วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2563

1500-1600

วันนี้ สนามประลองจะปิดทําการแล้ว ศึกสุดท้ายคือสิ่งที่ฝัง แน่นในใจของ
หลายคนอย่างไม่อาจลืม ระหว่างทาง พวกเขา ยังคงสนทนาถึงเรื่องนี้กัน
อย่างต่อเนื่อง เฉินหยุนกลับบ้านพักริมธารนํ้าของสถาบันเทียนเจียว เขา
ยืนรอที่หน้าประตูให้หลันเฟิ งจินกลับมา
ไม่นานนัก เขาจึงได้เห็นร่างสูงสีนํ้าเงินจากระยะไกล เป็นห ลันเฟิ งจิน นาง
สวมใส่ชุดรัดรูปสีนํ้าเงิน และกําลังเข้ามาใกล้ ด้วยความรวดเร็วยิ่ง
“สองล้านแต้มเสวียนที่ได้มาวันนี้ ถือว่าไม่เลว!” หลันเฟิ งจินยิ้มกล่าว ก่อน
จะกลับเข้าบ้านพักพร้อมฉินหยุนเพื่อพักผ่อน ฉินหยุนนั่งลง ดื่มนํ้าชาที่ห
ลันเฟิ งจินรินให้ หลันเฟิ งจินเอ่ยคําเสียงเบา
“ตอนจบออกจะแปลกไปบ้าง เจ้า หมอนั่นเหวี่ยงขวานช้าผิดปกติ นี่เป็น
เจ้าทําอะไรลงไปหรือ เปล่า?” ฉินหยุนดื่มชาเสร็จ จึงยิ้มกว้างให้เห็น
ตอนนี้ ศิษย์ทั่วทั้งสถาบันยุทธ์ชิงเสวียนล้วนทราบ ว่าฉินหยุน ลงทะเบียน
เป็นนักสู้ ทั้งยังชนะสะสมแล้วถึงสองครั้ง
ในสนาม ประลอง ทั้งยังเป็นนักสู้ระดับกลางเป็นที่เรียบร้อย เรื่องนี้ทํา เอา
ศิษย์ของสถาบันหลายคนให้ความสนใจ พวกเขาเร่งรีบมา แต่เช้าซื้อตั๋ว
ผู้ชม สนามประลอง ไม่ช้าจึงเปี่ยมด้วยผู้คน ค่าตั๋วเข้าชมวันนี้ถือว่า สูง
เป็นประวัติการณ์ก็ว่าได้ หลายคนเข้ามาในสนามประลองรออยู่นาน เกิด
ความกังวลว่า ฉินหยุนวันนี้จะไม่โผล่มา แต่ไม่ช้า พวกเขาก็ได้ทราบ ว่าฉัน
หยุนปรากฏตัวขึ้นแล้ว และกําลังรอจัดหาคู่ประลองอยู
ตอนที่ 243 หนึ่งสู้สำม
ฉินหยุนรอคอยในแถวที่ห้องโถงของสนามประลองเพื่อจ่าย เหรียญผลึก
เขาจําเป็นต้องจ่ายหนึ่งแสนเหรียญผลึกสําหรับหา คู่แข่งขันที่จัดแจงโดย
เจ้าหน้าที่สนามประลอง สนามประลองคราวนี้กําลังจะได้รับเหรียญผลึก
จํานวน มหาศาล นักสู้หลายคนรู้สึกไม่ยินดี แต่พวกเขาก็ได้แต่ครวญ
ครางภายในใจ ในห้องโถง นักสู้หลายคนมองที่ฉินหยุน ขณะเริ่มกระซิบ
กระซาบกันเองด้วยความประหลาดใจ เมื่อวานตอนเย็น ศึกทั้งสองรอบ
ของฉินหยุนชวนผู้คนตื่นตะลึง รอบแรก เขาจัดการคู่ต่อสู้ได้อย่างรวดเร็ว
รอบที่สอง เกิดความขัดแย้งรุนแรงขึ้น ท้ายที่สุด ฉินหยุน สังหารคู่ต่อสู้
จนถึงขนาดที่เศษร่างกายก็ไม่เหลือ และวันนี้ หลายคนกําลังคาดหวัง ว่า
ฉินหยุนจะได้รับชัยชนะ อย่างไร! ในที่สุดก็ถึงคราวฉินหยุนแล้ว
“ผู้อาวุโส ข้ามาอีกแล้ว” ฉินหยุนยิ้มให้อีกฝ่าย
“ต้องขอบคุณเจ้า ตั๋วเข้าชมวันนี้ขายได้ดีมากเลยทีเดียว” ผู้ อาวุโสหัวเราะ
ตอบ ฉินหยุนเองก็หัวเราะ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็อย่าได้รับเหรียญผลึก จากข้าเพื่อจัดคู่ต่อสู้ดีหรือไม่?”
ชายชราส่ายศีรษะ
“เรื่องนี้ไม่ได้ ข้าไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ เจ้ายังคง ต้องจ่ายเหรียญผลึกอยู่ดี”
“งกยิ่งนัก!” ฉินหยุนบนขณะนําเอาบัตรผลึกออกมา ถึงตอนนี้ เอง เขา
พลันนึกอะไรขึ้นได้
ผู้อาวุโสพบว่าฉินหยุนคล้ายคิดอันใด จึงยิ้มและเอ่ยถาม “เป็น อะไรแล้ว?
ตื่นสนามประลอง? เมื่อวานเจ้าก็ทําได้ดีนี่ น่าจะ ภาคภูมิในใจตัวเองเสีย
มากกว่ากระมัง? หรือเจ้ากลัวต้องเผชิญ กับคนที่จะตอแยเจ้าอย่างเมื่อ
วานอีก?”
“ผู้อาวุโส ข้าสามารถท้าทายหลายคนได้หรือไม่ขอรับ?” ฉิน หยุนเอ่ยถาม
“ด้วยสามล้านแต้มเสวียนที่ข้าม ข้าสามารถท้า ทายสามคนในคราวเดียว
ได้หรือไม่?” พอชายชราได้ยินดังนี้ ร่างกายเขาพลันชะงักงัน อีกฝ่ายถึงขั้น
เสนอหนึ่งสู้สาม!
“เมื่อครู่เจ้าว่าอะไรนะ? เหมือนหูข้าไม่ค่อยดี?” ชายชราคล้าย ไม่เชื่อจึง
เอ่ยถามอีกครั้งหนึ่ง
“ท่านได้ยินไม่ผิด ข้าอยากสู้หนึ่งต่อสาม! ด้วยวิธีการนี้ ข้าจะ ยิ่งได้รับแต้ม
เสวียนรวดเร็วมากขึ้น” ฉินหยุนยิ้ม
“เช่นกัน ข้า จะจ่ายให้ท่านสามแสนเหรียญผลึก ไม่ใช่ว่าที่นี่ก็มีศึกเป็น
กลุ่ม คนอะไรทํานองนี้หรอกหรือ? ข้าจะท้าประลองกลุ่มนักสู้สามคน ไม่
น่ามีปัญหาใช่หรือไม่ขอรับ?”
ชายชราสูดลมหายใจเข้าลึก “แน่นอนว่าทําได้ แต่.. แต่เจ้าจะ ชนะได้จริง
หรือ? นี่คือหนึ่งสู้สามเลยนะ! นอกจากนี้ เจ้ายังเป็น ศิษย์ของสถาบันยุทธ์
ชิงเสวียน เมื่อเจ้าเคลื่อนไหว จําเป็นต้อง ยั้งมือ ไม่อาจใช้อาวุธในการต่อสู้
พิจารณาแล้วข้าไม่คิดว่าเจ้า จะสามารถชนะได้เลย”
“ผู้อาวุโส ท่านไม่ใช่ผู้ที่ขึ้นลานประลอง ท่านกังวลอะไรกัน?” ฉินหยุนหาได้
ใส่ใจไม่ ในตอนนี้ ระดับการฝึกฝนของเขา เทียบเท่าขอบเขตกายวรยุทธ์
ระดับที่เก้า กระทั่งว่าคู่ต่อสู้ของ เขาเป็นขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เก้า ก็
ไม่ใช่แน่นอนเสมอไป ที่อีกฝ่ายจะเอาชนะเขาได้ ด้วยเหตุนี้ เขาจึงรู้สึกว่า
หากเผชิญหน้านักสู้ระดับกลาง จํานวนสามคนที่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับ
ที่แปด ไม่น่าจะมี ปัญหาอะไร เป็นเขามั่นใจในพละกําลังตนเอง เขาคิด
อยากใช้ โอกาสนี้ได้ทดลอง ว่าแก่นภายในตะวันทมิฬแข็งแกร่งเพียงใด
“ในเมื่อเจ้ามั่นใจ ข้าก็ไม่คิดกล่าวอื่นใดอีก ข้าจะช่วยเจ้าหาคู่ ต่อสู้ให้แล้ว
กัน” ผู้อาวุโสรับบัตรผลึกจากฉินหยุน เก็บค่าทํา รายการสามแสนเหรียญ
ผลึก จากนั้นจึงเริ่มหาคู่ต่อสู้ให้แก่เขา ไม่นานหลังจากนั้น ผู้อาวุโสจึงยิ้ม
ให้
“ข้าช่วยจัดแจงหาสาม คนที่อยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่แปดแบบทั่วไป
ให้แล้ว เหล่านั้นเป็นศิษย์ของตําหนักดวงดาววิญญาณสีคราม มาจาก
ตําหนักตะวันออก!”
