันเซียวข้องเกี่ยวกับหลุมฝังเซียน มัน ทํา
เอาฉินหยุนลอบตะลึง!
นี่หมายความถึงสถาบันยุทธ์ชิง เสวียนมีความเกี่ยวข้องกับหลุมฝังเซียน
แล้ว เสวี่ยซือเยี่ยหันมองหุ่นเชิดและกล่าวประหลาดใจ “หุ่นตัวนี้ สมควร
มูลค่าสูงกว่าสามร้อยล้านเหรียญผลึก ตําหนักดวงดาววิญญาณสีคราม
ได้ขัดเกลาพวกมันขึ้นมา และยังขายต่อให้กับบรรดาขุนนางของจักรวรรดิ
เสวียนเหยา” มู่หรงต้าเหรินยิ้ม
“หุ่นไม้ตัวนี้ไม่ทรงพลังเท่าหุ่นเชิดราชสีห์ของ น้องหยุนหรอก!” ทุกคนล้วน
ทราบว่าฉินหยุนได้หลอมหุ่นเชิดสัตว์ร้ายขึ้นด้วย ตนเอง พวกเขาล้วนหัน
มอง คาดหวังว่าเขาจะนํ้ามันออกมาให้ ผู้อื่นได้ชื่นชม หลันเฟิ งจินตบไหล่
ฉินหยุนและโพล่งคําขึ้น
“เจ้าหนู รีบเอา ราชสีห์ของเจ้าออกมาให้ดูเร็ว!” นางเป็นอาจารย์จารึก
ระดับสูง จึงมีความสนใจในหุ่นเชิดยิ่งนัก
“น่าเสียดายนัก มันพังไปแล้ว!” ฉินหยุนผายมือให้เห็นพร้อม รอยยิ้ม
ลําบากใจ
“เป็นข้าไม่ระวังที่เมืองอี้ ไว้มีเวลาข้าจะทํา มันขึ้นใหม่” มู่หรงต้าเหรินยิ้ม
ถาม
“น้องหยุน เจ้าพอจะช่วยข้าทําหุ่นเชิด สักตัวได้หรือไม่? มันจะดีมากหาก
ร่างของมันมีรูสองรูอยู่ที่ ด้านล่าง ข้าจะได้เริ่มรวบรวมเหรียญผลึกและ
แก่นอสูร”
“รูสองรูหรือ? มันใช้ประโยชน์อันใด?” นํ้าเสียงเย็นชาและ สายตาเฉยชา
จากเสวี่ยซือเยี่ยเอ่ยถามด้วยความสงสัย มู่หรงต้าเหรินหัวเราะ
“มีประโยชน์มากเลยละ ฮ่าฮ่าฮ่า!” ฉินหยุนพลันเต๋าะเข้าใส่กันอีกฝ่าย ส่ง
ร่างนั้นกระเด็นล้มกับพื้น เขายิ้มพลางต่อว่า
“พี่รองมู่หรง ท่านทําเกินไป!”
“เสวี่ยซือเยี่ย ไปเลือกห้อง!” หลันเฟิงจินเร่งรีบนําเสบี้ยซี อเยี่ยออกไป
โดยเร็วขณะส่งสายตามองค้อนแก่มู่หรงต้าเหริน
ตอนที่ 224 ด่านทดสอบที่หนึ่ง
เมื่อเสวี่ยซือเยี่ยออกไปแล้ว หลันเฟิ งจินจึงกลับมาคู่คํา “เสี่ยวมู่หรง
ซื้อเยี่ยไม่ใช่คนที่คิดล้อเล่นด้วยได้ หากนางทราบ ความจริงขึ้นมา ชีวิต
ภายหน้าเจ้าอาจลําบากแล้ว”
มู่หรงต้าเหรินพลันหวาดกลัว เขาเอ่ยคําเสียงเบา “อาจารย์ ข้า ผิดไปแล้ว
โปรดอย่าบอกชื่อเยี่ย ภายหน้าข้าจะระวังตัวกว่านี้” พวกเขาต่างเลือกห้อง
ของตนเอง หลังทําความสะอาด เรียบร้อย จึงค่อยโดนหลันเฟิ งจินเรียก
รวมที่โถงหลัก
หลันเฟิ งจินกล่าว “ฉินหยุน เจ้าถือครองไข่มุกเสวียนแก่นอสูร เอาไว้ นี่เป็น
กุญแจสู่ความสําเร็จของการทดสอบแรก!” ฉินหยุนนําเอาไข่มุกโปร่งแสง
ออกมาและพยักหน้ารับ
หลันเฟิ งจินกล่าวต่อ “ดี พวกเจ้าวางแผนเรื่องโจมตี ความ ร่วมมือเป็นสิ่ง
สําคัญ ให้ปรึกษากันก่อน แล้วข้าจะคอยรับฟัง จากด้านข้าง หากมีอะไร
ข้าจะเสนอแนะเพิ่มเติม ฉินหยุนหันมองเสวี่ยซือเยี่ยและกล่าว
“ซื่อเยี่ย เจ้าถนัดการ โจมตีเช่นไร? หรือบางทีอาจเป็นทักษะยุทธ์ที่พิเศษ
เฉพาะตัว อะไรสักอย่าง พอจะบอกข้าได้หรือไม่?” “ฮั่วจงและมู่หรงต้าเห
ริน ทั้งสองเป็นสหายกับข้า ดังนั้นข้าจึง คุ้นเคยกับพวกเขาแล้ว! เขาเพียง
ต้องการเข้าใจพละกําลังของ เจ้าโดยคร่าวก่อนจัดเรียงความคิด ระดับการ
ฝึกฝนของเจ้าคือ ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่แปด ถือว่าแข็งแกร่งที่สุดใน
กลุ่ม พวกเราแล้ว” เสวี่ยซือเยี่ยเผยสีหน้าสงบและเย็นเยือกเช่นเคย นาง
พยักหน้า รับและกล่าว
“ข้าเชี่ยวชาญการต่อสู้ระยะประชิด พลังภายใน คุณลักษณะธาตุไฟ อาวุธ
เป็นเคียวคู่!” นางนําเอาเคียวสีดําออกมาสองด้าม พวกมันดูหยาบกร้าน
แต่ ตัวคมมีดนั้นคมอย่างยิ่ง
นางตะโกนดังพร้อมเหวี่ยงสะบัดเคียวในมือซ้าย เป็นผลให้ตัว คมเคียว
หลุดกระเด็นออก ด้ามจับยังอยู่ในมือนาง มันเชื่อมต่อ กันเอาไว้ด้วยเส้น
โลหะสีดําที่ยืดยาวออกมาได้ “กลับมา!”
เสวี่ยซือเยี่ยออกคําสั่ง คมเคียวลอยกลับหานางโดย ทันที ฉินหยุนและ
คณะเสียวสันหลังวาบ หากพวกเขาโดนเคียว แหลมคมนี้จิ้มเข้าที่คอสัก
ครั้งหนึ่ง หัวคงไปกลิ้งเล่นกับพื้นแล้ว
“แข็งแกร่งนัก!” ผ่านไปครู่ ฉินหยุนค่อยอุทานและยิ้มออก เขานําเอาค้อน
ราชันยักษ์วิญญาณและกระบี่แก่นจิตออกมา
“ข้าเองก็ถนัดการต่อสู้ระยะประชิด นี่เป็นค้อนหลอมของข้า เอง! และนี่
ออกจะเล็กไปบ้างแต่ก็ถือเป็นกระบี่ที่ใช้พลังจิตเพื่อ ควบคุม มันสามารถ
บินออกไปโจมตีในระยะไกลด้วยตัวเองได้” มู่หรงต้าเหรินนําเอาพัด
ออกมา
“ข้าถนัดการโจมตีระยะไกล พัดของข้าสามารถปลดปล่อยพลังของ
วิญญาณยุทธ์สัตว์พิเศษ ได้ ข้าเรียกมันว่าสับนภาทลายฟ้า สามารถใช้ตัด
วัตถุที่มีความแข็งได้”
ฮั่วจงนําเอาไม้คทายาวออกมายิ้มกล่าว “ข้าเองก็ถัดการต่อสู้ ระยะประชิด
ทั้งยังมีกําลังมาก หากสัตว์อสูรโดนผู้อื่นช่วย สะกดไว้ ข้าสามารถทุบตีมัน
ด้วยไม้คทาได้”
เสวี่ยซือเยี่ยพอเข้าใจพละกําลังของฉินหยุนและคณะโดยคร่าว แล้ว นาง
พยักหน้ารับเล็กน้อย ตอนนี้พวกเขาอยู่ฝ่ายเดียวกัน และหากทั้งหน่วย
ประสบ ความสําเร็จ รางวัลที่ได้รับย่อมมิใช่ชั่ว
“โอ จริงด้วย ข้าเองยังสามารถทํายันต์ขึ้นได้ ช่วงสองวันนี้ให้ ข้าช่วยทํา
ยันต์เอาไว้ใช้ป้องกันตัวแล้วกัน” ฉินหยุนกล่าวเสริม
เมื่อหลันเฟิ งจินได้ยินดังนี้ ดวงตางดงามของนางเป็นประกาย ขณะเผย
รอยยิ้มอ่อน นางทราบดีถึงศักยภาพของฉินหยุน ด้วย เขาอยู่ร่วม มีโอกาส
สูงมากที่หน่วยของนางจะชนะเลิศ!
ด้วย ผลลัพธ์ของหน่วยในสังกัดที่ทําได้ดี นางก็จะพลอยได้รับรางวัล ไป
ด้วย ถัดจากนั้น ฉินหยุนจึงเริ่มหารือกลยุทธ์หลายอย่างพร้อมฮั่วจงและ
คณะ
เสวี่ยซือเยี่ย มู่หรงต้าเหริน และฮั่วจง พวกเขาล้วนอึ้งเมื่อได้ ยิน นี่เป็น
เพราะฉินหยุนมีประสบการณ์การต่อสู้ระยะประชิด อย่างมหาศาลต่อสัตว์
อสูรทั้งหลาย เป็นเขาเข้าใจพวกมันใน เชิงลึก และยังช่วยพวกเขา
ยกตัวอย่างการต่อสู้ เรื่องนี้ทําเอา พวกเขาต้องสะท้านไม่น้อยเลยทีเดียว
หลังผ่านการพูดคุยกว่าชั่วโมง ฉินหยุนรู้สึกว่าสมควรแก่เวลา
“พวกเรายังไม่ทราบสถานการณ์ของตําหนักดวงดาววิญญาณ สีครามแน่
ชัด ตอนนี้อย่างแรกทําความเข้าใจซึ่งกันและกัน จากนั้นพวกเราค่อย
ประสานงานกันจัดการสัตว์อสูร” หลันเฟิ งจินพยักหน้ารับชื่นชม
“ฉินหยุน สมแล้วที่เป็นหัวหน้า! ตอนข้าพบเจ้าที่เมืองอี้ เป็นข้าดูหมิ่นเจ้า
เกินไปมากจริง ๆ”
“พี่หลัน เป็นท่านโชคดีแล้วที่เลือกข้าเป็นศิษย์! แต่ท่านกระทั่ง คิดปลด
ทรัพย์สร้อยข้อมือมิติเก็บของจากข้า เฮอะ!” ฉินหยุน พูดออกแสร้งไม่ยินดี
ทางสีหน้าและนํ้าเสียง
“ข้าทําทั้งหมดนี้ ก็เพื่อให้พวกมันได้รู้ ว่าเจ้าคืออาจารย์จารึก ดังนั้นพวก
มันจะไม่มองเหยียดเจ้าอีก ดังที่เห็น เซี่ยวหยางหลง เด็กน้อยวรยุทธ์เต๋า
ไม่อาจจัดการเจ้าลงได้ เพราะเจ้าคือ อาจารย์จารึก”
หลันเฟิ งจินหัวเราะชั่วร้าย ตอนนี้ คนในหน่วยเพิ่งทราบกันว่าฉินหยุน
และหลันเฟิ งจนรู้จัก กันมาก่อน ฉินหยุนเอ่ยคํา
“ท่านควรไปทําอะไรที่อยากทํา ข้าจะเริ่มการ ทํายันต์ เป็นยันต์สะกดกาย
ระดับกลาง หากพวกมันสามารถใช้ หยุดสัตว์อสูรระดับเก้าได้สองถึงสาม
วินาที เช่นนั้นก็น่าจะใช้ หยุดสัตว์อสูรระดับแปดได้โดยง่าย”
หลันเฟิ งจินตามติดด้านหลังฉินหยุนขณะยิ้มกล่าว “ให้ข้าช่วย เจ้า ใน
ฐานะอาจารย์ที่ปรึกษาข้าควรทําอะไรบ้าง!” มู่หรงต้าเหรินลูบคางตนเอง
ขณะมองทั้งสองด้วยความนับถือ เขาถอนใจกล่าวคํา “น้องหยุนช่างยอด
เยี่ยม กระทั่งพยัคฆ์สาวจากตําหนักศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่เว้น”
“อย่าได้พูดจาไร้สาระ!” ชั่วจงตบไหล่มู่หรงต้าเหรินไปที่หนึ่ง ขณะยิ้มกล่าว
“ข้ากลับห้องละ!” เสวี่ยซือเยี่ยเร่งรีบกลับไปตรวจสอบกระเป๋ า มิติเก็บ
ของด้วยความเร่งรีบ หลันเฟิ งจินเป็นอาจารย์จารึก ย่อมทราบวิธีการทํา
ยันต์ ตอนนี้ นางช่วยเหลือฉินหยุนในการหลอมกระดูกสัตว์เป็นแผ่นยันต์
ขึ้นมา ด้วยเหตุนี้ ฉินหยุนจึงรับหน้าที่เพียงแค่แกะสลักผังวิญญาณ
“ข้ามีผู้ช่วยที่ดีนัก!” ฉินหยุนเอ่ยคําหัวเราะขณะแกะสลักยันต์ สะกดกาย
ไปด้วย “เฮอะ ข้า หญิงสาวขอบเขตวรยุทธ์เต๋าที่เป็นอาจารย์จารึก ศิษย์พี่
ตอนนี้กลับกลายมาทํางานน่าเบื่อให้แก่เจ้า!” หลันเฟิง จินอึดฮัดขึ้นมา ฉิน
หยุนมองชุดสีนํ้าเงินของหลันเฟิ งจิน เขายิ้มออก
“พี่หลัน ท่านสวมใส่ชุดตําหนักดวงดาววิญญาณสีครามแล้วช่างรัดกุม นัก
ไม่สมเป็นท่านเอาเสียเลย”
“สามหาว ข้าเป็นหญิงสาวที่เรียบร้อยผู้หนึ่ง!” หลันเฟิงจินค้อนสายตามอง
มา
ฉินหยุนทราบว่าหลันเฟิ งจินเจตนาอะไร นางคิดอยากเรียนรู้ผัง วิญญาณ
ระดับสูงจากเขา สาเหตุที่ตําหนักดวงดาววิญญาณสีครามมาหลบซ่อนตัว
จาก สํานักอื่นที่นี่ ก็เพราะความจริงที่พวกเขาขาดแคลนอาจารย์ จารึกที่
แก่กล้า เรื่องนี้ทําให้พวกเขาไม่อาจไล่ทันพละกําลังของ ผู้อื่นทางด้าน
อุปกรณ์สวมใส่
“พี่หลัน ท่านรู้เรื่องหลุมฝังเซียนมากเพียงใด?” ฉินหยุนยังไม่ ลืมเรื่องของ
พี่สาวมหาอุปราช บ่อยครั้งเขารู้สึกว่าเซี่ยฉีโหร วจะพยายามหลีกเลี่ยงการ
พูดถึงหลุมฝังเซียน นั่นเพราะที่นั่น ต้องมีเรื่องใหญ่อย่างแน่นอน หลันเฟิ ง
จินถอนหายใจเบา
“ข้าไม่ทราบเรื่องนี้มากนัก ข้า เพียงทราบว่าบรรพบุรุษหลันเซียวมีความ
เกี่ยวโยงกับหลุมฝัง เซียน วิชายุทธ์ตะวันดาราที่เป็นเอกลักษณ์ประจําตัว
ของเขา คือสิ่งที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากหลุมฝังเซียน” ฉินหยุนตระหนก
เมื่อได้ยิน เขาพลันเกิดความคิดขึ้นหลายอย่าง
อาคมที่หลันเซียวเหลือเอาไว้บนยอดเขาดวงดาวชักนํา วิญญาณ มันช่วย
ให้เขาได้รับวิญญาณยุทธ์ตะวันทมิฬ สิ่งนี้ สมควรเป็นสิ่งที่หลันเซียวได้
รับมาจากหลุมฝังเซียนแล้ว ตะวันทมิฬเป็นตัวแทนของธาตุหยิน สุสาน
ดวงดาวนับหมื่น ล้านเกิดขึ้นเพราะวิญญาณยุทธ์ตะวันทมิฬเป็นหลุมดําที่
ใจ กลาง หลุมดําได้ดูดกลืนดวงดาวจนกระทั่งถึงจุดสูงบ ที่ปล่อย ให้
ดวงดาวทั้งหมดรายล้อมโดยมันเป็นดวงตะวันที่ศูนย์กลาง
“วิญญาณเทวะเก้าตะวัน และวิญญาณเทวะเก้าจันทรา ย่อม ต้อง
เกี่ยวข้องกับหลุมฝังเซียน แต่แล้วพี่สาวมหาอุปราชนั้นมี เบื้องลึก
เบื้องหลังตัวตนเช่นใดกันแน่?” ภายในใจฉินหยุนเต็ม ไปด้วยความคิดนับ
ไม่ถ้วนขณะนึกย้อนถึงเรื่องราวในอดีต หลันเฟิ งจินกล่าวคําต่อ
“ในอดีต ปรมาจารย์หลนเซียวได้ ควบคุมฝั่งจารึกลึกลับทรงพลังอํานาจ
เอาไว้มากมาย เป็นผล ให้ตําหนักดวงดาววิญญาณสีครามของพวกเรา
แข็งแกร่ง แต่ แล้ว เพื่อไขว่คว้าผังจารึกที่ลึกลับเหล่านั้น คนผู้หนึ่ง
จําเป็นต้องครอบครองพรสวรรค์ระดับหนึ่ง เพื่อตรวจสอบพรสวรรค์
ภายหลังจึงมีการทดสอบของสํานักจารึก มีเพียงผู้ ผ่านการทดสอบจึง
สามารถได้เรียนรู้ผังจารึกลึกลับเหล่านั้นได้”
“ตลอดหลายปีมานี้ ศิษย์ที่ผ่านการทดสอบล้วนไม่มี จากนั้น ผังจารึก
ลึกลับจึงเลือนหาย ตําหนักดวงดาววิญญาณสีคราม ของพวกเราจึงเสื่อม
ถอย” หลันเฟิ งจินถอนหายใจอย่างอด ไม่ได้ ฉินหยุนเข้าใจดีถึงเรื่องราว
ของประตูจารึก มันเป็นการทดสอบ อันตราย ที่กลืนกินเหล่าอัจฉริยะไป
มากตลอดหลายปีที่ผ่านมา
“ผังวิญญาณลึกลับเหล่านั้นของสํานักจารึก มันเกี่ยวข้องกับ หลุมฝังเซียน
หรือ?” ฉินหยุนเอ่ยถามอีกครั้ง หลันเฟิ งจินตอบกลับรวดเร็ว
“แน่นอน! ตํานานกล่าวเอาไว้ หลุมฝังเซียนมีม่านพลังอันแข็งแกร่ง เพื่อ
ทําลายม่านพลัง ดังกล่าว ปรมาจารย์หลนเซียวได้ศึกษาอยู่หลายปีและได้
เรียนรู้ ผังจารึกจํานวนมาก ทว่า ผังจารึกลึกลับเหล่านั้นทั้งหมดล้วน
แปลกประหลาดและอันตราย หากจิตใจไม่แข็งแกร่งพอ ก็เป็นไปได้ที่จะ
โดนผังจารึกลึกลับเหล่านั้นรบกวนจิตใจ จน นําไปสู่การฝึกฝนแตกซ่าน
และล้มตาย”
ฉินหยุนนึกถึงแผนที่หลุมฝังเซียน มันเป็นวัตถุที่ประหลาดอย่าง หนึ่ง มัน
จําเป็นต้องใช้ภูมิความรู้ด้านวิถีจารึกอย่างมหาศาล เพื่อถอดรหัสของแผน
ที่ออกเป็นแผนที่ที่แท้จริง
“แกะสลักให้ดี อย่าได้คิดมากจนเกินไป” หลันเฟิ งจินทราบว่า ฉินหยุน
สนใจประตูจารึก ดังนั้นจึงเร่งรีบเปลี่ยนหัวข้อ แม้นางทราบว่าฉินหยุน
แข็งแกร่งยิ่ง แต่นางก็ไม่คิดให้เขาเข้า ร่วมการทดสอบประตูจารึก ด้วยห
ลันเฟิ งจินช่วยเหลือ ความเร็วในการขัดเกลายันต์กระดูก ระดับกลางของ
ฉินหยุนจึงเพิ่มขึ้นไม่ใช่น้อย
ในช่วงเวลาที่เหลือ ก่อนถึงกําหนด เขาจัดทําพวกมันออกมาได้ถึงสี่สิบ
แผ่น ฮั่วจง มู่หรงต้าเหริน และเสวี่ยซือเยี่ย ทั้งหมดล้วนได้รับคนละ สิบ
แผ่น นี่ก็เพื่อให้พวกเขาได้มีพวกมันเพียงพอใช้ปกป้องตนเอง
“พวกเราจะเริ่มออกเดินทางไปรวมตัวในวันพรุ่งนี้ ซื่อเยี่ย ข้า จะช่วยขัด
เกลาอุปกรณ์ผังธาตุแสงให้ มันจะช่วยทําให้เจ้า รักษาอาการบาดเจ็บได้”
ฉินหยุนกล่าวคํา
“ขอบคุณ ทว่าข้าไม่ต้องการ ข้ามีวิธีการรักษาบาดแผลของ ตนเองอยู่
แล้ว” เสวี่ยซือเยี่ยลอบยินดีไม่น้อยที่ได้รับยันต์ กระดูกทั้งสิบแผ่น กล่าวได้
ว่าพวกมันเป็นยันต์ที่ดีที่สุดซึ่งนาง เคยมีมาเลยทีเดียว ตลอดมา นางปิด
ซ่อนอารมณ์ความรู้สึกตนเองไม่คิดให้ผู้อื่น ทราบการเปลี่ยนแปลง เพราะ
เหตุนี้สีหน้าของนางจึงนิ่งสงบมา โดยตลอด เช้าวันถัดมา หลันเฟิ งจินพา
ฉินหยุนและคณะเดินทางไปยังลานฝึกตรงกลางสถาบันเทียนเจียว พวก
เขาตอนนี้กําลังตื่นตะลึงกับข่าวใหม่ เชี่ยวหยางหลงกลับ มาแล้ว เป็นจ้าว
ตําหนักตะวันตกออกหน้า บอกอนุญาตให้เขา เข้าร่วมกับสถาบันเทียน
เจียวด้วยตัวเอง
“ทุกคนต้องระวังตัวให้ดี คนอย่างเซี่ยวหยางหลงและซุนจินเฮ่า ย่อมไม่
ปล่อยพวกเราไปโดยง่ายอย่างแน่นอน” หลันเฟิ งจินบ อกกล่าวต่อฉินหยุน
และพรรคพวก ฉินหยุนและคณะพยักหน้ารับ หลังอาจารย์และศิษย์
ทั้งหมดรวมตัวกันเรียบร้อย พวกเขาจึง ออกจากสถาบันยุทธ์ชิงเสวียน ผู้
ร่วมทางของพวกเขาคือรอง อธิการบดีของสถาบันยุทธ์ระดับเสวียนทั้ง
สาม และ ผู้อํานวยการไป่ เองก็ตามไปด้วย รวมถึงผู้ก่วยและอาจารย์ท่าน
อื่นอีกจํานวนหนึ่ง
หากศิษย์ของสถาบันเทียนเจียวไม่อาจรับมือกับสัตว์อสูร ภายนอกตําหนัก
ดวงดาววิญญาณสีคราม เช่นนั้นพวกเขาที่ เป็นขอบเขตวรยุทธ์เต๋าจะลง
มือแทน เหตุผลว่าทําไมผู้ฝึกตนหลายคนติดตามเดินทางมาด้วย ก็ เพื่อให้
ศิษย์เหล่านี้ไม่โดนสัตว์ระดับวิญญาณเข้าโจมตี ระหว่างทาง ฉินหยุน
สบตากับเชี่ยวหยางหลง อีกฝ่ายเปี่ยมล้น ด้วยจิตสังหาร เรื่องนี้ทําเอาเขา
รู้สึกรังเกียจอีกฝ่ายมากยิ่งขึ้น
เชี่ยวหยางหลงไม่อาจลงมือต่อฉินหยุน เพราะตัวเขาไม่ก่อการ โดยตรง
แต่ในทางกลับกัน ศิษย์ของเขาที่ขอบเขตกายวรยุทธ์ ระดับที่แปด
สามารถหาโอกาสต่อสู้กับเขาได้ เรื่องนี้เป็นฉินหยุนกังวลยิ่ง หากพวกเขา
เข้าสู่สมรภูมิรบแล้ว มันจะยิ่งอันตรายหากถูกล้อม โจมตีด้วยขอบเขต
กายวรยุทธ์ระดับที่แปดหลายคน กระทั่งอาจ ถูกสังหารก็เป็นไปได้
ตอนที่ 225 แมงป่ องเกราะเหล็ก
หลังเดินทางตลอดทั้งวัน ในที่สุดฉินหยุนจึงค่อยเห็นตําหนัก ดวงดาว
วิญญาณสีคราม ภายใต้แสงตะวันแผดเผา ตําหนักดวงดาวปรากฏแสงสี
นํ้าเงิน เรืองรอง ทั่วทั้งตําหนักดวงดาวคล้ายปกคลุมไว้ด้วยม่านพลังสี นํ้า
เงิน ภายในระยะหนึ่งร้อยลํ้าจากตําหนักดวงดาว เป็นพื้นที่แห้งแล้ง เป็น
แดนทะเลทราย ภูเขาสูงหลายแห่งถูกทําลาย พื้นที่กว้าง ปรากฏแก่
สายตา ภายในเทือกเขาเมฆมังกร ตําหนักดวงดาววิญญาณสีครามจะ ตก
เป็นเป้าต่อสัตว์อสูรได้ง่าย โชคดีที่พวกเขามีการป้องกันอัน แข็งแกร่ง สัตว์
อสูรไม่อาจทะลวงผ่านม่านพลังของตําหนักดวงดาว
สัตว์อสูรทรงพลังใกล้เคียงก็ถูกตําหนักดวงดาวกําจัด จนสิ้นเรียบร้อย
ตอนนี้ สัตว์อสูรส่วนใหญ่ด้านนอกตําหนักดวงดาวจะอยู่ที่ ระดับเจ็ดหรือ
แปด และก็ยังพอมีสัตว์อสูรระดับเก้าอยู่บ้าง สัตว์อสูรจะอยู่นอกบริเวณ
พื้นที่แห้งแล้งไกลจากตําหนัก ดวงดาววิญญาณสีคราม พวกมันกําลังรอ
คอยให้ศิษย์ที่อ่อนแอ ออกมาค่อยจัดการขยํ้า ช่วงหลายวันมานี้ ศิษย์
หลายคนถูกสัตว์อสูรสังหาร ตําหนัก ดวงดาววิญญาณสีครามก็เป็นเช่น
สถาบันยุทธ์แห่งอื่น เพื่อให้ มั่นใจว่าศิษย์มีพละกําลังมากเพียงพอก่อน
ออกจากสถานที่ พวกเขาจะต้องผ่านการทดสอบเข้มงวดและรับตัวเข้า
ออก เสียก่อน
บริเวณภูเขาเกิ้งว้างล้อมรอบตําหนักดวงดาววิญญาณสีคราม สัตว์อสูร
จํานวนมากเพ่นพ่านไปมา ผลลัพธ์ที่ได้ พวกมันถูก เลือกเป็นบททดสอบ
แรกของสถาบันเทียนเจียว
ผู้ฝึกตนหลายสิบคนนําทัพศิษย์สองร้อยคนเข้าสู่ตําหนัก ดวงดาว
วิญญาณสีคราม ด้านนอกประตูตําหนักดวงดาว ออร่าของศพเหม็นเน่า
ฟัง กระจาย ที่พื้น มีเศษซากชิ้นเนื้อของสัตว์อสูรกระเด็นไปทั่ว กระทั่งมี
หลุมซึ่งเกิดจากการต่อสู้หลงเหลือไว้ “ในการทดสอบนี้ มีโอกาสสูงที่อาจ
ถึงขั้นเสียชีวิต จงเตรียมตัว และเตรียมใจเอาไว้ให้ดี! อันดับแรก รางวัลใด
ล้วนไม่มี ดังนั้น แล้วจงพยายามให้ดี หลบหนีจากปัญหาได้หากเห็นว่า
ควรทํา” ผู้อํานวยการไป่กล่าว
“หากไม่อาจจัดการพวกมัน ตราบเท่าที่ วิ่งหนีจนถึงทางเข้าตําหนัก
ดวงดาว พวกมันจะไม่กล้าเข้ามาใกล้”
“หากไม่มีรางวัล เช่นนั้นก็ไม่มีแรงจูงใจให้ฝึกฝนเอาชีวิตรอด เช่นนี้สิ
ขอรับ” ศิษย์คนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างผิดหวัง การทดสอบครั้งนี้เพื่อได้รับแก่น
อสูรสดใหม่ จากนั้นจึงใช้ไข่มุก เสวียนดูดกลืนพลังงานสดใหม่จากแก่น
อสูร หน่วยที่ดูดกลืน พลังงานสดใหม่ได้มากที่สุดจะได้รับอันดับหนึ่ง
“ไม่มีรางวัลใด แต่มีแต้มเสวียน หน่วยที่ได้รับอันดับหนึ่ง จะ ได้รับคนละ
หนึ่งร้อยล้านแต้มเสวียน” ผู้อํานวยการไป่ตอบคํา หนึ่งร้อยล้านแต้ม
เสวียน ถือเป็นจํานวนมหาศาลต่อศิษย์หลายคน
ทุกคนเบื้องต้นไม่ค่อยพอใจนัก แต่เมื่อได้ยินหนึ่งร้อยล้านแต้ม เสวียน
ค่อยมีแรงใจให้ต่อสู้ขึ้นมา!