“ศิษย์ของตําหนักตะวันออกก็น่าจะดี” ฉินหยุนเอ่ย
“ศิษย์ ตําหนักตะวันออกเหล่านี้มีพลังทั่วไปแน่หรือขอรับ? ท่านหาได้
หลอกข้าใช่หรือไม่?”
“นี่เจ้าไม่รู้หรือ? พละกําลังของศิษย์จากตําหนักตะวันออกน่ะ ถือว่าทั่วไป
แล้ว โดยเฉพาะพวกที่มาที่นี่เพื่อล่าแต้มเสวียน” ชายชราหัวเราะ ฉินหยุน
ยังไม่เชื่อ
“โจวจงฮวยแข็งแกร่งขนาดนั้น เขาถูกจัดว่า ทั่วไปด้วยหรือไม่?”
“โจวจงฮวยถือเป็นกรณีพิเศษ เพราะเขาเพิ่งออกจากคุก จึงไม่ มีเรื่องดีที่
ตําหนักดวงดาววิญญาณสีครามสักเท่าใด ดังนั้นแล้ว จึงได้แต่มาที่นี่เพื่อ
ล่าแต้มเสวียน” ชายชราหัวเราะให้
“วางใจ เถอะ การตัดสินของข้าถือว่าแม่นยําแล้ว ในช่วงบ่าย เจ้ากขึ้น ไป
บนลานประลองได้เลย” ฉินหยุนรับบัตรผลึกคืน จากนั้นเดินออกจากโถง
เข้าสนาม ประลองไป เป็นเขาเดินขึ้นมาชั้นบนสุดของที่นั่งผู้ชม สายตา
กําลังมองหาพวกหลันเฟิ งจิน การแข่งขันวันนี้ดุเดือด หลายคนต่างเพ่ง
สมาธิไปยังลาน ประลองด้านล่าง
ดังนั้นพวกเขาจึงไม่พบเห็นฉินหยุน ที่สวมใส่ หมวกอําพรางตัวตน
หลันเฟิ งจินและเสวี่ยซือเยี่ย กําลังแนบเนียนรับชมการประลอง ยุทธ์อยู่
กระทั่งฉินหยุนเข้ามาใกล้ทั้งสองยังไม่รู้ตัวเลยด้วยซํ้า ฉินหยุนตัดสินใจ
สัมผัสไหล่ของหลันเฟิ งจินบางเบา แต่แล้ว นางกลับคว้าข้อมือเขาไว้แน่น
“ข้าเอง!” ฉินหยุนหัวเราะแห้ง
เสวี่ยซือเยี่ยเห็นเป็นฉินหยุน นางเร่งรีบเอ่ยคํา “ฉินหยุน อาหารเช้าพวกนั้น
อร่อยหรือไม่? เป็นข้าทํามันเอง!”
“อร่อยมาก เป็นเจ้าทํานี่เอง! ต้องขอบคุณแล้ว เหมือนที่ข้าคิด ไว้ หญิงดิบ
เถื่อนอย่างพี่หลันหรือจะทําอาหารวิจิตรบรรจง เช่นนั้นได้?” ฉินหยุนยิ้ม
กว้าง
“ยินดีแล้ว ข้าอยู่ตรงนี้ได้เพราะเจ้าช่วยรักษาวิญญาณยุทธ์ให้ ทั้งยังช่วย
พลังธาตุข้าให้คืบหน้าขึ้นอีก” เป็นเสวี่ยซือเยี่ยสํานึก บุญคุณต่อฉินหยุน
“เจ้าหนู อย่าได้ดูถูกข้านัก! วันหลังข้าจะทําอาหารที่อร่อยให้ เจ้าได้กิน
เอง” หลันเฟิ งจินคล้ายหลุดปาก นางพลันกลอกตา เอ่ยถามเรื่องอื่น
“แล้วเมื่อใดเจ้าจะขึ้นลานประลอง รู้หรือยังว่าคู่ต่อสู้เป็นใคร?”
“พวกเขาหรือ ข้าเองไม่ทราบนักว่าพวกเขาเป็นใคร แต่ผู้ อาวุโสที่รับหน้าที่
จัดแจงนัดประลองบอกว่า พวกเขามาจาก ตําหนักตะวันออก” ฉินหยุน
ตอบ
“พวกเขา?” เสวี่ยซือเยี่ยคิ้วขมวด เอ่ยถามอย่างสับสน
“ใช่ เป็นข้าเลือกสู้กับสามคน ด้วยวิธีนี้ จะได้เป็นนักสู้ระดับสูง โดยเร็ว”
ฉินหยุนยิ้มกว้าง ทั้งหลันเฟิ งจินและเสวี่ยซือเยี่ยพลันมองฉินหยุนอย่างไม่
อยาก เชื่อ พวกนางกําลังคิดว่าเขาบ้าไปแล้ว
“เจ้าหนูนี่ สมองเจ้าโขกประตูตอนเช้าหรืออย่างไร?” หลันเฟิง จินเร่งรีบ
ตําหนิ
“หากอยู่กลางป่ าเจ้าคงไม่เป็นไร เพราะมียันต์ สะกดกายหรืออะไรทํานอง
นั้นให้ใช้ ข้าจะไม่ห่วงเจ้าเลย แต่ที่นี่ คือสนามประลอง มีข้อกําหนดหลาย
ประการ! เจ้าไม่อาจใช้ อุปกรณ์วิญญาณ หรือยันต์ ทั้งยังไม่อาจทําร้ายคู่
ต่อสู้จน บาดเจ็บหนัก ด้วยเงื่อนไขเหล่านี้ เจ้าไม่มีทางเทียบสามคนที่
ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่แปดได้” เสวี่ยซือเยี่ยเร่งร้อนกล่าว
“ฉินหยุน นี่ยังไม่สายหากคิดยกเลิก! ให้ข้าช่วยเจ้าจ่ายเงินค่าจับคู่ เรื่องนี้
อันตรายจนเกินไป” ฉินหยุนมีท่าทีเฉยชา เขาทราบพละกําลังตนเองเป็น
อย่างดี จึง ยิ้มรับไม่หวั่นเกรง
“อย่าได้ห่วง หากข้าไม่ชนะ ก็แค่ยอมรับ ความพ่ายแพ้ ไม่ตายหรอกน่า”
“หากเป็นกรณีนั้น เจ้าแพ้ก็จะเสียสามล้านแต้มเสวียน เมื่อถึง เวลา เจ้าจะ
ไม่มีสักแต้มเสวียนอยู่ในบัตรแต้มเสวียน เป็นผลให้ ไม่อาจท้าประลองครั้ง
ถัดไปได้อีก” หลันเฟิ งจินโกรธไม่น้อย เพราะฉินหยุนปุ่มบ่ามจนเกินไปแล้ว
“หากข้าจัดการสามคนนั้นได้เล่า?” ฉินหยุนยิ้มบางขณะมอง สองโฉมงาม
หลันเฟิ งจิน และเสวี่ยซือเยี่ยม หลันเฟิ งจินฮุดฮัดกล่าวคํา
“เจ้าจัดการสามคนนั้นไม่ไหว หรอก!” เสวี่ยซือเยี่ยพยักหน้ารับ
“คิดว่าข้ารู้จักสามคนจากตําหนัก ตะวันออกนะ พวกเขาเป็นแฝดสาม
จิตใจมีการเชื่อมโยงถึงกัน ถือว่าประสานงานกันได้ดีเยี่ยม ลําพังแต่เจ้า
กระทั่งว่าพวกเรา จัดตั้งกลุ่มขึ้นมา ก็ไม่น่าจัดการพวกเขาได้ง่าย”
“ตาเฒ่านั่น! ถึงขั้นบอกข้าว่าสามคนนั้นก็มีพลังดาษดื่นทั่วไป เห็นข้าเป็น
เด็กจึงหลอกกันได้เรอะ” ฉินหยุนเริ่มโกรธขณะสบถ คําออกมา
หลันเฟิ งจินถอนหายใจ “แฝดสามของตําหนักตะวันออก ทั้งมี ชื่อเสียง
และแข็งแกร่ง อายุสิบแปดก็อยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ ระดับที่แปดแล้ว
วิญญาณยุทธ์และเส้นวิญญาณก็เก็บเป็น ความลับ นอกจากนี้ พวกเขา
ทั้งสามยังประสานกันได้ด้วยดี กระทั่งขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เก้าก็
สามารถจัดการได้ ดังนั้นเจ้าจึงไม่มีโอกาสชนะ” ด้วยเพราะอะไรไม่ทราบ
ฉินหยุนพลันรู้สึกคาดหวังต่อแฝดสาม มากขึ้นอย่างประหลาด
“เหตุใดดูถูกข้าเพียงนี้?” ฉินหยุนถามด้วยความไม่ยินดี
“ไม่ใช่พวกเราดูถูกเจ้า แต่มันคือข้อเท็จจริง ด้วยเงื่อนไขของ สนาม
ประลอง มันเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะจัดการคนทั้งสามด้วย ตัวเอง” หลันเฟิ ง
จินแค่นเสียงเบา
“หากเจ้าไม่เชื่อล้วนไม่ เป็นไร ไว้เมื่อเวลามาถึง เจ้าจะได้รู้เองว่าพวกเขา
แข็งแกร่ง เพียงใด”
“ฉินหยุน ไปกัน ข้าจะช่วยเจ้าเรื่องยกเลิกประลองรอบนี้ หาก ไม่แล้ว เจ้า
จะตกอยู่ในปัญหาหลังสูญเสียสามล้านแต้มเสวียน” เสวี่ยซือเยี่ยดึงแขน
ฉินหยุนเตรียมนําไปโต๊ะลงทะเบียน ถึงตอนนี้เอง ฉินหยุนพลันหัวเราะขึ้น
“ในเมื่อคิดว่าข้าจะแพ้ แบบนั้นแล้ว.... หากข้าชนะขึ้นมา ไม่มอบจูบแก่ข้า
เป็นเดิมพัน เสียเล่า?” หลันเฟิ งจินพอได้ยินดังนี้ นางกัดริมฝีปากล่าง
พร้อมเหยียบ เท้าของฉินหยุนบางเบา เป็นนางเอ่ยคําต่อว่า “เจ้าเด็กน้อย
นี่ คิดแต่เรื่องพวกนี้มานานเท่าไหร่กันแล้ว?”