“ผู้อํานวยการ หากมีความขัดแย้งระหว่างสองกลุ่ม เรื่องนี้ อนุญาตให้ต่อสู้
กันได้หรือไม่?”
“ความขัดแย้งเป็นสิ่งไม่อาจหลีกเลี่ยง สามารถทําได้ หากมี อาการ
บาดเจ็บหรือล้มตาย ก็ถือเป็นข้อขัดแย้งระหว่างสองคน พวกเราไม่
รับผิดชอบ”
กัวเจิ้งกล่าวคํา เขาเป็นรองอธิการบดี ของสถาบันยุทธ์เทียนเสวียน และ
ยังเข้าร่วมการจัดตั้งกฎครั้งนี้ ขึ้นด้วย พอได้ยินคํานี้ ใจของฉินหยุนพลัน
เต้นรัวหันมองทางเชี่ยวหยาง หลง รอยยิ้มเย็นชาและชั่วร้ายปรากฏที่
ใบหน้าของอีกฝ่าย เขา
สามารถฝากฝังซุนจินเฮ่าและคณะ ผู้ซึ่งอยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ ระดับที่
แปดให้โจมตีพวกเขาได้
“ตอนนี้ยังเช้า ค่อยกลับมาที่นี่ก่อนฟ้ามืด” ผู้อํานวยการไป่ กล่าว
“ก็ถึงเวลาแล้ว ให้พวกเจ้าออกเดินทางเสียแต่ตอนนี้ รักษาเวลาด้วย และ
จงสังหารสัตว์อสูรให้ได้มากที่สุด”
โดยทันทีกระจายตัวออกไปทั่วทิศมุ่งหน้าสู่แนว หุบเขาเวิ้งว้าง ถึงตอนนี้
เอง ประตูของตําหนักดวงดาววิญญาณสีครามเปิด ออก คณะอาจารย์จึง
เข้าไปด้านใน เมื่อเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงพบกับลานกว้างขนาดใหญ่ รอบ
ด้านของลานกว้าง สี่ด้านประกอบด้วยเสาหินผลึกแก้วสูงกว่า สิบเมตร
สัตว์อสูรหลายตัว ตอนนี้สามารถพบได้ในรอยแยกของช่องเขา แห้งแล้ง
บ้างก็เป็นรอยแยกด้านล่างของพื้นดิน พวกมันกําลัง รอคอยเหยื่อ
ตอนนี้ศิษย์หลายคนในชุดสีนํ้าเงินกําลังโดนจับตามองผ่านทาง ผนังหิน
ผลึกแก้ว ถัดจากนั้น อาจารย์ของพวกเขาจึงได้เป็น สักขีพยานในการศึก
ระหว่างหน่วยใต้สังกัดของตนในสถาบัน เทียนเจียวกับสัตว์อสูรด้วย
ตัวเอง
หลันเฟิ งจินและอาจารย์อีกหลายท่านไม่ทราบเรื่องนี้ ดังนั้นจึง แปลกใจ
ทันทีเมื่อก้าวเข้ามา โดยเฉพาะกับเชี่ยวหยางหลง สี หน้าของเขากลับ
กลายเป็นน่าเกลียด นี่ก็เพราะหากซุนจินเฮ่า และคณะลงมือต่อหน่วยของ
ฉินหยุน มันจะกลายเป็นถูกเปิด โปงชัดเจนโดยมีผู้คนจํานวนมากที่นี่เป็น
พยานพบเห็น เหตุการณ์
“นี่คือวัตถุซึ่งสร้างขึ้นจากผังจารึกมิติอย่างนั้นหรือ? พวกมัน จับตามอง
หลายสถานที่ผ่านทางผังจารึกมิติในทุกบริเวณของ ภูเขาเกิ้งว้างภายนอก
พวกมันจะส่งภาพทุกสิ่งอย่างที่เห็นเข้า มาที่นี่” หลันเฟิ งจนเดินไปข้าง
กายหยางฉีเย่ว์ ขณะมองผัง จารึกบนผนังผลึกแก้วอย่างสนอกสนใจ
“ศิษย์พี่ สถาบันเทียนเจียวมีพละกําลังโดยรวมเป็นอย่างไร บ้าง?” เชี่ยว
เย่ว์หลานเดินเข้ามา นางตอนนี้สวมใส่ชุดสีนํ้าเงิน ทั้งร่างกายประดับด้วย
เม็ดเหงื่อ ราวกับนางเพิ่งผ่านการต่อสู้ ตึงเครียดมา
“ข้าเป็นอาจารย์ สามีเจ้าเป็นศิษย์ข้า” หลันเฟิ งจินหัวเราะคิก
เชี่ยวเย่ว์หลานและหยางฉีเย่ว์ประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนจะ สํารวจมองที่
ผนังหินผลึกแก้ว คาดหวังว่าจะได้เห็นฉินหยุน พวกนางไม่ทราบว่าฉิน
หยุนและหลันเฟิ งจินรู้จักกันมาก่อน ไม่อย่างนั้นคงต้องพวกนางจะต้อง
ถามสถานการณ์ของฉินหยุน ตอนนี้อย่างแน่นอน ผู้อาวุโสตําหนัก
ตะวันออกฉ่วยอี้ฮวย และโฮวฉิงเฟิงต่างเดิน เข้ามา เซี่ยอูเฟิงตามติด
ด้านข้าง ไม่ทราบว่าพวกเขาพบกันใน ที่นี้ได้อย่างไร
ยิ่งมาผู้คนในลานกว้างยิ่งมากขึ้น พวกเขาทราบเรื่องสถาบัน เทียนเจียว
แล้ว และตอนนี้พวกเขาอยากเห็นกับตาถึงศักยภาพ ของศิษย์สถาบัน
เทียนเจียว ศิษย์ใหม่หลายคนของตําหนักดวงดาววิญญาณสีครามเองก็
มา จากสถาบันยุทธ์ระดับเสวียนทั้งสาม พวกเขาล้วนอยากเห็นกับ ตาถึง
ศิษย์ยอดเยี่ยมในสถาบันยุทธ์ที่พวกเขาเคยอยู่ ฉินหยุนและคณะไม่ทราบ
ว่าตอนนี้มีผู้คนกําลังจับตามองการ ต่อสู้ระหว่างพวกเขาและสัตว์อสูร
กระทั่งได้ยินเสียง ฉินหยุนมีความสามารถในการสะกดรอยและค้นหา
ร่องรอย สัตว์ปีศาจมาเนิ่นนาน ดังนั้นหน่วยของเขาจึงพบเจอพวกมันได้
รวดเร็ว แดนแห้งแล้งค่อนข้างเรียบง่าย ไม่ค่อยมีแม้กระทั่งหินใหญ่ให้
หลบซ่อน ไม่ว่าจะมองอย่างไร พวกเขาก็ไม่คิดว่าจะมีสัตว์อสูร ซ่อนตัวอยู่
ที่นี่ ทว่า ฉินหยุนกลับสามารถสัมผัสถึงออร่าของสัตว์อสูร
“น้องหยุน สัตว์อสูรนี้เป็นอย่างไรกัน?” ฮั่วจงเอ่ยถามเสียงเบา เขานําเอา
ไม้คทายาวออกมาสํารวจมองโดยรอบ
“น้องหยุน นี่ไม่คล้ายจะมีสัตว์อสูร มั่นใจหรือ?” มู่หรงต้าเหริน เอ่ยถาม
ทว่าในมือก็ถืออาวุธพร้อมรบ ฉินหยุนกล่าวตอบหนักแน่น
“ไม่ผิดพลาดแน่ มีออร่าของสัตว์ อสูรอยู่ที่นี่ พวกเราต้องระวังตัวให้ดี!”
เสวี่ยซือเยี่ยนําเอาเคียวคู่สีดําออกมา ท่าที่ระแวดระวังตัวอยู่ ตลอด แม้
นางไม่อาจสัมผัสถึงสัตว์อสูร แต่นางเชื่อใจหัวหน้า หน่วยของนางไม่ใช่
น้อย ที่ลานกว้างตําหนักดวงดาว บนผนังหินผลึกแก้ว ฉินหยุนและ คณะ
ปรากฎภาพ ผู้คนในลานกว้างกําลังสงสัยว่าสัตว์อสูรอยู่ที่ ใด นี่เป็นเพราะ
ดวงตาแห่งมิติไม่ได้เผยสัตว์อสูรให้เห็นเลยสัก ตัว แต่ขณะที่ทุกคนงงงวย
กันอยู่ ฉินหยุนพลันเคลื่อนไหว เร่งรีบ ผลักเข้าใส่มู่หรงต้าเหริน
มู่หรงต้าเหรินโดนผลักกระเด็น พร้อมกันนี้ ร่างเงาบางพลัน ปรากฏออก
คล้ายดาบ
“กระจายตัว!” ฉินหยุนตะโกน
“สัตว์อสูรตัวนี้ซ่อนในพื้น และ มีถึงสองตัว!” เมื่อชั่วจงและเสวี่ยซือเยี่ยได้
ยินดังนี้ ทั้งสองเร่งรีบกระจายตัว พวกเขาเองก็เห็นสิ่งที่ทะยานเข้าหา มัน
เป็นตะขอขนาดราว กําปั้น! นี่สมควรเป็นเหล็กในพิษแมงป่ อง! เมื่อ
เหล็กในใหญ่เพียงนี้ ผู้คนล้วนจินตนาการได้ว่าแมงป่องตัว นี้ขนาดใหญ่โต
เพียงใด พร้อมเสียง “ฉัวะ”
ดังนั้น อะไรสักอย่างขนาดใหญ่มากพลัน ปรากฏตัวจากพื้นดิน มันเป็น
แมงป่องจริง ร่างนั้นยาวราวสาม เมตร หางของมันยาวเกือบสี่เมตรเห็นจะ
ได้ ที่น่ากลัวที่สุดคือ ตะขอที่ปลายหางนั้นสามารถกวัดแกว่งได้ ระยะไกล
ยิ่ง ราวกับมันมีโซ่เชื่อมต่อเอาไว้ มันสามารถหลุด ออกมาจากตัวหางบิน
ห่างออกมาได้นับสิบเมตร
เคียวของเสวี่ยซือเยี่ยเองก็บินออกไปได้ ดังนั้นจึงค่อนข้าง คล้ายกัน แมง
ป่องสีดําทั้งสองขุดพื้นขึ้นมาพร้อมโจมตีเข้าใส่ฮั่วจงและมู่ หรงต้าเหริน
“น้องหยุน พวกเราควรรับมืออย่างไร?” ขณะโบกพัดในมือ ปลดปล่อย
วัชระกําลังภายใน มันปะทะเข้ากับร่างแมงป่องแต่ ไม่คล้ายได้ผลนัก ร่าง
แมงป่ องพิษปกคลุมด้วยเกราะหนาสีดํา พลังป้องกันของ มันถือว่า
แข็งแกร่ง จึงสามารถป้องกันกําลังภายในที่แข็งแกร่ง! ฉินหยุนตอบ
“เหมือนว่ามีแต่จะต้องเข้าประชิดจัดการมันแล้ว แต่ระยะประชิดอันตราย
มาก พิษแมงป่องสมควรร้ายแรง หาง ของมันยังแปลกมากจนยากรับมือ”
ความเร็วของแมงป่องทั้งสองตัวถือว่ารวดเร็ว พวกมันตอนนี้ไล่ ตามฮั่วจง
และมู่หรงต้าเหรินอยู
“หัวหน้า ข้าสามารถสู้ในระยะประชิดได้ ให้ลองดีหรือไม่?” ฮั่วจงเอ่ยถาม
“ไม่ดี เหล็กในของแมงป่องรวดเร็วมาก ไม่ใช่เรื่องง่ายหลบ เพราะร่างกาย
ท่านใหญ่” ฉินหยุนควบคุมกระบี่แก่นจิตสับฟัน เข้าใส่ตะขอที่หางของแมง
ป่อง “ซือเยี่ย มู่หรง โจมตีเหล็กในแมงป่อง อย่าให้เหล็กในมัน ออกมาได้
ข้าจะดึงความสนใจมันเอง!”
ก่อนหน้านี้ ฉินหยุนส่งกระบี่บินได้ออกไปจัดการตะขอที่หาง แล้ว ดังนั้น
มันจึงไม่อาจเคลื่อนไหว ไม่เช่นนั้นก็มีแต่จะเปิด โอกาสให้มันปล่อยหาง
ตะขอออกมาเล่นงาน
“พี่ฮัว เตรียมโจมตีแมงป่ องพิษที่ไล่ตามท่าน!” ฉินหยุนตะโกน ถึงตอนนี้
เอง มู่หรงต้าเหรินที่อยู่ระยะไกล พลันโจมตีเข้าใส่แมง ป่ องโดยเล็งที่หาง
“ได้!” เมื่อฮั่วจงพร้อม เขาจึงพบว่าฉินหยุนทะยานกายเข้าไป แล้ว กระบี
บินได้เคียงข้าง มันถูกใช้งานออกผ่านวิชาวายุ สังหารทั้งหกกระบวนท่า
เข้าใส่หางแมงป่อง
เมื่อกระบวนท่าทั้งหกของวายุสังหารถูกใช้งาน เงากระบี่จึงพาดผ่านไปทั่ว
พื้นที่ พลังภายในกระบี่ไหลทะลักหนาแน่น ปก คลุมร่างแมงป่องขนาด
ใหญ่เอาไว้
ฉัวะ ฉัวะ! ฉัวะ ฉัวะ! กระบี่แก่นจิตสับฟันออก แสงของกระบี่เย็นเยือก
เมื่อมันโจมตี เข้าใส่หางแมงป่อง ประกายไฟถึงกับปรากฏแปลบปลาบ!
เกราะสีดําที่ร่างของแมงป่ องแข็งราวเหล็กกล้า กระนั้นมันก็ยัง ได้รับ
บาดเจ็บเพราะวิชาวายุสังหารทั้งหกกระบวนท่าของฉินหยุน
ฮั่วจงเร่งรีบเข้าไป ไม้คทายาวในมือยกขึ้น ออร่าวัวกระทิง ปลดปล่อยออก
จากร่าง
ตึง ตึง ตึง ตึง! " ไม้คทาในมือของฮั่วจงปลดปล่อยการโจมตีออกกว่าสิบ
กระบวนท่า แต่ละครั้งล้วนทรงพลัง เป็นผลให้ร่างแมงป่ องพิษ จมลงกับ
พื้นก่อนสิ้นใจ
เสวี่ยซือเยี่ยและมู่หรงต้าเหรินกําลังรับมือกับแมงป่ องอีกตัวอยู่ แมงป่อง
เดิมคิดปลดปล่อยตะขอออก แต่มันไม่คิดว่าเสวี่ยซื้อ เยี่ยจะสามารถ
ปล่อยเคียวของนางออกในทันทีเพื่อสกัดตะขอ ของมันเอาไว้ ตะขอพิษไม่
อาจทําร้าย เสวี่ยซือเยี่ยโจมตีดุดัน เคียวคู่ของนางโหดเหี้ยมทั้งยังคมกริบ
หลังกวัดแกว่งไม่กี่ครั้ง
นางสามารถตัดขาแมงป่องทั้งหมดออก ราวกับนั่นเนื้อสัตว์ อ่อนนุ่มชิ้น
หนึ่ง แมงป่องเมื่อเสียขา มันจึงได้แต่นอนนิ่งกับพื้น ทําการโจมตีโดย กวัด
แกว่งหางมั่วไปหมด ฉินหยุนและฮั่วจงทะยานกายเข้ามาพร้อมสร้างความ
เจ็บปวด แก่แมงป่องร้าย พวกเขากะเทาะเปลือกมันออกก่อนจะวุ่นวาย
หาแก่นอสูรอยู่นาน
“เรียบร้อย ได้แก่นอสูรเสียที” ฉินหยุนหัวเราะขณะลอบถอนใจ โล่งอก เมื่อ
ครู่นี้สถานการณ์ออกจะอันตรายเกินไปบ้างจริง ๆ ผู้คนที่ลานกว้างตําหนัก
ดวงดาวส่งเสียงฮือฮากันด้วยความตื่น ตะลึง
“นี่เป็นแมงป่ องเกราะเหล็ก เป็นสัตว์อสูรระดับแปด แท้จริง แล้วมันสังหาร
ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่แปด และขอบเขต กายวรยุทธ์ระดับเจ็ดสาม
คนได้ง่ายเพียงเวลาอันสั้นด้วยซํ้า”
“พละกําลังของฉินหยุนเป็นดังชื่อเสียงเล่าลือ”
“แมงป่ องเกราะเหล็กไม่ง่ายรับมือ แต่พวกเขาร่วมมือกัน ทั้ง ฝีมือยังเกิน
กว่าที่คาดคิด มีเพียงเหตุนี้จึงสามารถสังหารสัตว์ อสูรระดับแปดทั้งสอง
ตัวได้โดยง่าย”
ตอนที่ 226 ปล้นชิง
ภายในตําหนักดวงดาววิญญาณสีคราม มีรุ่นเยาว์ขอบเขต กายวรยุทธ์
ระดับที่เจ็ดและแปดหลายคน เมื่อพวกเขาได้เห็น ฉินหยุนและคณะสังหาร
แมงป่องทั้งสองตัว พวกเขาต่างพ่นลม ออกจมูก ฉินหยุนและคณะนํ้าเอา
แก่นอสูรจากแมงป่องและส่งถ่ายไปยัง ไข่มุกเสวียน พวกมันดูดกลืนพลัง
จากแก่นอสูรระดับแปดทั้ง สองด้วยความเร็วสูง เพียงอึดใจก็เสร็จสิ้น
กระบวนการ
“สัตว์อสูรสองตัวเพิ่งตายไป สัตว์อสูรใกล้เคียงจะได้กลิ่นความ ตายและ
มาทางนี้ บางทีพวกมันอาจมาถึงในอีกไม่ช้า!” ฉินหยุ นกล่าว
“พวกเราต้องรีบถอยให้ไว” เสวี่ยซือเยี่ยเผยเสียงเย็น
“ไม่ทันแล้ว เสียงมาใกล้มาก! จะหนีหรือสู้?”
ฝูงสัตว์อสูรมีความเร็วสูง ทั้งยังมาเป็นจํานวนมาก พวกมันกว่า สามสิบตัว
เป็นหมาป่าหนามสีนํ้าตาล! หมาป่าหนามตัวไม่ใหญ่ จะเรียกว่าเป็นสัตว์
อสูรขนาดเล็กกว่า ได้ พวกมันลําตัวยาวราวสองเมตร สูงราวหนึ่งเมตร
ทว่าทั้ง ร่างกายปกคลุมด้วยหนามที่หนาแน่นจนน่ากลัว เมื่อหมาป่าที่
ปราดเปรียวมาถึง มันไม่ได้หอนร้อง กลับกัน
ฝีเท้านั้นเบาบาง ชั่วขณะที่พวกมันพบมนุษย์ จึงพุ่งทะยานราว แสงวูบ!
“จ่าฝูงเป็นสัตว์อสูรระดับแปด ที่เหลือระดับเจ็ด พวกเรารับมือ ไหว!” ขณะ
ฉินหยุนกล่าว เขาทะยานกายออกพร้อมค้อนราชัน ยักษ์วิญญาณในมือ
ซ้าย พร้อมเสียงคําราม แขนเสื้อฝั่งซ้ายของเขาระเบิดออก เผยซึ่ง มัด
กล้ามแข็งแกร่ง โทเทมราชสีห์สวรรค์บนแขนซ้ายปรากฏ มันกําลังส่องแสง
สีม่วง เปลวเพลิงและสายฟ้าตอนนี้ทะลักออก อย่างต่อเนื่องจากพื้นผิว
ของตัวแขน
ที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือคอนราชันยักษ์วิญญาณ ฉับพลันมันใหญ่โตขึ้น!
ที่ภายในตําหนักดวงดาววิญญาณสีคราม กัวเจิ้งจากสถาบัน ยุทธ์เทียน
เสวียนพอเห็นเรื่องราวจึงร้องออกแตกตื่น “วิญญาณ ยักษ์แปลงกาย! ฉิน
หยุนผู้นี้ได้รับวิญญาณยักษ์มาใส่ไว้ด้านใน ค้อนราชันยักษ์วิญญาณจริง
หรือนี่? ค้อนราชันยักษ์วิญญาณที่ แท้จริง จําเป็นต้องผสานกับวิญญาณ
ยุทธ์ยักษ์จึงทําให้มัน ใหญ่โตขึ้นอย่างฉับพลันได้”
“สิ่งนี้สมควรเป็นอาวุธวิญญาณชั้นเลิศแล้ว!” หลั่นเฟิ งจิ นขมวดคิ้วกล่าว
นางเคยเห็นคอนราชันยักษ์วิญญาณของฉัน หยุนมาก่อน แต่นางไม่คล้าย
พบว่ามีวิญญาณยักษ์อยู่ด้านใน เมื่อผู้คนในลานกว้างได้ยินคํากล่าว
ของกัวเจิ้ง เสียงฮือฮาจึงดัง ขึ้น ฉินหยุนครอบครองอุปกรณ์วิญญาณชั้น
เลิศที่ขอบเขต กายวรยุทธ์ระดับที่เจ็ด เรื่องนี้พวกเขาต้องพิจารณาอีกฝ่าย
กัน เสียใหม่!
ที่ควรทราบคือ กระทั่งผู้ฝึกตนวรยุทธ์เต๋า ยังไม่มีอุปกรณ์ วิญญาณชั้นเลิศ
ใช้งาน โดยทั่วไป เพียงอุปกรณ์วิญญาณ ระดับสูงถือว่าดีมากแล้ว ฉิน
หมอดไหม้ปรากฏตัว คนแรกที่ทะยานกาย ออกคือเสวี่ยซือเยี่ย เป็นเพราะ
นางปลดปล่อยพลังภายในได้ แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่ม
“พี่รองมู่หรง!” ฉินหยุนตะโกน มู่หรงต้าเหรินเร่งรีบรวบรวม บอลแสงกําลัง
ภายในยิงใส่ร่างพยัคฆ์ทมิหลอยลิ่ว ถัดจากนั้น ฉินหยุนจึงควบคุมกระบี่
แก่นจิต เข้าสับฟันที่หัวของ พยัคฆ์ทมิฬมอดไหม้
เครั้ง! กระบี่สับฟันลง แต่เสียงปะทะกลับผิดคาด มันไม่อาจตัดหัวของ
พยัคฆ์ตัวนี้ได้! “แข็งแกร่งมาก!”
ฉินหยุนเร่งรีบตะโกน “ทุกคนถอย! อยู่ให้ ห่างจากพยัคฆ์ทมิฬ!”