“เหอะ ใครใช้ให้พวกท่านทั้งสองคิดว่าข้าไม่อาจชนะ? ในเมื่อ คิดเช่นนั้น
จริงก็มาเดิมพันกัน ในเมื่อข้าไม่อาจชนะ ก็ไม่ต้องจูบ ข้าจริงไหม?” ฉินหยุ
นพยายามใช้เหตุผลยั่วยุด้วยรอยยิ้มชั่วช้า หลันเฟิ งจินจ้องมองไม่วางตา
“หากเจ้าแพ้ จงหาของขวัญ มอบแก่พวกเรา ตกลงหรือไม่?”
“หากข้าแพ้ เป็นข้าจูบท่านแทน” ฉินหยุนกลับเผยสีหน้า จริงจังขึ้นมา
“ไปตายซะ!” หลั่นเฟิ งจินปล่อยหมดเข้าใส่ใบหน้า ฉินหยุนแลบลิ้นออก
ยิ้มรับกล่าวคํา “เช่นนั้น ท่านคิดว่าพวก เราควรทําอันใดกันดี?”
เสวี่ยซือเยี่ยกัดริมฝีปาก ราวกับนางต้องตัดสินใจครั้งใหญ่ “ข้า ยังติดค้าง
แก่นอสูรจํานวนหนึ่งแก่เจ้าอยู่ หากเจ้าแพ้ ข้าก็ไม่ ต้องจ่ายแก่นอสูร
เหล่านั้นแล้วกัน”
หลันเฟิ งจินครุ่นคิดไปครู่ค่อยตอบ “หากเจ้าแพ้ เจ้าต้องช่วย ข้าขัดเกลา
ยันต์จํานวนหนึ่ง” “ไม่มีปัญหา แต่ต้องจูบข้าที่ตรงนี้”
ฉินหยุนยกนิ้วขึ้นชี้ที่ริม ฝีปากตนเอง หลันเฟิ งจนคิดอยากตบที่ใบหน้าสัก
คราหนึ่ง นางจึงยึดฮัดบาง เบากล่าวคําออก “ไม่ ข้าจะจูบเจ้าแค่ที่แก้ม!”
เสวี่ยซือเยี่ยเองก็พยักหน้ารับและกล่าว “แค่ที่แก้ม!”
สําหรับผู้หญิง การจูบริมฝีปากผู้ชายด้วยตัวเอง ถือเป็นเรื่อง ยากกระทํา
ยิ่ง
“ก็ไม่ใช่ว่าข้าจะชนะเสียหน่อยนี่ แค่จูบนิดหน่อยทําเป็นรู้งี้ไป ได้” ฉินหยุน
ยิ้มรับ
“เหตุใดพวกเราไม่หยุดการเดิมพันนี้เสียเล่า?” หลันเฟิ งจินไม่ คิดคล้ายให้
ฉินหยุนเอาเปรียบ
ฉินหยุนเร่งรีบกล่าว “ก็ได้ ก็ได้ ที่แก้มก็ที่แก้ม แต่ไว้เวลานั้น มาถึง ข้าจะ
จูบท่านที่แก้มด้วย”
หลันเฟิ งจินหันมองเสวี่ยซือเยี่ยก่อนกล่าวคําตอบ “เอาแบบงั้นก็ได้”
“ได้ งั้นมาจับมือสัญญากันดีกว่า” ฉินหยุนยกมือขึ้น ยื่นไป ทางหลันเฟิ ง
จิน หลันเฟิ งจินฮึดฮัดคราหนึ่งก่อนจะตบเข้าที่มือ เสวี่ยซือเยี่ยเองก็ยื่นมือ
ของนางตบที่มือฉินหยุนเช่นกัน กลายเป็นฉินหยุนหัวเราะยินดี ทําเอาห
ลันเฟิ งจนรู้ที่คันแต่ อยากจะเกา สําหรับเสวี่ยซือเยี่ย นางรู้สึกเขินอายนัก
ยามนึกถึง
ตอนที่ต้องจูบแก้มของฉินหยุน แม้ว่าฉินหยุนยังไม่ได้รับชัยชนะ แต่
ความคิดของนางกลับเตลิดไปก่อนเสียแล้ว
ตอนที่ 244 สำมจรัสแสง
คู่ประลองถัดจากนี้จะเป็นการต่อสู้ของนักสู้ระดับกลาง หลังจบ สิ้นสิบนัด
ประลอง ก็จะมีของนักสู้ระดับสูงอีกหนึ่งนัด จากจุดนี้ แสดงให้เห็นว่า นักสู้
ระดับสูงมีจํานวนน้อยนิด ทั้งยัง มีโอกาสชนะน้อย จึงเกิดการท้าทายน้อย
ตามไปด้วย ด้วยเหตุนี้ นักสู้ระดับสูงจึงยากท้าประลองผู้อื่น พวกเขา
เพียงแต่จะสู้ ก็ต่อเมื่ออยู่ในสภาพดีพร้อม และมีความมั่นใจ เท่านั้น หลัง
รับชมนัดประลองรอบเช้าไปพักหนึ่ง ฉินหยุนก็ได้เปิด ประสบการณ์
ทางด้านเคล็ดวิชาเพิ่มขึ้น
เขาทราบว่าเหตุใด ศิษย์หลายคน ถึงยอมจ่ายหลายเหรียญผลึกเพื่อมา
รับชมการ ประลองพวกนี้ เป็นศิษย์จํานวนมาก เลือกมารับชมการ
ประลองเพื่อเคล็ดวิชายุทธ์ระดับสูงที่หลากหลาย
ในช่วงบ่าย ในที่สุดก็ถึงคราวฉินหยุนปรากฏตัวแล้ว! “ฉินหยุน ประลอง
กับสามจรัสแสง!”
ชายชรากรรมการตะโกน ขึ้น เมื่อศิษย์หลายคนในสนามประลองได้ยิน
นามฉินหยุน พวกเขา ร้องอุทานกันออก แต่พอได้ยินคํา “สามจรัสแสง”
พวกเขา กลับกลายเป็นแข็งที่อ ทั่วทั้งสนามประลองตกอยู่ในความเงียบ
ความเงียบคงอยู่หลายวินาที เสียงร้องอุทานค่อยระเบิดขึ้น!