เสวี่ยซือเยี่ยผู้ซึ่งอยู่ใกล้มันที่สุด ดวงตาของนางแปรเปลี่ยนเป็น สีม่วง
เคียวในมือของนางปกคลุมด้วยแสงสีม่วง ปลายเดียว ฉับพลันหลุดลอย
ออกปักเข้าใส่เท้าคู่หน้าของพยัคฆ์ทมิฬ นางดึงเคียวตะขอกลับ คิดอยาก
ตัดเท้าคู่หน้าของมัน ทว่าด้วย ผิวหนังหนาจึงทําให้ยากต่อการตัด
“เสวี่ยซือเยี่ย ระวัง!” ฉินหยุนพบว่าพยัคฆ์ทมิฬทะยานกาย เข้าใส่นาง จึง
ต้องร้องตะโกนขึ้น ถัดจากนั้น เขาเหยียบย่าง ออกด้วยก้าวอัคคีเมฆาพุ่ง
เข้าหา
“ให้เจ้าแล้ว!” เสวี่ยซือเยี่ยคํารามเบาขณะคมเคียวส่องแสงสี ม่วงวูบ
ปรากฏเป็นออร่าคุกคาม
ครึก! เคียวทั้งสองซึ่งปักอยู่ตรงขาคู่หน้าของศัตรูในที่สุดก็หลุดออก พร้อม
กันนี้ พวกมันได้หักกระดูกเท้าหน้าของพยัคฆ์ทมิฬไป ด้วย! พยัคฆ์ทมิ
หมอดไหม้ที่พุ่งเข้ามา พลันล้มลงกับพื้นส่งเสียงร้อง เจ็บปวด ปากกว้าง
ของมันอ้าออกคิดกัดกินเสวี่ยซือเยี่ย มู่หรงต้าเหรินซึ่งยืนอยู่ไกลออกไป
พลันปล่อยบอลกําลังภายใน เข้าใส่ปากของพยัคฆ์ ส่งร่างนั้นลอยกลับอีก
ครั้ง เพื่อตัดเท้าคู่หน้าของพยัคฆ์ทมิฬ เสวี่ยซือเยี่ยใช้แรงกายและพลังไป
มากไม่น้อย หลันเฟิ งจินถอนหายใจโล่งอก
“พวกเขาน่าจะจัดการพยัคฆ์ ทมิฬมอดไหม้ได้สําเร็จ สัตว์อสูรตัวนี้ระดับ
เก้า แต่ตอนนี้อยู่ สภาพน่าสังเวชแล้ว ชักสงสัยว่าเป็นสัตว์อสูรระดับเก้า
จริง หรือไม่?”
ศิษย์ผู้อื่นต่างคิดเห็นเช่นเดียวกัน ทว่า พวกเขากล้าพูดว่า พยัคฆ์ทมิฬมี
ความเร็วการบินสูงส่ง พละกําลังใช้ออก หลากหลายประเภท ทําให้ยาก
รับมือ ด้วยเหตุนี้ เมื่อพวกเขาเห็นพยัคฆ์ทมิฬโดนตัดขาคู่หน้าออก พวก
เขาจึงร้องออกด้วยความไม่อยากเชื่อ พวกเขาล้วนซึ่งต่อ ความแกร่งกล้า
พลังสีม่วงของเสวี่ยซือเยี่ย
“พี่ฮัว พี่มู่หรง คุ้มกันเสวี่ยซือเยี่ย ที่เหลือข้าจัดการเอง” ฉิน หยุนนําคอน
ราชันยักษ์วิญญาณออกมา ฝีเท้าก้าวทะยานออก พุ่งเข้าหาศีรษะของ
พยัคฆ์ทมิฬมอดไหม้ เมื่อวิญญาณยุทธ์ยักษ์ในก้อนทํางาน ตัวค้อนพลัน
ใหญ่โตขึ้น!
ด้วยฉินหยุนทุบค้อนลง มันระเบิดออกเป็นเปลวเพลิงสีม่วง พร้อมประกาย
สายฟ้าแปลบปลาบ นี่เป็นกระบวนท่าแรกของ มังกรหลอม ฟ้าคําราม!
หลังการโจมตีนี้ พยัคฆ์ทมิฬคํารามร้องเสียงดังพร้อมรอยปริ แตกที่หัวของ
มัน!
ทันทีถัดจากนั้น ฉินหยุนจึงลั่นการโจมตีที่สอง มังกรหลอม กระบวนท่าที่
สอง! เสียงคํารามฟ้าร้องดังสนั่นสะท้อนในหมู่เมฆ สายลมกระโชก รุนแรง
เมื่อค้อนฟาดลงมา สายฟ้าคํารามดังสั่นสะท้านหมู่เมฆ หัวของพยัคฆ์ทมิ
สมอดไหม้โดนทุบฟาดเต็มแรง ทั้งหัวแตก ระเบิดออก! เพียงแค่สองการ
โจมตี เขาถึงขั้นสังหารพยัคฆ์ทมิฬมอดไหม้ ด้วยพละกําลังชวนสะพรึง
เพียงนี้ เป็นผลให้ศิษย์หลายคนของ ตําหนักดวงดาววิญญาณสีครามต้อง
ร่างกายแข็งที่อ
“ช่างเป็นเคล็ดวิชาค้อนที่น่าสะพรึงนัก นี่สมควรเป็นวิชายุทธ์ ระดับลึกลํ้า
แล้ว ทั้งยังฝึกฝนจนถึงขั้นสูงแล้วด้วย!” หลันเฟิง จินยังต้องอึ้ง นาง
ตระหนักได้ว่าความเข้าใจต่อฉินหยุนของนาง ยังตื้นเขิน หยางฉีเย่ว์เข้าใจ
เคล็ดวิชาค้อนนี้เป็นอย่างดี และรู้ดีกว่าใครว่า มังกรหลอมหกกระบวนน่า
กลัวเพียงใด ตอนนี้ ฉินหยุนเพียงเชี่ยวชาญขั้นสูง มันจะยิ่งทรงพลัง
มากกว่านี้หากเขาถึงขั้น สมบูรณ์หรือเหนือกว่านั้น ฉินหยุนนําเอาแก่น
อสูรของพยัคฆ์ทมิหมอดไหม้ออก แต่แล้ว ขณะที่คิดใช้ไข่มุกเสวียน
ดูดกลืน ร่างจํานวนหนึ่งพลันปรากฏ เหล่านั้นเป็นซุนจินเฮ่าและเด็กหนุ่ม
อีกสามคนที่ขอบเขตกายวร ยุทธ์ระดับแปด โดยทันที ฉินหยุนทะยานกาย
กลับเคียงข้างเสวี่ยซือเยี่ยเพื่อคุ้มกัน
มู่หรงต้าเหรินและฮั่วจงต่างกระชับอาวุธในมือยืนหยัดตรงหน้า เรื่องนี้
ชัดเจนกว่าอื่นใด ซุนจินเฮ่าและคณะมาที่นี่เพื่อสังหาร พวกเขาและคิดฉก
ชิงสิ่งของเป็นแน่แท้ ที่ลานกว้างตําหนักดวงดาววิญญาณสีคราม เชี่ยวห
ยางหลงได้ เห็นภาพฉากนี้กับตา ฟันกัดจนดังกรอด เขาคิดอยากออกจาก
ตําหนักเสียตอนนี้ไปหยุดยั้งซุนจินเฮ่า
หลันเฟิ งจินเผยสายตาเย็นชาเอ่ยถามต่อเซี่ยวหยางหลง “เป็น นักเรียนเจ้า
นี่นา แท้ที่จริงเป็นพวกชอบลักขโมยของผู้อื่น น่า ละอายนัก”
“ฉินหยุนทําร้ายซุนจินเฮ่าก่อนหน้านี้ นี่ถือเป็นข้อพิพาท ระหว่างพวกเขา
ไม่มีอันใดเกี่ยวข้องกับข้า! ต่อให้ซุนจินเฮ่าคิด อยากปล้นฉินหยุนและ
คณะ ก็ไม่ใช่เพราะข้าบอกให้พวกเขา กระทํา เป็นพวกเขาลงมือกระทํา
เอง!”
เชี่ยวหยางหลงเร่งรีบ ไขความกระจ่างต่อฝูงชน ด้วยคนจํานวนมากรับชม
หากซุนจินเฮ่าทําร้ายฉินหยุนและ คณะ เชี่ยวหยางหลงไม่อาจปกป้อง
พวกเขาได้ หยางฉีเย่ว์หันมองทางฉ่วยอี้ฮวยและเอ่ยถามเป็นกังวล
“ผู้ อาวุโสฉ่วย ท่านไม่คิดไปหยุดยั้งพวกเขาหรือ?” ฉ่วยอี้ฮวยส่ายหน้า
กล่าวคํา
“ไม่ใช่พวกเราไม่อยากออกไป แต่ ประตูปิดอย่างแน่นหนาแล้ว หากคิด
เปิดอีกครั้งต้องใช้เวลา มี สัตว์อสูรภายนอกจํานวนมาก แต่ละครั้งที่
ต้องการเปิดประตู จําเป็นต้องใช้ผู้อาวุโสของสี่ตําหนักร่วมมือกัน”
อาจารย์ผู้อื่น ที่มีสัมพันธ์อันดีกับฉินหยุน พวกเขาคิ้วขมวด ขณะสาปแช่ง
ซุนจินเฮ่าและคณะที่ก่อการ พร้อมกันนี้ พวกเขา ยังเอ่ยถามต่อผู้อาวุโส
จากสี่ตําหนักให้เปิดประตู เพื่อพวกเขา จะได้ออกไปยับยั้งเหตุ
ตอนที่ 227 สังหาร
ผู้อาวุโสจากตําหนักตะวันตกแค่นเสียง “การต่อสู้เช่นนี้ไม่อาจ หลีกเลี่ยง
การเอาตัวรอดและการแข่งขัน ทั้งสองเป็น ประสบการณ์โหดร้ายที่พวก
เขาต้องฝ่าฟัน! ฉินหยุนและคณะ กระทั่งสังหารสัตว์อสูรระดับเก้า ดังนั้น
พวกเขาย่อมต้องรับมือ ศิษย์สี่คนระดับแปดได้ ด้วยเหตุนี้ เปิดประตู
หรือไม่ ไม่ใช่เรื่อง สําคัญแต่อย่างใด พวกเขาสามารถรับมือได้”
ตําหนักตะวันตกเป็นปรปักษ์ต่อฉินหยุน กระทั่งว่ามีความแค้น ใหญ่หลวง
ชัดเจนว่าพวกเขาไม่คิดช่วยเหลือฉินหยุนอย่าง แน่นอน หลันเฟิงจนแทบ
บันดาลโทสะออกโดยการพุ่งเข้าหาเชี่ยวหยาง หลง โชคดีที่ผู้อาวุโสหลาย
ท่านรั้งนางเอาไว้
เมื่อซุนจินเฮ่าและคณะตระหนักว่าเป็นพวกฉินหยุน พวกเขา จึงเริ่มปิด
ล้อมโดยทันที เสียงของฉินหยุนเปี่ยมด้วยความโกรธขณะนํ้าเสียงเผย
ความ เย็นชา
“ซุนจินเฮ่า พวกเจ้ามาทําอะไรที่นี่?” เสวี่ยซือเยี่ยเมื่อครูใช้พลังไปมาก
ตอนนี้นางยังไม่อาจฟื้นฟูได้ โดยเร็ว พละกําลังของหน่วยเขาเท่ากับขาด
ไปหนึ่งคน แทบไม่ มีโอกาสชนะซุนจินเฮ่าที่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่
แปด
“อะไรงั้นหรือ? แน่นอนว่าย่อมต้องมาเพื่อให้พวกเจ้าได้รู้ถึง ความ
โหดเหี้ยมของการแข่งกัน เจ้าเพิ่งสังหารสัตว์อสูรระดับที่ เก้าไปนี่? พวก
มันทรงพลังนัก แต่ต่อหน้าพวกเรา ไม่ต่างอะไร กับมดปลวก”
ซุนจินเฮ่าเผยดวงตาเหี้ยมโหด ทุกคนล้วนเห็น ถึงจิตสังหารที่แฝงอยู่ ซุน
จินเฮ่าโดนฉินหยุนทําร้ายต่อหน้าฝูงชนถึงสองครั้งครา ถือ เป็นการหยาม
เกียรติอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะคิดถึงเรื่องนี้เมื่อใด ความโกรธภายในจะแทบ
ทะลักออก
“ฉินหยุน วันนี้ ข้าจะทําให้ชีวิตของเจ้าเลวร้ายยิ่งกว่าความ ตาย! อย่าได้
คิดว่าจะมีผู้อื่นมาช่วยเหลือเจ้า ในสถานที่กว้าง ใหญ่เช่นนี้ ต่อให้เจ้าตาย
ก็ต้องโดนคิดว่าเป็นสัตว์อสูรสังหาร”
ซุนจินเฮ่าระเบิดเสียงหัวเราะออก เด็กหนุ่มผมสีแดงขอบเขตกายวรยุทธ์
ระดับที่แปดพลันเข้า โจมตี ด้วยกระบี่ยาวในมือ มันกําลังสับฟันที่สั่วจง
ฮั่วจงเดือดดาล ไม้คทายาวในมือเขาตวัดออกต้านรับเด็กหนุ่ม ไม้คทายาว
เปี่ยมด้วยพละกําลังมหาศาล เมื่อหวดฟาดออก เกิดขึ้นเป็นลมพายุ
ทําลายกระบี่ยาวของเด็กหนุ่ม พละกําลังชวนสะพรึงนี้ทําเอาหลายผู้คน
ตื่นตะลึง เขาถึงขั้น รับมือกําลังภายในของขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่
แปดได้โดย ไม่ยากเย็น!
แต่ มู่หรงต้าเหรินตกอยู่ภายใต้การโจมตีเช่นกัน พัดในมือโบก สะบัด ยิง
ออกซึ่งบอลแสงสีแดงแปลกประหลาดเข้าใส่ร่างเด็ก หนุ่ม ไม่ช้า มันจุดขึ้น
เป็นอัคคีเพลิง
ซุนจินเฮ่ามึนงงไปวูบ เขาไม่คิดว่าขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่ เจ็ดจะทรง
พลังได้เพียงนี้ ทว่า เขาก็หาได้กังวลไม่ เพราะผู้คน ของเขามีกําลังมากพอ
ให้บดขยี้ศัตรู ฉินหยุนเพียงเพิ่งคว้ายันต์ออก หมัดของซุนจินเฮ่าก็ทะยาน
มา พร้อมบอลเปลวเพลิงสีทองขาวลุกโชนทั้งสอง แปรเปลี่ยนเป็น หัว
พยัคฆ์ซึ่งประกอบขึ้นจากวัชระวิญญาณยุทธ์และกําลัง ภายใน หมัดของ
ซุนจินเฮ่าแปรเปลี่ยนเป็นพยัคฆ์ทองขาว ปลดปล่อย เสียงคํารามร้องชวน
สะพรึง ออร่าสะกดข่มแปรเปลี่ยนเป็นสาย ลมพัดคิดฉีกกระชาก!
“อย่าได้ทําร้ายเสวี่ยซือเยี่ย ไม่เช่นนี้คืนนี้พวกเราจะไม่มีอะไร สนุกให้ได้
ทํา! ฮ่าฮ่าฮ่า!” ซุนจินเฮ่าหัวเราะชั่วช้า ฉินหยุนโกรธแค้นทันทีเมื่อได้ยินคํา
ของซุนจินเฮ่า เขาไม่คิดว่า อีกฝ่ายจะมีความคิดสกปรกตํ่าช้าเพียงนี้ เสวี่ย
ซือเยี่ยยัง พักผ่อนอยู่ที่พื้น กระนั้นนางยังโกรธแค้นจนใบหน้าแดงกํ่า
ดวงตาสีม่วงของนางราวกับจะพ่นเปลวเพลิงสีม่วงออกมาได้
ตึก ตึก ตึก! เสียงฝีเท้าซุนจินเฮ่าทะยานเข้ามาจากระยะไกล ราวพยัคฆ์
คิด ขยํ้าเหยื่อ หมัดหัวพยัคฆ์คือสิ่งชวนให้สะพรึง ขณะมันคําราม ร้อง
กราดเกรี้ยว ออร่ารุนแรงจึงไหลทะลักเข้าปกคลุมคู่ต่อสู้ ฉินหยุนขว้างปา
ยันต์สะกดกายในมือ พลังโปร่งแสงระเบิดออก ปกคลุมร่างซุนจินเฮ่า
เอาไว้ ซุนจินเฮ่าขณะกําลังทะยานกาย ร่างกายแข็งที่อ ราวกับพื้น
แผ่นดินดูดกลืนร่าง ไม่อาจขยับได้ ถัดจากนั้น ฉินหยุนโยนยันต์อัคคีออก
อีกแผ่น เปลวเพลิงลุก ท่วมซุนจินเฮ่า
“เป็นยันต์สะกดกาย!” ฉ่วยอี้ฮวยเผยความตื่นตะลึง
“นี่เขา รู้จักผังจารึกเช่นนี้ด้วยหรือ? มันเป็นผังจารึกที่พิเศษยิ่ง! เช่นนี้ ซุน
จินเฮ่ามีเพียงความตายรอคอยแล้ว” ยันต์สะกดกายถือว่าหาได้ยากยิ่ง
เป็นผลให้ความโกลาหล เกิดขึ้นในลานกว้าง สีหน้าเชี่ยวหยางหลงยิ่งน่า
เกลียด
พร้อมกันนี้ ฮั่วจง มู่หรงต้าเหริน ทั้งสองจึงโยนยันต์สะกดกาย ตอนตนออก
เข้าหาศัตรู ทุกคนล้วนจับจ้องเคร่งเครียดที่ผนังหินผลึกแก้ว รับชมการ
ต่อสู้ดุเดือดที่ถ่ายทอดเข้ามา พวกเขาแทบคาดเดาผลลัพธ์ที่ เกิดขึ้นได้!
หลังขว้างปายันต์อัคคีออก ฉินหยุนจุดเปลวเพลิงขึ้น ด้วยแรง ระเบิดพลัง
เขาปล่อยหมัดเข้าปะทะศีรษะซุนจินเฮ่า เมื่ออีก ฝ่ายไร้ซึ่งสติ เขาจึงแยก
เอาวิญญาณยุทธ์พยัคฆ์อัคคีระดับ แพลทินัมออก
“อ๊าก!” ซุนจินเฮ่ากรีดร้องน่าสังเวช ขณะที่ทุกคนเห็นเพียงแต่ เปลวเพลิง
พวกเขาไม่ทราบว่าภายในเกิดเรื่องราวใดขึ้น หลังจากเปลวเพลิงเลือน
หาย ฉินหยุนก็เสร็จงานไปแล้ว กระบี่ ของเขาตอนนี้ใช้งานผ่านวิชาวายุ
สังหารหกกระบวน ปลดปล่อยเปลวเพลิงสีทองม่วงแรงกล้าสับฟันออก
ด้วยเสียง
“ฉัวะ ฉัวะ” ดังขึ้นขณะสับฟันออกไป คมดาบประจุ ด้วยเปลวเพลิงสีทอง
ม่วงภายใน พร้อมกันนี้ ร่างซุนจินเฮ่าถูกสับออกเป็นแปดท่อน ก่อนจะถูก
เปลวเพลิงเผาไหม้กลายเป็น เถ้าถ่าน!
ฉินหยุนหลังจัดการซุนจินเฮ่าเสร็จ จึงขว้างยันต์สะกดกายเข้า หาชายใน
ชุดดําที่กําลังพุ่งเข้าหาเสวี่ยซือเยี่ย เมื่อชายคนนั้นร่างแข็งที่อ เสวี่ยซือ
เยี่ยจึงปลดปล่อยคมเคียว ของนางออก ด้วยคมเคียวไหววูบราวเงาพาด
ผ่าน บาดแผลนับ ไม่ถ้วนปรากฏบนร่างของชายคนนั้น ฉินหยุนจุดยันต์
อัคคีขึ้น เผาร่างเด็กหนุ่มชุดดําเป็นเถ้าถ่าน การต่อสู้ฟากฝั่งมู่หรงต้าเหริน
และฮั่วจงจบแล้วเช่นกัน เด็ก หนุ่มทั้งสองขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับแปด
ตายด้วยสภาพน่า สังเวช
เด็กหนุ่มทั้งสี่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่แปด ไม่อาจแม้กระทั่ง ยืนหยัดรับ
การโจมตีเพียงหนึ่งครั้ง ด้วยการโจมตีของขอบเขต กายวรยุทธ์ระดับที่เจ็ด
สามคน พวกเขาเสียชีวิตรวดเร็วยิ่งกว่า ยามปะทะสัตว์อสูรระดับแปดด้วย
ซํ้า
ศิษย์หลายร้อยคน และอาจารย์หลายท่านในล้านกว้าง ล้วนอด ไม่ได้ สูด
ลมหายใจเข้าลึกกันถ้วนหน้า ความโกรธของหลันเฟิ งจินค่อยสงบลง
สายตาจับจ้องเปลว เพลิงที่ลุกโชนบนผนังผนึกแก้ว นางกล่าวโทษตนเอง
ที่ไม่อาจ สงบ จนลืมเลือนถึงยันต์สะกดกายที่ทรงอํานาจของฉินหยุนไป
หยางฉีเย่ว์จับจ้องเสี่ยวเย่ว์หลาน นางเผยรอยยิ้ม หันไปยิ้ม กล่าวคํา
“คนของข้ายอดเยี่ยมเสมอมา”
“เด็กหนุ่มขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่แปดทั้งสี่ตายเช่นนี้ น่า เสียดายนัก
ฉินหยุนและคณะช่างโหดเหี้ยมจริง” ผู้อาวุโสจาก ตําหนักตะวันตกกล่าว
ออกด้วยนํ้าเสียงเสียดาย
หลันเฟิ งจินแค่นเสียง “หากฉินหยุนและคณะไม่สังหารพวกมัน ก็เป็นพวก
เขาตายตก หากเจ้าเปิดประตูให้ข้าออกไป พวกมัน คงไม่ต้องตายเช่นนี้
ถือว่าดีที่รั้งข้าเอาไว้” ผู้อาวุโสตําหนักตะวันตกพลันเงียบปาก หลังจากฉิน
หยุนและคณะลงมือสังหารพวกของซุนจินเฮ่า พวก เขาพักผ่อนอยู่กับที่ชั่ว
ระยะหนึ่ง หลันเฟิ งจินไม่กังวลอื่นใดอีก
นี่เป็นเพราะฉินหยุนและคณะยังมียันต์สะกดกายจํานวนมาก พกติดตัว
เอาไว้ แต่แล้ว ชั่วขณะนี้ คนหนึ่งตะโกนขึ้น “ดูนั่น! มีคนมาอีกแล้ว พวก
เขาคิดคล้ายจะปล้นฉินหยุนและคณะเหมือนกัน!” เมื่อฉ่วยอี้ฮวยเห็นกลุ่ม
คน เขากล่าวโกรธเคือง
“คนพวกนั้นมา จากตําหนักดวงดาววิญญาณสีครามของพวกเรา และยัง
เป็นผู้ ฝึกตนมีอายุพอสมควรแล้ว พิจารณาจากชุดที่ใส่ สมควรเป็น คน
ของตําหนักตะวันตก!” โฮ่วฉิงเฟิงกล่าวเย็นชา
“ข้าเคยเห็นพวกนั้นมาก่อน เป็นผู้มา จากตําหนักตะวันตก ล้วนอยู่
ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เก้า รับผิดชอบหน้าที่ลาดตระเวนภายนอก
พวกเขาไปทําอะไรที่ นั่น?”
ไปทําอะไร? แม้ไม่มีใครตอบคําถาม ทุกคนล้วนทราบว่าต้องเป็นผู้อาวุโส
ตําหนักตะวันตกสั่งการให้ไปจัดการกับฉินหยุนและคณะ พวก เขาคง
รับชมเรื่องราวอยู่ใกล้เคียงมาก่อนแล้ว
ข้อพิพาทระหว่างเชี่ยวหยางหลงและฉินหยุนลึกลํ้า เขายังเป็น หัวหน้า
ศิษย์ตําหนักตะวันตก และเป็นผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์วรยุทธ์ เต๋า เขาย่อมต้องมี
อิทธิพลระดับหนึ่งในตําหนักตะวันตก มีโอกาสสูงที่ผู้ฝึกตนมีอายุเหล่านั้น
ซึ่งอยู่ระดับเก้า จะถูกส่งไป โดยเชียวหยางหลง
เหตุผลหนึ่งก็เพื่อช่วยเหลือซุนจินเฮ่าและ คณะสังหารสัตว์อสูร อีกเหตุผล
หนึ่งก็เพื่อจัดการกับฉินหยุน และคณะ เซี่ยวหยางหลงเผยใบหน้าดํามืด
เขาได้แต่เงียบ ทว่าภายในใจ สบถก่นด่าคนที่วางแผนจัดการทดสอบครั้ง
นี้ พวกเขาไม่บอก ใครเลยว่าศิษย์ที่ออกสู่ภายนอกจะถูกจับตามองและส่ง
ภาพมา ที่นี่!
ฉินหยุนและคณะไม่ทราบว่ามีหลายคนจับจ้องการต่อสู้ระหว่าง พวกเขา
อยู่ ด้วยเหตุนี้เมื่อพวกเขาโจมตีอีกฝ่าย จึงไม่คิด หลงเหลือผู้รอดชีวิตไว้
กระทั่งกลบเกลื่อนร่องรอยทั้งหมดก็ ด้วย
พวกเขาไม่คิด ว่าไม่เพียงแต่ศิษย์ร่วมสถาบันคิดจัดการพวก เขา ยังมี
กระทั่งผู้ฝึกตนจากตําหนักตะวันตก “นี่สมควรเป็นผู้มาจากตําหนัก
ตะวันตกใช่หรือไม่? พบเห็นการ ต่อสู้ของพวกเราเมื่อครู่นี้?”
ฉินหยุนหันมองผู้อาวุโสชุดนํ้าเงิน และกล่าวถาม “เป็นเช่นนั้น พวกเรา
ติดตามซุนจินเฮ่าและคณะ เพราะพวก เราต้องช่วยพวกเขาลงมือสังหาร
สัตว์อสูร เดิมพวกเราคิดว่า พวกเขาสามารถสังหารพวกเจ้าได้โดยง่าย
ใครกันจะคิดว่า พวกเจ้ากลับมียันต์สะกดกายและพละกําลังเพียงนี้”
ผู้อาวุโส ชุดนํ้าเงินแค่นเสียง นําเอากระบี่ยาวออกมาขณะพูดกล่าว “เป็น
เชี่ยวหยางหลงส่งพวกเจ้ามาหรือ? ช่างขี้โกงนัก!” มู่ หรงต้าเหรินสบถคํา
ออก
ชายชราหัวเราะออกและกล่าว “ถามมากเกินไปแล้ว รู้หรือไม่ ว่าพวกเจ้า
จะมีชีวิตเหลือได้อีกนานเพียงใด?”