นี่เป็นการประลองระหว่างฉินหยุนและสามจรัสแสง หมายความถึงฉิน
หยุนต้องรับหนึ่งสู้สาม! นามสามจรัสแสง ถือว่ามีชื่อเสียงในสนาม
ประลองแห่งนี้ เพราะมันเป็นนามของกลุ่มนักสู้แฝดสาม!
แฝดทั้งสามถือว่าน่ากลัวยิ่ง พวกเขาแทบจะไร้เทียมทาน ท่ามกลางนักสู้
ระดับกลางด้วยกัน เพื่อรักษาระดับเอาไว้ พวกเขาใช้จ่ายเหรียญผลึกไปไม่
น้อย เพื่อหลีกเลี่ยงการก้าวหน้าสู่นักสู้ระดับสูง พวกเขาเลือกเป็นนัก สู้
ระดับกลาง จากนั้นจึงปกครองระดับกลางอย่างเหนียวแน่น
ฉินหยุนมาถึงลานประลองยุทธ์ หลายคนต่างคิดเห็น เช่นเดียวกันว่าเขา
เป็นบ้าไปแล้ว ถึงขั้นคิดลองที่ท้าทายกลุ่ม ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่
แปดซึ่งแข็งแกร่งที่สุดเพียงลําพัง ฉินหยุนอยู่บนลานประลองแล้วก็ใช่ แต่
สามจรัสแสงยังไม่ก้าว ขึ้นลานประลอง หากพวกเขาไม่ปรากฏตัวในเวลา
ที่กําหนด หมายความถึงพวก เขายอมสละการแข่งนัดนี้ ชัยชนะจะตกแก่
ฉินหยุน
“ทั้งสามคนออกจะช้าไปบ้าง แต่ไม่ต้องห่วง พวกเขาต้องโผล่ มาแน่นอน”
“ตราบเท่าที่ยังมีชีวิต ข้าย่อมต้องขึ้นลานประลองนัดนี้แน่ อย่างไรแล้วนี่
เป็นฉินหยุนเสียแต้มเสวียนโดยเปล่า มีแต่คนโง่ที่ ไม่คิดต้องการ!”
“เกิดอะไรขึ้นกับฉินหยุนหรือเปล่า เพิ่งได้สองล้านแต้มเสวียน มาเมื่อวาน
ตอนนี้คิดปล่อยทิ้งเสียเปล่างั้นหรือ”
“เขาช่างไม่ประมานตนเสียเลย บางที่อาจเป็นเพราะสองศึก เมื่อวานชนะ
ง่ายเกินไป จึงคิดว่าสามารถท้าประลองสามคนใน คราวเดียวได้ หากเขา
ชนะ ก็จะได้รับสามล้านแต้มเสวียน”
“ก็นะ คนหนุ่มมักอวดดีเพียงนี้ อายุแค่สิบหกเองนี่นา” พอฉินหยุนได้ยิน
บทสนทนาจากฝูงชน เขาหาได้ใส่ใจไม่ เป็น เพราะหลันเพิ่งจินและเสวี่ย
ซือเยี่ย ต่างก็บอกต่อเขาเช่นนี้ก่อนหน้านี้ไปแล้ว เขาเข้าใจในมุมมองของ
ผู้อื่น อย่างไรแล้ว ก็หาได้มีผู้ใดไม่ที่ ทราบถึงความแข็งแกร่งที่เขา
ครอบครอง นอกจากนี้ ทุกคนต่างทราบว่าฉินหยุนเป็นศิษย์ของสถาบัน
ยุทธ์ชิงเสวียน ในสนามประลองแห่งนี้จึงมีข้อจํากัดมากมาย ผลลัพธ์ก็คือ
เป็นเขาลงมือต่อผู้อื่นยากลําบาก ไม่อาจใช้ พละกําลังเต็มที่ได้
หลังการต่อสู้นัดก่อนหน้าจบลง จะมีระยะเวลาสําหรับเตรียมให้ การต่อสู้
นัดถัดไป สามจรัสแสง มักจะมาก็ตอนช่วงหมดเวลา เตรียมการฉิวเฉียด
ระยะเวลาเตรียมการใกล้หมดสิ้นแล้ว ฉับพลันนี้เองมีคนหนึ่ง ร้องดังขึ้น
“สามจรัสแสงมาแล้ว!”
“เป็นเหมือนอย่างเคย ปรากฏตัวช้าที่สุด หรือนี่เป็นกลยุทธ์ กดดันทาง
จิตใจแก่คู่ต่อสู้?”
“ฮ่าฮ่า ฉินหยุนสมควรไม่รู้ว่าคู่ต่อสู้ตนเองวันนี้น่าสะพรึง เพียงใด ดูสีหน้า
นั่นสิ น่าเกลียดเสียไม่มี!”
เป็นฉินหยุนไม่ยินดีจริง แต่เพราะเขาถูกผู้อาวุโสหลอกลวง ต่างหาก
เพราะอีกฝ่ายบอกเขาว่าทั้งสามมาจากตําหนัก ตะวันออก พละกําลังก็
ดาษดื่นทั่วไป แต่จากที่เห็น พละกําลังของทั้งสามคน สมควรน่ากลัวไม่
น้อย แล้ว
ฉินหยุนมองทางเดินที่เข้าสู่ลานประลอง เป็นชายหนุ่มสามคน หล่อเหลา
ในชุดสีนํ้าเงิน จากหัวจรดเท้า พวกเขาล้วนสวมใส่ แต่สีนํ้าเงิน ทั้งสามเป็น
แฝดจึงหน้าตาเหมือนกัน ผอม สูง และ มีใบหน้าหล่อเหลา ทันทีเมื่อพวก
เขาเข้ามาในสนามประลอง คลื่นเสียงต้อนรับจาก ผู้ชมแห่กันร้องออกมา
ไม่ขาดสาย เป็นพวกเขามีมารยาทดียิ่ง ใบหน้านั้นเปี่ยมไปด้วยความ
มั่นใจ ทั้งยังยิ้มออกมาระรื่น ท้ายที่สุด พวกเขาค่อยมายืนบนลานประลอง
ห่างจากฉินหยุน เพียงห้าสิบเมตร
“ฉินหยุน เจ้านั้นช่างมีหน่วยก้านที่ดี ข้าได้ยินนามยิ่งใหญ่ของ เจ้ามานาน
แล้ว ในที่สุดวันนี้ค่อยได้พบตัว ไม่ทําให้ผิดหวังจริง ๆ” คนหนึ่งเอ่ยขึ้นทั้ง
ยังหัวเราะ
“เท่าที่เห็น พวกเจ้าสามคนสมควรได้รับความนิยมมากกว่าข้า แล้ว ผู้ชม
หลายคนต่างเป็นกันเองต่อพวกเจ้ามากเลยนี่” ฉิน หยุนยิ้มยื่นขม
“นี่ก็เพียงเพราะพวกเรานําผลประโยชน์สู่พวกเขาได้ หากพวก เราชนะเจ้า
พวกเราก็จะได้รับเหรียญผลึกจํานวนมากไปด้วย” เสียงหัวเราะจากหนึ่ง
ในแฝดสามดังขึ้น
“จริงด้วย นามข้าตา โหยว ส่วนนี่เป็นน้องรอง และน้องสามของข้า เรียก
เป็นเสี่ยว โหยวก็ได้! พวกเราทั้งสามเข้าใจกันและกันดี ในเวลาปกติ ข้า
จะเป็นคนพูดแทนพวกเขา”
ฉินหยุนยิ้มรับ “ช่างเป็นการเข้ากันได้อย่างแปลกประหลาดนัก ข้าหวังว่า
จะได้รับความเมตตาแล้ว” ต้าโหยวหัวเราะออกเสียงดัง
“อันที่จริง นายหญิงของตําหนัก ตะวันออกของเรา คาดหวังยิ่งว่าเจ้าจะ
เข้าร่วม แต่.... น่า เสียดายที่เจ้าดันตัดสินใจเข้าร่วมตําหนักตะวันตก
อย่างไรแล้ว ในภายหน้าพวกเราก็ถือเป็นศิษย์จากสํานักเดียวกันอยู่ดี
แหละนะ”
“ศิษย์ของตําหนักตะวันออก ซ่างแตกต่างจากศิษย์จากอีกสาม ตําหนัก
เสียจริง” ฉินหยุนยิ้มบาง ท่าที่มีมารยาทของฝ่ายเป็น ผลให้เขาต้อง
ประหลาดใจ
“สามตําหนักเหล่านั้นเต็มไปด้วยหมาป่าห่มหนังแกะ พวกเขา จึงได้รับ
ทรัพยากรมหาศาล ตําหนักตะวันออกของพวกเราอ่อน ข้อยกว่า ด้วยเหตุ
นี้พวกเราจึงกลายเป็นตําหนักซึ่งอ่อนแอที่สุด ของตําหนักดวงดาว
วิญญาณสีคราม” เฉินหยุนพลันเข้าใจถึงสาเหตุ ว่าทําไมพวกเขามายัง
สนามประลองเพื่อล่าแต้มเสวียน หากพวกเขาต้องการแต้มเสวียนใน
ตําหนักดวงดาววิญญาณสีคราม การแข่งขันถือว่าดุเดือด รุนแรง นํ้าเสียง
ของต้าโหยวอ่อนนุ่ม ทั้งยังยิ้มไปกล่าวไปเสมอ
“ฉิน หยุน พวกเราต่อสู้กับเจ้าวันนี้ผลลัพธ์คือชัยชนะ พวกเราไม่คิด ทําให้