ฉินหยุนพลันโยนยันต์สะกดกายออก ทว่า ผู้อาวุโสทั้งสี่คนไม่ คล้ายโดน
ตรึงเอาไว้
“ฮ่าฮ่าฮ่า ยันต์สะกดกายของเจ้าไร้ประโยชน์ต่อพวกเรา พวก เราคือ
ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เก้า ใกล้ก้าวสู่ขอบเขตวร ยุทธ์เต๋าแล้ว
นอกจากนี้ ชุดสีนํ้าเงินที่พวกเราสวมใส่ยัง สามารถยับยั้งพลังได้มาก”
ชายชราหัวเราะกล่าวคํา
“เอาละ ข้าจะส่งพวกเจ้าไปตามทางที่ควรเป็น ไว้กลับไปค่อยอ้างอะไร สัก
อย่างก็แล้วกัน”
“หัวหน้า หนีไป อย่าได้ห่วงข้า” เสวี่ยซือเยี่ยลุกพรวดจากพื้น เร่งรีบมาทาง
นี้ มู่หรงต้าเหรินและฮั่วจงเริ่มการโจมตีคิดเอาชีวิตเข้าแลกแล้ว
“น้องหยุน ไป!” ฮั่วจงคําราม
“แม้เจ้าเป็นหัวหน้า แต่อายุน้อยที่สุด จงรีบไป!” มู่หรงต้าเหริน ยิ้มอ่อน
ราวกับเขาไม่คิดเสียดายชีวิตตนเองแล้ว ฉินหยุนอึ้ง เขาถือค้อนราชันยักษ์
วิญญาณและกระบี่เอาไว้ใน มือ ดวงตาพร่ามัว เขาพลันเกลียดชังตนเอง
เหตุใดเขาจึง อ่อนแอเพียงนี้? หากเขาแข็งแกร่งพอ สถานการณ์เช่นนี้จะ
ไม่ เกิดขึ้น!
ชั่วขณะนี้ ที่เขายังไม่อาจตัดสินใจ หากเขาวิ่งหนี เสวี่ยซือเยี่ย มู่หรงต้าเห
ริน และฮั่วจง พวกเขาต้องตายแน่นอน หากพวกเขายืนหยัด ก็ต้องตายกัน
ที่นี่ทั้งสี่คน! “หลบไป!”
ฉินหยุนคํารามร้องจากใจ ร่างกายระเบิดคลื่นพลัง ออกพุ่งเข้าหา “พวก
เจ้าสองคน รับมือกับฉินหยุน พวกเราจะรับมือกับอีกสาม คนที่เหลือเอง
ระวังเอาไว้ด้วย ไว้ชีวิตพวกมัน พวกเราสามารถ ใช้สามคนนี้บังคับให้ฉิน
หยุนส่งผังจารึกมาได้”
ชายชราที่นํา หน่วยลาดตระเวนหัวเราะชั่วช้า แม้ฉินหยุนมียันต์สะกดกาย
ระดับสูง เขาก็สามารถใช้มันจัดการ กับผู้ฝึกตนกายวรยุทธ์ระดับเก้าได้
เพียงสอง นอกจากนี้ เขายัง ไม่มั่นใจด้วยว่าจะสําเร็จ ตอนนี้ เขาได้แต่ใช้
พลังที่แข็งแกร่งที่สุดของตนเพื่อต่อสู้แล้ว!
ตึง! ตู้ม! โครม!
ฉินหยุนกราดเกรี้ยว ทะยานกายเข้าหาคู่ต่อสู้อย่างสุดแรง ปลดปล่อยบอล
พลังน่าสะพรึงลูกแล้วลูกเล่า ผลลัพธ์ที่ได้ เสียง ดังสนั่นถูกส่งผ่านมายัง
ลานกว้างของตําหนักดวงดาววิญญาณ สีคราม
“ตําหนักตะวันตก เหตุใดยังไม่เปิดประตูอีก!” พอหลันเฟิงจิน เห็นดังนี้
ดวงตานางแปรเปลี่ยนเป็นแดงกํ่าคํารามร้อง ฉ่วยอี้ฮวยและผู้อาวุโส
ตําหนักตะวันออกอีกหลายคนเริ่มกดดัน พวกเขา ตําหนักดวงดาว
วิญญาณสีครามท้ายที่สุดจึงยอม เปิด ประตูด้วยผู้อาวุโสจากสามตําหนัก
ตอนที่ 228 วัชระวิญญาณยุทธ์
คณะของฉินหยุนมีขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่แปดเพียงผู้เดียว ที่เหลือ
ล้วนอยู่ระดับเจ็ด พวกเขาไม่มีโอกาสชนะยามต้องรับมือ กับกลุ่มคนระดับ
เก้าทั้งสี่ ศิษย์ของตําหนักดวงดาววิญญาณสีคราม รับชมผนังผลึกแก้ว
เงียบงัน พวกเขารู้สึกเสียใจยามเมื่อเห็นฉินหยุนและคณะต้อง เลือดโชก
ตั้งแต่หัวจรดเท้า ฉินหยุนสามารถหลบหนี แต่เพื่อสหายของตน เขาเลือก
ยืน หยัดเริ่มศึกละเลงเลือด ผู้ฝึกตนชราหัวเราะชั่วช้า ขณะที่ฉินหยุนและ
คณะร้องออกด้วย ความเจ็บปวด เสียงทั้งหมดล้วนถูกส่งมา เป็นผลให้
หัวใจของ ทุกผู้คนเกิดความหวาดกลัวเกาะกุม
เซี่ยอูเฟิ งร่างสั่นเมื่อเห็นดังนี้ เขาปลดปล่อยจิตสังหารแรงกล้า ปกคลุม
เชี่ยวหยางหลง หากยั่วจง มู่หรงต้าเหริน และฉินหยุน ตายเมื่อใด เมื่อนั้น
เขาจะโจมตีเชี่ยวหยางหลงอย่างไม่สนอะไร แล้วทั้งสิ้น! หยางฉีเย่ว์ ผู้ก้าว
ถึงขอบเขตวรยุทธ์เต๋า สีหน้าเคร่งเครียดและ เย็นเยือก
เมื่อนางเห็นฉินหยุนโดนล้างแค้นด้วยผู้ฝึกตนอาวุโส นางเจ็บปวดในหัวใจ
นางเองก็ตัดสินใจแล้ว หากฉินหยุนต้อง ตาย นางจะไม่มีทางปล่อยเชี่ยวห
ยางหลง หลันเฟิ งจนถึงประตูหลักแล้ว แต่ก็ต้องใช้เวลากว่าประตูจะเปิด
ออก หากพวกเขาไม่อาจช่วยเหลือศิษย์ของนางได้ทัน นาง จะต้องล้าง
แค้นต่อเซี่ยวหยางหลง!
เซี่ยวหยางหลงยืนนิ่งที่เดิม ทั้งร่างตอนนี้ถูกปกคลุมด้วยจิต สังหารของ
หลายคน เป็นผลให้เขาไม่อาจขยับ กระทั่งร่างต้อง หลั่งเหงื่อเย็นออก แม้
ข้อสรุปไม่แน่ชัด แต่ทุกคนล้วนทราบว่า เขาต้องมีเอี่ยวด้วยอย่างแน่นอน
การต่อสู้ถึงจุดสิ้นสุด ฉินหยุนร่างปกคลุมด้วยบาดแผลขณะ นอนพาดบน
ก้อนหิน เขาแทบลืมตาไม่ขึ้น เขาคือคนที่ได้รับ บาดเจ็บหนักหนาที่สุด ฮั่ว
จงและผู้อื่นไม่ได้รับบาดเจ็บรุนแรง แต่กระนั้นถูกทําร้ายจนถึงขั้นไม่อาจสู้
กลับ
“ฉินหยุน ดูเหมือนเจ้ารักพวกพ้องมากเลยนี่ ก่อนหน้านี้ เจ้า สามารถวิ่ง
หนีแต่ไม่ทํา ตอนนี้นึกเสียใจหรือยัง? ฮ่าฮ่าฮ่า...” ชายชราคว้าเสวี่ยซือเยี่ย
และโยนร่างนางตรงหน้าฉินหยุน เขา แค่นเสียงในคอกล่าวคํา
“ข้าให้เวลาเจ้าพิจารณาให้ดี ว่าจะส่ง ผังจารึกมาหรือไม่ หากไม่ ข้าก็จะ
ลงมือต่อหน้าเจ้า!”
“พวกเราจะผลัดกันเล่นกับนางให้สนุกเอง ฮ่าฮ่าฮ่า!” ใบหน้า ของผู้ฝึกตน
ในชุดนํ้าเงินเปี่ยมด้วยความชั่วช้าขณะหัวเราะออก ไกลออกไป ทั้งศิษย์
และผู้อาวุโสของตําหนักดวงดาววิญญาณสี ครามต่างรับชมเรื่องน่า
ละอายจนใบหน้าแทบแทรกแผ่นดิน! ผู้ ฝึกตนชราทั้งสี่ ล้วนทําตําหนัก
ดวงดาววิญาณสีครามเสื่อมเสีย เกียรติ พวกเขาคิดวางแผนข่มขืนและทํา
ร้ายหญิงสาวถึงเพียง
“ตําหนักตะวันตก มันไม่สมเหตุสมผลแล้ว ตําหนักดวงดาว วิญญาณสี
ครามของพวกเรา จะปฏิเสธพวกเจ้าทั้งหมดเพราะ อาชญากรรมครั้งนี้!”
หลันเฟิ งจินคํารามกราดเกรี้ยว นางเป็น ผู้หญิง ดังนั้นนางจึงไม่อาจสงบใจ
ยามได้เห็นเรื่องราวเช่นนี้ นอกจากนี้ อีกฝ่ายยังเป็นผู้ฝึกตนเฒ่าชรา ศิษย์
ทั้งหมดของตําหนักดวงดาววิญญาณสีครามเงียบกริบ นี่ เป็นเพราะ
อาจารย์หลายท่านในลานกว้าง พวกเขาไม่ได้มาจาก ตําหนักดวงดาว
วิญญาณสีคราม
ตู้ก๋วยหัวเราะเย็นเยือก “ตําหนักดวงดาววิญญาณสีครามช่าง เสื่อมเสียยิ่ง
นัก กระทั่งกล้าเรียกตนเองเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งผู้ ฝึกตน!” ฉินหยุน
ตอนนี้ถึงไม่ได้สติ แม้เขาทราบว่าอีกฝ่ายคิดก่อการต่อ เสวี่ยซือเยี่ย แต่เขา
ผู้ซึ่งบาดเจ็บสาหัส ทั้งยังหมดเรี่ยวแรง ไม่ อาจหยุดยั้งพวกเขา กระทั่งพูด
ก็ไม่ “อ๊าก!” เสวี่ยซือเยี่ยพลันร้องออก ทั้งร่างเริ่มสั่น “โอ!”
ลานกว้างของตําหนักดวงดาวแตกตื่น “นางคิดทําลายตนเอง เป็นนางไม่
อยากสร้างภาระต่อฉินหยุน” “หญิงสาวที่น่านับถือ! เจ้าพวกชราเหล่านั้น
ช่างชั่วร้ายนัก!”
“กระทั่งประตูเปิดออกตอนนี้ ก็สายเกินไปที่จะไปถึงทัน”
“น่าเสียดายนัก เด็กสาวอัจฉริยะผู้หนึ่งต้องตายเช่นนี้หรือนี่!” ทุกคนล้วน
เสียใจ ฉินหยุนที่ถึงไม่ได้สติ รับรู้ถึงพลังในกายของเสวี่ยซือเยี่ย
กําลังขยาย ชัดเจนว่านางคิดปลิดชีพตนเอง
“หยุดนาง!” ชายชราพบเสียงร้องจึงตระหนัก เขาเร่งรีบโคจร พลังภายใน
เข้าใส่ร่างเสวี่ยซือเยี่ยยับยั้งการระเบิด ฉินหยุนบาดเจ็บรุนแรง อุปกรณ์ผัง
ธาตุแสงที่เขาสวมใส่กําลัง ฟื้นคืนกําลังทีละน้อย หลังเสวี่ยซือเยี่ยถูกหยุด
ไว้ นางจะไม่อาจ ทําลายตัวเองได้อีก หากผู้อาวุโสเหล่านี้ไม่ได้รับผังจารึก
จากฉินหยุน พวกเขาจะ ข่มขืนต่อเสวี่ยซือเยี่ย เรื่องนี้เป็นหลายคนไม่คิด
อยากพบเห็น
ฉินหยุนหลับตาแน่น สื่อสารกับวิญญาณยุทธ์ทั้งสามในกาย เขาต้องการ
พละกําลังที่ยิ่งใหญ่ ความหวังเดียวของเขา ในตอนนี้คือเลื่อนระดับ
วิญญาณยุทธ์ หากวิญญาณยุทธ์ของเขาสามารถรับรู้ถึงความปรารถนา
เลื่อน ระดับตนเองขึ้นเป็นวัชระวิญญาณยุทธ์ เมื่อนั้นเขาจะก้าวสู่ ขอบเขต
กายวรยุทธ์ระดับที่แปด!