เจ้าบาดเจ็บในการประลองยุทธ์นัดนี้ ไม่อย่างนั้นแล้ว ในภายหน้าพวกเรา
ไม่ทราบจะหลบเลี่ยงคําต่อว่าจากภรรยา เจ้าอย่างไรดี ทางที่ดีขอแนะนํา
ให้ยอมแพ้ พวกเราจะมอบสาม แสนเหรียญผลึกให้ ถือเป็นค่าชดเชย
เล็กน้อยก็แล้วกัน”
ฉินหยุนพอคาดเดาได้ ว่าเชี่ยวเย่ว์หลานมีความเหนือลํ้า เพียงใดใน
ตําหนักดวงดาววิญญาณสีคราม นางเป็นผู้ที่สร้าง ความหวาดเกรงต่อ
ศิษย์ของตําหนักตะวันออกมากที่สุด
“ไม่เป็นไร ต่อให้ไม่อาจเอาชนะ ข้าก็ไม่บาดเจ็บเพราะพวกเจ้า หรอก” ฉิน
หยุนยิ้ม
“พูดได้ดี!” ต้าโหยวถอนหายใจออกโล่งอก หลังเวลาเตรียมการหมดลง
ผู้ชมเริ่มตื่นเต้นกันขึ้นมาทันตา พวกเขาวางเดิมพันเหรียญผลึกมหาศาล
ฝั่งสามจรัสแสง ตราบ เท่าที่พวกเขาได้ชัยชนะ พวกเขาจะได้รับเหรียญ
ผลึกจํานวน หนึ่งจากสนามประลอง ฝูงชนลุกขึ้นยืน เริ่มโห่ร้องตะโกน
เสียงดัง
“สามจรัสแสงต้อง ชนะ! สามจรัสแสงต้องชนะ!” คลื่นเสียงโห่ร้องยังคงดัง
อย่างต่อเนื่องที่ศูนย์กลางของสถาบัน ยุทธ์ชิงเสวียนแห่งนี้ กระทั่งศิษย์
หลายคนที่ด้านนอกสนาม ประลอง ยังคิดอยากเข้ามารับชมว่ามีเรื่องสนุก
อันใด
เมื่อผู้อาวุโสเห็นว่านาฬิกาทรายพร้อมแล้ว เขาจึงตะโกนขึ้น “การประลอง
ยุทธ์ เริ่มได้!”
นาฬิกาทรายพลิกกลับด้าน การประลองเริ่มขึ้นอย่างเป็น ทางการแล้ว!
ทันทีที่เริ่มต้น สองในสามพี่น้อง พลันเคลื่อนไหวรวดเร็ว พวก เขายืนใน
ตําแหน่งที่ต่างกัน ปิดล้อมฉินหยุนเอาไว้
“ฮ่า!”
สามพี่น้องพลันแผดเสียงออก พร้อมปลดปล่อยบอลกําลัง ภายในสีนํ้าเงิน
สามลูกจากระยะไกล พวกมันขณะนี้พุ่งเข้าใส่ ฉินหยุนจากทั้งสามทิศทาง
ร่างกายของฉินหยุนระวังภัยอยู่ก่อนแล้ว เมื่อได้ยินเสียงร้อง คําราม เขาจึง
ทะยานออกหลายก้าวพ้นจากตําแหน่งเดิม หลบ เลี้ยงบอลแสงสีนํ้าเงินทั้ง
สามลูกที่พุ่งเข้าหาได้ ฉินหยุนหลบเลี่ยงพวกมันได้สําเร็จ ภายในใจอด
ยินดีไม่ได้
เขานึกว่าบอลแสงสีนํ้าเงินทั้งสามลูกจะระเบิดออก แต่มันกลับ ไม่ใช่!
หลังบอลแสงสีนํ้าเงินทั้งสามปะทะกัน มันกลับรวมกันเป็นบอล แสงสีนํ้า
เงินลูกใหญ่เพียงหนึ่ง ราวกับนี่สามารถควบคุม มันพุ่งตรงเข้าใส่ฉินหยุน
อีกครั้งหนึ่ง! ฉินหยุนไม่คาดคิดมาก่อน เป็นบอลแสงสีนํ้าเงินกระแทกร่าง
เกือบกระเด็นหล่นจากลานประลองยุทธ์ โชคดีที่เขาตอบสนองรวดเร็ว
ปรับเปลี่ยนสมดุลร่างกายในอด ใจที่ร่างกระเด็น เมื่อเท้าสัมผัสพื้น เขาจึง
ทะยานกายออก หลบ เลี่ยงบอลแสงสีนํ้าเงินที่ไล่ตามติดมา ฉินหยุนหลบ
เลี่ยงการโจมตีของบอลแสงสีนํ้าเงิน พร้อมกันนี้ เขาเลือกทะยานกายเข้า
หาหนึ่งในสามพี่น้อง แต่แล้ว ขณะ เกือบเข้าถึงตัว กลับเป็นบอลแสงสีนํ้า
เงินอีกลูกหนึ่งถูกปล่อยออกมา
บอลแสงสีนํ้าเงินถือว่าประหลาดยิ่ง มันรวดเร็วมหาศาล ทั้งยัง มีพลัง
แข็งแกร่ง หลังโดนกระแทกไปครั้งหนึ่ง มันรู้สึกราวโดน วัตถุหนักมากเข้า
ปะทะ! ฉินหยุนเร่งรีบหลบอีกครั้ง แต่แล้ว ทันทีเมื่อแสงสีนํ้าเงินวาบ ผ่าน
มันระเบิดออก!
ตู้ม!
พายุนเงินก่อเกิด ส่งร่างฉินหยุนปลิวไป เสื้อสีดําที่เขาสวมใส่ มาวันนี้ถึง
ขั้นฉีกขาด
“นี่มันแปลกเกินไปแล้ว!” ฉินหยุนสบถเสียงเบา ผู้ชมเริ่มโห่ร้องชื่นชมกัน
ออกมา
“สามจรัสแสงแข็งแกร่งนัก นี่คือรูปแบบค่ายกลโจมตีที่ดีที่สุด ของพวกเขา
ค่ายกลสามเหลี่ยมแห่งความตาย!”
“พวกเขาทั้งสามจะอยู่ประจําตําแหน่ง จากนั้นจึงใช้เคล็ดวิชา ลึกลับ
ปลดปล่อยก้อนกําลังภายในออก ไล่ล่าผู้คนเป้าหมาย ซึ่ง อยู่ในค่ายกล
สามเหลี่ยม”
“จากที่เห็น หากผู้ที่อยู่ในค่ายกลสามเหลี่ยมตอบสนองไม่ทัน พวกเขาย่อม
ต้องแพ้พ่าย กระทั่งว่าตอบสนองได้รวดเร็วพอ ก็ ยังจะโดนไล่ล่าจนค่อย
หมดแรงและถึงแก่ความตาย”
“หากฉินหยุนคิดเล็งหนึ่งในพวกเขา ทั้งสามคนจะปลดปล่อย กําลังภายใน
ออกรุมโจมตีเข้าใส่ นอกจากนี้แล้ว ยังมีบอลกําลัง ภายในที่ลอยไปมา ทั้ง
ยังระเบิดตอนไหนก็ได้อีก”
ฉินหยุนหลบซ้ายที ขวาที่ อยู่ภายในค่ายกลสามเหลี่ยม ลูก บอลแสงสีนํ้า
เงินยังไล่ล่าเขาไม่หยุดหย่อน พวกมันอัดแน่นด้วย กําลังภายในและพลัง
จิต บางครั้งเขาหลบได้ แต่ชั่วขณะที่เขา คิดว่ามันจะผ่านไป สิ่งที่เกิดขึ้น
กลับกลายเป็นการระเบิด! “ทั้งสามคนมีพลังจิตแข็งแกร่ง พวกเขาใช้มัน
เพื่อควบคุมกําลัง ภายในอีกทีหนึ่ง!” แม้ฉินหยุนอยู่ในสภาพย่ําแย่ เขาก็
ยังคงสัมผัสได้ถึงลูกเล่นของ ผู้อื่น เป็นเขาคิดกับตนเอง
“พวกนี้ไม่ได้ติดต่อกันทางจิต เป็น เพราะพลังจิตแข็งแกร่งมาก จึงสามารถ
ติดต่อในทางลับกับ ผู้อื่นได้”
“หากเป็นแบบนั้นจริง เราก็แค่ใช้พลังจิตที่แข็งแกร่งกว่า ทําลายค่ายกล
สามเหลี่ยมที่เจ้าพวกนี้สร้างขึ้นโดยพลังจิต มีแต่ การที่ทั้งสามผสานรวม
พลังจิตเข้าด้วยกันในค่ายอาคม สามเหลี่ยม จึงทําให้สามารถเคลื่อนย้าย
กําลังภายในได้รวดเร็ว เพียงนี้”
หลังวิเคราะห์ได้เรียบร้อย ฉินหยุนจึงนึกหากลยุทธ์ ด้วยเสียง ตะโกนร้อง
ดัง เขาปลดปล่อยเคล็ดวิชารวมจิตวิญญาณสังหาร ที่รุนแรงออกไป พลัง
จิตซึ่งถูกปลดปล่อยออกโดยเคล็ดวิชารวมจิตวิญญาณ สังหาร มันคือพลัง
จิตไร้รูปร่าง เปรียบดั่งเข็มจํานวนนับไม่ถ้วน ที่มแทงเข้าใส่ค่ายกล
สามเหลี่ยม ด้วยการทําลายตาข่ายพลัง จิตไร้รูปลักษณ์ของค่ายกล บอล
กําลังภายในจึงเสียการควบคุม แฝดสามถูกส่งร่างปลิวกระเด็นปะทะกับ
ม่านพลัง เป็นผลให้ เกิดการระเบิดรุนแรงขึ้น ใบหน้าหล่อเหลาของแฝด
สามพลันเปี่ยมล้นด้วยความ หวาดกลัว!
แน่นอน พวกเขาทราบว่าฉินหยุนมีพลังจิตแข็งแกร่ง ดังนั้นจึง เตรียม
ป้องกันไว้ก่อน แต่ที่พวกเขาไม่คิด ก็คือมันจะน่า สะพรึงกลัวได้ถึงเพียงนี้
นี่ถือว่าแข็งแกร่งกว่าพลังจิตของพวก เขาหลายเท่าด้วยซํ้า ชั่วขณะที่ทั้ง
สามถูกฉินหยุนโจมตีโดยเคล็ดวิชารวมจิต วิญญาณสังหาร ร่างพลันถูก
ผลักกระเด็น เพราะแรงกระแทก จึงเป็นผลให้เกิดอาการมึนงงไปวูบ
พอฉินหยุนเห็นดังนี้ เขาเล็งเห็นโอกาสจึงปล่อยก้าวอัคคีเมฆา ออกสุดแรง
แทบในทันที เขาถึงตรงหน้าหนึ่งในแฝดสามและ ร้องคํารามใส่ ส่งร่างนั้น
ลอยกระเด็นหลุดพ้นลานประลอง
โฮก! โฮก! ถัดจากนั้น เสียงคํารามร้องอีกสองครั้งจึงดังขึ้น! แฝดสามที่
เหลืออยู่สองคน ไม่ต่างอะไรกับหนึ่งคนก่อนหน้านี้ ด้วยคลื่นเสียงคําราม
ร้องรุนแรง เป็นผลให้ร่างพวกเขากระเด็น ออกนอกลานประลองยุทธ์ไป
อย่างไม่อาจต่อต้าน
ตอนที่ 245 ขอติดตำม
ร่างของสามพี่น้องกระเด็นร่วงหล่นนอกลานประลอง ทันทีเมื่อร่างกระทบ
พื้น พวกเขาพลันได้สติกลับคืนมา แต่ละ คนต่างเผยสีหน้าว่างเปล่า ขณะ
นึกย้อนว่าพวกตนร่วงหล่น จากลานประลองได้อย่างไร ?
อีกทางหนึ่ง ฝั่งผู้ชม สีหน้าพวกเขาล้วนเป็นเช่นเดียวกันกับ สามพี่น้องไม่
มีผิด พวกเขาทั้งอึ้งและงง! สามจรัสแสงที่ไร้เทียมทาน ผู้ซึ่งเอาชนะ
ขอบเขตกายวรยุทธ์ ระดับที่เก้า ทั้งยังชนะมาหลายต่อหลายรอบ กลับ
พ่ายแพ้ต่อ ฉินหยุน!
ฉินหยุนเพียงเพิ่งก้าวขึ้นมาสู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่แปด นอกจากนี้
เขายังต้องเผชิญข้อจํากัดจํานวนมากในสนาม ประลอง สําหรับเขามันไม่
มีโอกาสที่จะชนะได้เลยด้วยซํ้า แต่ แล้วกลับสามารถเอาชนะมาได้
หลันเฟิ งจินและเสวี่ยซือเยี่ย ใบหน้าทั้งสองเผยความประหลาด ใจขณะ
หันมองหน้ากันเอง ใบหน้ารูปไข่งดงามเย็นชาของเสวี่ยซือเยี่ย พลันแดง
กํ่าด้วย ความเขินอาย
ผิวสีนํ้าตาลข้าวสาลีของหลันเฟิ งจิน คราครั้งนี้ แม้ไม่บ่งบอก ชัดเจนว่า
นางเขินอาย แต่ก็ต้องไม่ใช่ความรู้สึกง่ายจัดการเป็น แน่ ฝูงชนระเบิดเสียง
ฮือฮาร้องดังกันออกมา
“เป็นไปไม่ได้” หลาย คนต่างเชื่อว่าฉินหยุนไม่มีทางจัดการสามจรัสแสง
อย่างแน่นอน พวกเขาต่างออกปากว่าฉินหยุนต้องมีกลโกง หวังว่า
กรรมการ จะตัดสินหรือพูดอะไรบ้าง กรรมการชราเข้าตรวจสอบอาการ
บาดเจ็บของแฝดสาม เขา พบว่าเพียงแต่สติหลุดไปครู่ เป็นการโจมตีทาง
จิตที่หลงเหลือเล็กน้อยภายในจิตใจเท่านั้น ร่างกายไม่ได้รับบาดเจ็บแต่
อย่าง
“พวกเราสบายดี และพวกเราแพ้แล้ว!” ต้าโหยวที่ฟื้นคืนสติ เขาหันมองฉิน
หยุนด้วยความนับถือและโพล่งคําขึ้น
“พวกเรา ยอมรับความพ่ายแพ้นี้!” ถึงตอนนี้เอง ฝูงชนผู้ชมต่างระเบิดเสียง
ฮือฮากันดังขึ้น สาม จรัสแสงถึงกับยอมรับความพ่ายแพ้ ต้าโหยวทราบ
อย่างดีว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น พวกเขาโดนโจมตี ผ่านพลังจิตอันแข็งแกร่ง
ของฉินหยุน พวกเขาเองก็ฝึกฝนพลัง จิต ดังนั้นจึงทราบว่านี่คือเรื่องอันใด
พวกเขาได้ทราบกันอย่าง ดียิ่งแล้วถึงพลังจิตอันน่าสะพรึงที่ฉินหยุนครอบ
ครอง กระทั่งว่าพวกเขาตั้งป้องกันไว้แล้ว ก็ยังไม่อาจทานทนการ โจมตี
ทางพลังจิตครั้งนี้
นี่เป็นเพราะพวกเขาใช้พลังจิตกันอย่างหนักหน่วง จึงเป็นพวก เขา
อ่อนไหวต่อความผันแปรของพลังจิตโดยง่าย เพราะเหตุนั้น เมื่อพวกเขา
โดนพลังจิตเข้าโจมตี อาการบาดเจ็บจึงยิ่งขยายกว้างกว่าที่ควรเป็น
เหตุผลหลักก็เพราะ พวกเขาเพียงเข้าใจ การฝึกฝนพลังจิต ได้ไม่ลึกลํ้า
มากพอ กรรมการชราประกาศดังขึ้น
“ฉินหยุนได้รับชัยชนะในครั้งนี้ สามจรัสแสงพ่ายแพ้!” ฉินหยุนชนะ หลาย
คนต้องเสียเหรียญผลึก ย่อมเป็นเรื่องปกติที่ จะไม่ยินดี พวกเขาจึงส่งเสียง
โห่ใส่ฉินหยุน!
ทางด้านฉินหยุน เขายินดีเป็นอย่างยิ่ง ด้วยรอยยิ้มประดับ ใบหน้า เขา
ก้าวเดินลงจากลานประลอง มุ่งหน้าสู่โถงของ สนามประลอง จ่ายเหรียญ
ผลึกแก่ผู้อาวุโสเพื่อให้จัดแจงนัด ประลองถัดไป
“เจ้าหนู ข้าพูดถูกหรือไม่ใช่? สามคนนั้นก็แค่ธรรมดาไม่ใช่หรือ ยังไง?”