ด้วยอะไรไม่ทราบ ฉินหยุนรู้สึกถึงจิตสํานึกสามกระแส มันเป็น จิตสํานึก
ที่มาจากวิญญาณยุทธ์ของเขา วิญญาณยุทธ์สั่นไหว วิญญาณยุทธ์ตะวัน
ทมิฬ และวิญญาณ ยุทธ์อสนีบาตอัคคี ทั้งหมดเป็นสามวิญญาณยุทธ์ใน
ร่างของเขา พวกมันกําลังมอบความรู้สึกกลับคืนต่อเขา เป็นความรู้สึกที่ไม่
สบายเลยแม้สักนิด! วิญญาณยุทธ์มีความคิดเป็นของตนเอง พวกมัน
เข้าใจเจ้านาย เป็นอย่างดี ตอนนี้พวกมันส่งถ่ายความรู้สึกไม่สบาย
ออกมา ชัดเจนว่าพวกมันคิดว่าฉินหยุนไม่มั่นคงพอต่อพวกมัน
“ทําไมกัน? ข้าคือคนที่ทําให้พวกเจ้าแข็งแกร่งขึ้นในเวลาอัน สั้น! เหตุใด
ยังไม่ยอมรับข้า? พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าต้อง เจ็บปวดเพียงใด ข้าต้อง
อดทนเพียงใด เพื่อปกป้องพวกเจ้า และทําให้แข็งแกร่ง? พวกเจ้าคือ
แหล่งกําเนิดพลังของข้า ข้า หวงแหนพวกเจ้ายิ่งกว่าอื่นใด เหตุใดจึงไม่เชื่อ
ใจข้า!”
ฉินหยุนรู้สึกได้ถึงความไม่เชื่อใจจากวิญญาณยุทธ์ของตน เขา รู้สึกโกรธ
เคือง ภายในใจนั้นตะโกนลั่นด้วยโทสะ “ช่างมัน ใน เมื่อไม่เชื่อข้า แล้วข้า
จะมีพวกเจ้าไว้ทําอะไร? จะยังไง ข้า ฉิน หยุนผู้นี้ ก็แค่คนมีเส้นวิญญาณ
เพียงหนึ่ง ข้าได้แต่อดทนมา โดยตลอด ข้าไม่ต้องการวิญญาณยุทธ์ก็ยังมี
ชีวิตมาได้”
ขณะคิดเช่นนี้ วิญญาณยุทธ์ทั้งสามยิ่งเผยความไม่สบาย ออกมามากขึ้น
พวกมันเริ่มสั่นไหว “ในเมื่อพวกเจ้าไม่ยอมเลื่อนระดับ เช่นนั้นข้าจะ
ต้องการพวก เจ้าทําอะไร? ในเมื่อไม่เห็นข้าที่ฝึกฝนอย่างหนักหนา ก็ได้แต่
บอกลาพวกเจ้าแล้ว”
เคล็ดวิชาขัดเกลาวิญญาณของฉินหยุน ยังมีวิธีการปลดปล่อยวิญญาณ
ยุทธ์ของตัวเองออกเมื่อวิญญาณยุทธ์ทั้งสามสัมผัสได้ ถึงเจตนาแรงกล้า
ของฉัน หยุนที่ไม่ต้องการพวกมัน ฉับพลัน มันระเบิดออกซึ่งแสงสีทอง อัน
ศักดิ์สิทธิ์! ฉินหยุนเกือบจะใช้เคล็ดวิชาขัดเกลาวิญญาณ เพื่อปลดปล่อย
วิญญาณยุทธ์ของตนเอง แต่เขาไม่คิด ว่าวิญญาณยุทธ์ทั้งสาม จะเกิด
วิวัฒนาการเป็นวัชระวิญญาณยุทธ์ขึ้นมา!
แทบจะในทันทีที่วิญญาณยุทธ์วิวัฒนาการ กําลังภายในของ พลังธาตุทั้ง
สามแห่งเพิ่มพูนขึ้น มันแข็งแกร่งมากขึ้น เส้นโคจรเหลืองดําทั่วร่างกาย
พลันระเบิดพลังการรักษา ออกมา ผสมผสานกับอุปกรณ์ผังธาตุแสง
บาดแผลของเขาฟื้น ตัวอย่างรวดเร็ว
“ฉินหยุน เจ้าคิดได้หรือยัง?” ผู้อาวุโสเดินเข้ามาดูพร้อมเต๋าะใส่ ร่างฉิน
หยุนไปสองครั้งขณะเอ่ยถาม ฉินหยุนหลับตา สัมผัสถึงกระบี่แก่นจิตไกล
ออกไป ถัดจากนั้น เขาจึงควบคุมกระบี่ให้ลอยมา
“อะไรอีก?” ด้วยสัมผัสถึงการเคลื่อนไหว ผู้อาวุโสหันมองไป ก่อนตระหนัก
ได้ว่ากระบี่กําลังบินมาหาตน ฉินหยุนยกแขนราชสีห์สวรรค์ขึ้นวูบไหว
เปลวเพลิงสีทองม่วง ของอสนีบาตอัคคีทะลักออกจากแขน มันเชื่อมต่อ
เข้ากับกระบี่ ที่กําลังบินเข้ามา โดยทันที กระบีสว่างวาบด้วยแสงสีทอง
ม่วง ปกคลุมไว้ด้วย อสนีบาตอัคคีทองม่วง มันกําลังบินพุ่งเข้าหาชายชรา
ทั้งสอง คน!
“เป็นออร่าวัชระวิญญาณยุทธ์ มันปกคลุมรอบตัวกระบี่ เกิดขึ้น ได้ยังไง
กัน?” ผู้อาวุโสพบว่าฉินหยุนยกแขนขึ้น พลันนึกขึ้นได้
“รีบจัดการมันเร็วเข้า!” ชายชราที่อยู่ไกลออกไปตะโกน
“เป็น ไอ้หนูนั่นฝึกวัชระวิญญาณยุทธ์ได้!” ขณะผู้อาวุโสข้างกายฉินหยุน
คิดลงมือ กระบี่แก่นจิต แปรเปลี่ยนเป็นอสนีบาตทองม่วงแทงทะลวง
หน้าอกชายชรา ก่อนจะบินทะยานถึงชายชราอีกคนปลิดปลงศีรษะ
ฉินหยุนทะยานกายออกพร้อมขว้างยันต์สะกดกายระดับสูงใส่ผู้ อาวุโสอีก
สองคนให้แตกตื่น! ชายชราทั้งสองกําลังคิดขยับ แต่แล้วกลับถูกหยุดยั้ง
เอาไว้ด้วย ยันต์สะกดกาย! ภายใต้การควบคุมผ่านพลังจิตทรงพลังของ
ฉินหยุน กระบี่นั้น ผสานรวมกับวิญญาณยุทธ์อสนีบาตอัคคีทองม่วง ยิง
ออกซึ่ง สายฟ้ากระแสหนึ่ง ทะลวงผ่านศีรษะของผู้อาวุโสคนนั้นใน
พริบตา
ภายใต้ฉินหยุนสั่งการด้วยเคล็ดวิชาเทวะควบคุม กระบี่นั้นราว สาย
อสนีบาตฟาดฟัน ไม่เพียงแต่รวดเร็ว พละกําลังยังชวนสะ พรึง!
ตู้ม! เพียงพริบตา กระบี่แก่นจิตสับฟันใส่ร่างของผู้อาวุโสคนสุดท้าย บด
ขยี้ร่างนั้นแหลกเละเป็นชิ้น พละกําลังที่มันปลดปล่อยออก ถือว่าชวนขน
ลุก
ฉินหยุนยืนหยัดขึ้น ปาดเช็ดคราบเลือดออกจากร่าง ผิวหนังปริ แตกและ
สมานรวดเร็ว นี่คือการรักษาตัวเอง เขาเร่งรีบเข้า ช่วยเหลือเสวี่ยซือเยี่ยที่
ล้มกองอยู่กับพื้น ไม่ไกลออกไป มู่หรงต้าเหรินและฮั่วจง ค่อยลุกขึ้นยืน
เชื่องช้า สี หน้านี้เปี่ยมล้นด้วยความแตกตื่น!
ฉินหยุนลงมือเพียงครั้งเดียว สังหารขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับ ที่เก้าถึงสี่
คน นอกจากนี้ ยังเกิดขึ้นด้วยเวลาเพียงไม่กี่วินาที เท่านั้น! ที่ลานกว้าง
ตําหนักดวงดาววิญญาณสีคราม ผู้คนกายแข็งที่อ สายตาพวกเขาจับจ้อง
ผนังผลึกแก้วไม่อาจกล่าวคําใดออก โดยเฉพาะกับผู้ที่อยู่ขอบเขตวรยุทธ์
เต๋า พวกเขาราวกับพบ เห็นผีกลางวันแสก ๆ!
“นี่เขา.... เขาเลื่อนระดับสู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่แปด นี่ เป็นเขาเพิ่ง
เลื่อนระดับ แล้วจากนั้น... วัชระวิญญาณยุทธ์ของ เขากลับผสานรวมเข้า
กับอาวุธ!” โฮวฉิงเฟิ งสูดลมหายใจเข้า ลึกร้องอุทาน
“วิญญาณยุทธ์อสนีบาตอัคคีทองม่วง! ไม่ใช่ว่าเขามีเพียง วิญญาณยุทธ์
ไฟทองม่วงหรือ? และนี่ยังเกิดขึ้นที่แขนราชสีห์ สวรรค์!”
“มีความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียว ย้อนกลับไปตอนนั้น เขาได้ นําวิญญาณ
ยุทธ์ในตันเถียน เคลื่อนย้ายสู่แขน และแขนราชสีห์ สวรรค์จึงปลุก
วิญญาณยุทธ์อสนีบาตอัคคีขึ้นมา!” แขนราชสีห์สวรรค์ เคยถูกกล่าวถึงว่า
เป็นโทเทมมรณะ แท้จริง แล้วกลับครอบครองวิญญาณยุทธ์ไฟและ
อสนีบาต เป็นผลให้ ฝูงชนเกิดเสียงฮือฮากันขึ้น!
“ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่แปด! เขาอายุเพียงสิบหกปีเท่า นั้นเองนะ! ทั้ง
ยังใช้เวลาแค่หนึ่งปีกว่าก้าวจากระดับสองถึง ระดับแปด!”
เรื่องนี้ผู้คนล้วนแตกตื่น!
“เป็นไปไม่ได้! นี่เป็นไปไม่ได้! แขนของเขาตายไปแล้ว ไม่มี วิญญาณโท
เทมเสียหน่อย! เหตุใดมันจึงตื่นขึ้นมา?”
“อายุสิบหก ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่แปด อาจารย์จารึก ครอบครองโท
เทมราชสีห์สวรรค์ เชี่ยวชาญผังจารึกหายาก จํานวนมาก นี่เป็นสัตว์
ประหลาดแล้ว!”
ทั่วทั้งลานกว้างของตําหนักดวงดาวส่งเสียงดังไม่หยุด! ตําหนักดวงดาว
วิญญาณสีคราม ตําหนักตะวันตก ตําหนักทิศ ใต้ และตําหนักทิศเหนือ
เดิมล้วนสรุปกันไปแล้วว่าฉินหยุนไม่มี วิญญาณโทเทม ตอนนี้ พวกเขา
กลับนึกเสียดายต่อการ ตัดสินใจ หากพวกเขาสามารถได้รับพรสวรรค์
ระดับนี้ พละกําลังโดยรวมของพวกเขาจะทะยานขึ้นอย่างมหาศาล
หลันเฟิ งจิน ผู้ซึ่งยังอยู่ที่ประตูหลัก ค่อยโล่งใจยามได้เห็นฉัน หยุนลงมือ
สังหารผู้อาวุโสเหล่านั้น ที่ลานกว้างของตําหนักดวงดาว ด้านบนหอคอย
สูง จ้าว ตําหนักของสี่ตําหนักล้วนอยู่ที่นี่ พวกเขาล้วนได้เป็นประจักษ์
พยานถึงกระบวนการเลื่อนระดับของฉินหยุน พวกเขาล้วนไหว หวั่น
กระทั่งอึ้ง
จ้าวตําหนักตะวันออก เป็นหญิงชราร่างผอมสูง สวมใส่ชุด งดงามสีนํ้าเงิน
ปักคํา “ตะวันออก” ไว้ด้านหลัง นางแค่นเสียง กล่าวคํา
“จ้าวตําหนักตะวันตก ได้เวลาทําความสะอาดตําหนัก เจ้าแล้ว หากไม่ใช่
เพราะฉินหยุนเลื่อนระดับกะทันหัน เดรัจฉานเฒ่าสี่ตนนั้นคงก่อการสําเร็จ
ไปแล้ว”
ชายชราจ้าวตําหนักตะวันตก กล่าวคําเสียงเบา “ศิษย์ทั้งสี่คน นั้น ล้วน
คิดถึงผลประโยชน์ของตําหนักดวงดาววิญญาณสี คราม คิดใช้กําลังบีบ
บังคับเอาผังจารึกหายากมา วิธีการพวก เขาออกจะสุดกู่ กระนั้นพวกเขาก็
มีเจตนาที่ดี”
ไม่มีความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น