ชายชราหัวเราะดัง ฉินหยุนที่คิดกล่าวโทษชายชราตั้งแต่ก่อนเริ่ม ทว่า
ตอนนี้ เขา ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมรับ ว่าทั้งสามธรรมดาจริง
เขาจึงพยักหน้าตอบ
“แน่นอนว่า พวกเขาธรรมดานั้นมีมาตรฐานเป็นเจ้า! กับผู้อื่น พวกเขา
แข็งแกร่งยิ่ง” ชายชราหัวเราะคิกคัก
“เจ้าเป็นศิษย์ ของตาเฒ่าตู้ ย่อมต้องได้เรียนรู้เคล็ดวิชารวมจิตวิญญาณ
สังหาร มันเป็นดาวพิฆาตของพวกเขาเลยเชียวละ”
ฉินหยุนยิ้มกล่าว “ผู้อาวุโส เป็นข้าคิดแย่ต่อท่านตอนขึ้นลาน ประลอง ข้า
ต้องขออภัย!”
“ไม่เป็นไร ครั้งหน้าข้าจะจัดแจงคู่ต่อสู้ง่ายดายแก่เจ้า นัด ประลองนี้เริ่ม
ตอนช่วงเย็น” ชายชราหัวเราะตอบ
“เจ้าเป็น ศิษย์ของตาเฒ่าตู้ ข้าย่อมต้องดูแลไม่มากก็น้อยอยู่แล้ว” ฉิน
หยุนยิ้มอย่างมีเลศนัย ขณะปล่อยกําปั้นตนเอง ชนกําปั้น ของผู้อาวุโสที่
ยื่นมาให้ และออกจากโถงสนามประลองไป ตอนนี้เขาขึ้นไปด้านบนที่นั่งผู้
รับชม ใบหน้าของเสวี่ยซือเยี่ยแดงกํ่าขณะกระซิบกระซาบกับห ลันเฟิ งจิน
“พี่หลัน พวกเราต้องจูบเจ้าปีศาจน้อยผู้นี้จริงหรือ?”
หลันเฟิ งจนเผยท่าที่ยุ่งยากใจ “พวกเราก็ได้แต่ต้องทํา หากไม่ ทํา เขาจะ
เอาแต่พล่ามว่าพวกเราไม่รักษาสัญญา แม้พวกเรา เป็นผู้หญิง แต่พวกเรา
อย่าได้เป็นเช่นพวกผู้ชายที่ไม่คิดรักษา สัญญาของตนเอง”
“แล้วมีอะไรน่ากลัวกัน? ไม่ใช่แค่จูบที่แก้มหรือไร? ไม่ใช่เรื่อง ใหญ่อะไร มี
แต่เราสามคนที่รู้เรื่อง! ภรรยาเขา เชี่ยวเย่ว์หลาน แข็งแกร่งนัก หากเชี่ยว
เย่ว์หลานทราบเรื่องราว เขาย่อมต้อง เป็นผู้ที่ตกอยู่ในปัญหาเสียเองแล้ว”
ได้ยินคําของหลันเฟิ งจิน เสวี่ยซือเยี่ยจึงสบายใจขึ้นไม่น้อย นางพยักหน้า
รับ “โชคดีนัก ที่พวกเราไม่ได้สัญญาเป็นจูบที่ริม ฝีปาก ไม่เช่นนั้น ฉินหยุน
เดินเข้ามาทั้งรอยยิ้ม เขามองสาวงามหนึ่งเล็กหนึ่งใหญ่ ด้วยรอยยิ้มสุขใจ
ยิ่ง หลันเฟิ งจินและเสวี่ยซือเยี่ยอยู่ชั้นแทบ บนสุด ที่นี่ไม่มีที่นั่ง ดังนั้นแล้ว
พวกเขาจึงยืนอยู่ที่นี่ ทั้งยังมี ผู้คนบางตา
หลันเฟิ งจินหันมองยากลําบากคราหนึ่ง “สามคนนั้นช่างไร้ ประโยชน์นัก
พอมาคิดว่าเจ้าจะแพ้ให้สามคนนั่น ข้าช่างคิดผิด เสียจริง”
“เช่นนั้น... สัญญาที่ให้ไว้ อย่าลืมละ!” ดวงตาฉินหยุนทอประ กาย
คาดหวังขณะกล่าว
“รู้น่า!” หลันเฟิ งจินแค่นเสียงยอมรับ ฉินหยุนมองอย่างอิ่มเอมขณะยิ้ม
กล่าว
“ท่านยอมรับความพ่าย แพ้เสียด้วย! วิเศษนัก!”
“ฉินหยุน นี่เจ้าจัดการสามคนนั้นได้อย่างไร?” เสวี่ยซือเยี่ย สงสัย
หลันเฟิ งจินเองก็มองมา คิดอยากทราบเหตุผล รอคอยคําตอบ ฉินหยุนจึง
ตอบกลับไปอย่างจริงจัง “เป็นข้าใช้พลังจิตโจมตี! พวกเขาทั้งสาม ต่าง
ฝึกฝนพลังจิต แต่ยังไม่ลึกลํ้ามากพอ ด้วย เหตุนี้พวกเขาจึงมีจุดอ่อนใหญ่
หลวงนัก”
“แม้พวกเขาใช้พลังจิตควบคุมวัตถุได้ แต่การป้องกันทางจิต อ่อนด้อย
นอกจากนี้พวกเขายังต้องใช้ถึงสามคน จึงสามารถ ควบคุมวัตถุด้วยดีได้”
“ทั้งนี้ยังใช้พลังจิตตั้งค่ายกลสามเหลี่ยม เพื่อตั้งอาณาเขตการ ใช้พลังจิต
หลังข้าปล่อยพลังจิตออกไป เพียงตามพลังจิตพวก เขากลับ และโจมตี
ตรงเข้าที่ต้นกําเนิดพลังจิตของพวกเขาก็ เท่านั้นเอง”
หลันเฟิ งจินและเสวี่ยซือเยี่ย ทั้งสองต่างเกิดความประทับใจ ขึ้นมา พวก
นางไม่ทราบเลยว่ากระบวนการเบื้องลึกซับซ้อน เพียงนี้
หลันเพิ่งจิน อันที่จริงก็เข้าใจถึงความแข็งแกร่งทางพลังจิตของ ฉินหยุนอยู่
บ้าง “ข้าคิดว่า ตําหนักดวงดาววิญญาณสีครามไม่มีการฝึกสอน พลังจิตที่
ดีนัก ไม่อย่างนั้น ทั้งสามคนคงไม่มีจุดอ่อนใหญ่หลวง เพียงนี้! หากพวก
เขาเผชิญหน้ากับข้าพร้อมเสี่ยงเป็นตาย พวก เขาคงตายไปแล้ว”
ฉินหยุนยิ้มบาง “แน่นอน หากไม่มีข้อจํากัดเรื่องโจมตีพวกเขา แม้ไม่ใช้
พลังจิตข้าก็สังหารพวกเขาได้”
หลันเฟิ งจินพลันรู้สึกอิจฉา “เจ้าหนูนี่ พลังจิตของเจ้า แข็งแกร่งไม่พอ
พรสวรรค์ทางวิถีจารึกยังสูงลํ้า ทั้งยังมี วิญญาณยุทธ์ที่ดี เป็นข้าอิจฉาเจ้า
จนแทบแย่แล้ว”
“พี่หลัน ท่านอยู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋า ต้องเป็นข้าที่ควรอิจฉา ท่าน!” เขาเอง
ก็ทราบ ว่าทั้งหมดนี้เป็นเพราะครอบครอง วิญญาณเทวะเก้าตะวัน เป็น
มันช่วยเหลือเขาอย่างใหญ่หลวง สําหรับวิญญาณเทวะเก้าตะวัน มันเป็น
เพราะมารดาของฉัน
หยุนและเซี่ยฉีโหรวมีสัมพันธ์ที่ดีต่อกันจึงได้รับมา ทว่าฉินหยุน ก็ไม่ทราบ
เรื่องราวของมันมากนัก ในช่วงเย็น ถึงนัดประลองของฉินหยุนอีกครั้งหนึ่ง
ในศึกครั้งนี้ คู่ต่อสู้ของฉินหยุนเป็นชายวัยกลางคนจากสถาบัน ยุทธ์หลิง
เสวียน แม้เขาอยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่แปด ทว่าอ่อนแอนัก เพียง
คํารามไม่กี่ครั้ง ฉินหยุนก็ส่งร่างอีกฝ่าย กระเด็นออกนอกลานประลอง
เป็นฉินหยุนได้รับชัยชนะอีกครั้งแล้ว ตอนนี้เขามีทั้งสิ้นเจ็ดล้าน แต้ม
เสวียน ด้วยอีกสามล้านแต้มเสวียน ก็จะสามารถท้า ประลองนักสู้
ระดับสูงอย่างโจวจงฮวยได้! หลังเสร็จสิ้นขั้นตอนการปิดสนามประลอง
วันนี้ ฉินหยุนจึงกลับ สถาบันเทียนเจียว บ้านพักข้างธารนํ้าด้วยอารมณ์
ตื่นเต้นยินดี
“ล้างหน้าเจ้าเสีย!” หลันเฟิ งจินยืนอยู่ด้านหลัง กลอกตาและ ตะคอกขึ้น
ฉินหยุนเร่งรีบไปล้างหน้าตนเอง นั่งรอสงบเสงี่ยมที่เก้าอี้ ใบหน้านี้ประดับ
ยิ้มกล่าวคํา
“เริ่มได้เลย!”
พอหลันเฟิ งจินเห็นเสวี่ยซือเยี่ยหน้าแดงกํ่า นางจึงถอนหายใจ อย่างช่วย
ไม่ได้ แม้นางเองก็เขินอาย แต่อย่างน้อยก็ตัดสินใจได้ อย่างแน่วแน่ จูบเข้า
ที่แก้มของใบหน้าหล่อเหลาของฉินหยุน ฉินหยุนรู้สึกได้ ถึงกลิ่นหอมดิบ
เถื่อนที่ใกล้สัมผัสยิ่ง แก้มของ เขารู้สึกร้อนผ่าว ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจาก
ความรู้สึกดีจนร้อนวูบ ขึ้นมา มันช่างต่างจากคําบรรยายในหนังสือยิ่งนัก
พอเสวี่ยซือเยี่ยเห็นดังนี้ ใบหน้าเย็นชาของนางยิ่งแดง กระทั่งคิดว่านาง
เย็นชาเพียงนี้ และเป็นหญิงแกร่งเพียงนี้ ก็ ยังคงมีมุมเขินอายอย่างเด็ก
สาวผู้หนึ่ง นางกัดริมฝีปากแดงสุกปลั่งและหลับตาลง ใบหน้าของนางยื่น
เข้าหาแก้มอีกข้างของฉินหยุน บรรจงกดริมฝีปากแดงสดของนางที่แก้ม
ของใบหน้าหล่อเหลานั้น ฉินหยุนแทบไม่กล้าหายใจแรง เขายิ้มรับ
“ถึงคราวข้าจูบพวก ท่านกลับบ้างแล้ว ฮี่ฮี่!” หลันเฟิ งจินมือกอดอก ยืน
หยัดเย็นเยือก พอเห็นฉินหยุนเผยสี หน้าได้ใจ นางพลันกล่าวเหยียดหยัน
ออกมา
“เจ้าหนู มาดูกัน ว่าเจ้าจะยินดีได้อีกเพียงใด! เข้ามาจูบที่ใบหน้าข้า!” ฉิน
หยุนเป็นคนตรงมาแต่ไหนแต่ไร จึงจูบเข้าที่แก้มของห ฉันเพิ่งจิน หลันเฟิ ง
จินแค่นเสียง
“น่าเบื่อนัก!” เสวี่ยซือเยี่ยก้มหน้าลงเล็กน้อย ไม่นานจากนั้น ฉินหยุนจึง
จูบ เข้าที่แก้มนวลเนียนของนาง ยิ่งทําให้หน้าของนางแดงกํ่า
“ซือเยี่ย ใบหน้าเจ้าดีกว่าพี่หลันเยอะนัก!” ฉินหยุนหัวเราะ
“เป็นเช่นนั้น อย่างไรแล้วซือเยี่ยก็อ่อนเยาว์กว่า ผิวพรรณย่อม เรียบเนียน
และงดงามกว่า ข้าจะเทียบนางได้อย่างไร? ทั้งแก่ ชราและไร้ซึ่งความ
งดงาม ข้ามีอะไรดีกัน?” หลันเฟิ งจินบ่นอุบ ขณะนั่งบนเก้าอี้ รินชาสาม
ถ้วยและยกของตัวเองขึ้นดื่ม หลันเฟิ งจินไม่งดงามมากนักจริง ทั้ง
ผิวพรรณยังเป็นสีนํ้าตาล ข้าวสาลี ทว่า โดยรวมแล้วนางให้ความรู้สึกดิบ
เถื่อน โดยเฉพาะยามเมื่อสวมใส่กางเกงขาสั้น เผยออกซึ่งรูปลักษณ์
งดงามและขายาวเรียวสวย
“ข้ากลับไปฝึกฝนในห้องต่อละ วิญญาณยุทธ์ของข้ายังฟื้นฟูได้ ไม่เต็มที่”
เสวี่ยซือเยี่ยพอกล่าวคําจบ จึงเร่งรีบเข้าห้องไป เฉินหยุนหัวเราะคิกคัก
ตอบ
“ไม่คิดเลยว่าซื่อเยี่ยจะมีมุมเด็กสาว เช่นนี้ด้วย ครั้งแรกได้พบ นึกว่านาง
จะเย็นชาและหยาบ กระด้างกว่านี้เสียอีก”
“เด็กสาวก็คือเด็กสาว เป็นเจ้าไม่เข้าใจผู้หญิงเอง” หลันเฟิ งจินยิ้มบาง
“พี่หลันสิถึงจะดีที่สุด ท่านทั้งอิสระและซื่อตรง เป็นข้าชอบคน เช่นท่าน!”
ฉินหยุนยกถ้วยชาที่นางรินไว้ ยกขึ้นดื่มและยิ้มให้ ดวงตาของหลันเฟิ งจิน
ฉายเสน่ห์ออก นางยิ้มให้เห็น
“ข้านึกว่า เจ้าเพียงชอบเด็กสาวงดงามขาวราวหิมะเสียอีก เจ้ายังชอบ
หญิงดิบเถื่อนเช่นข้าด้วยหรือ?” ฉินหยุนดื่มชาจนหมดถ้วย จึงยิ้มตอบ “ข้า
ก็ชอบทั้งสองแบบนะ!”
หลันเฟิ งจินมองเหยียดหยันไปวูบก่อนลุกขึ้นยืน ขณะนางกําลัง จะกลับ
ห้อง นางรู้สึกได้ถึงออร่าสามคนกําลังเข้ามาใกล้จาก นอกบ้านพัก “สาม
จรัสแสงมาที่นี่!”
ฉินหยุนเองก็สัมผัสได้ สีหน้า แปรเปลี่ยนเล็กน้อย “เหตุใดพวกเขามาที่นี่?
หรือประลองแพ้ คนไม่แพ้?”
ตึง ตึง ตึง! เสียงเคาะประตูดังขึ้นแล้ว!
หลันเฟิ งจินรีบออกไปรับหน้า หลังเปิดประตูออก นางได้เห็น เด็กหนุ่มหล่อ
เหลาสามคนยืนเรียงกันด้านนอก “สายัณห์สวัสดิ์อาจารย์ป้าหลัน!”
เด็กหนุ่มทั้งสามตะโกนเป็น เสียงเดียวกัน ทั้งยังโค้งคํานับให้อย่างสุภาพ
“อะไรกัน? เข้ามาก่อน มาพูดคุยกันด้านใน!”
หลันเฟิ งจินเชิญ ทั้งสามเข้าในห้องโถง ฉินหยุนลอบประหลาดใจ พอคิด
ได้ว่าสามจรัสแสงเรียกหาห ล้นเฟิ งจินเป็นอาจารย์ป้า ชัดเจนว่าหลันเฟิ ง
จินย่อมต้องมี สถานะสูงส่งยิ่งแล้ว
“ว่าไง มีอะไรกันหรือ?” ฉินหยุนยิ้มถาม
“ฉินหยุน พวกเราขอติดตามท่าน!” ต้าโหยวเอ่ยคํา อีกสองคน พยักหน้า
รับเป็นการเห็นด้วย
“ติดตามข้าหรือ?” ฉินหยุนตระหนก เขาหันมองหลันเฟิ งจิน นางเองก็
ประหลาดใจไม่น้อยเช่นกัน
ตอนที่ 246 วิญญำณยุทธ์โทเทม
หากสามพี่น้องไม่ได้โดนฉินหยุนจัดการ พวกเขาก็จะยังคงเป็น ผู้แข็งแกร่ง
ในสนามประลอง ตอนนี้ พวกเขาคิดอยากติดตาม ฉินหยุน นี่เป็นสิ่งที่
กระทั่งหลันเฟิ งจินก็ไม่คาดคิด “พวกเจ้า.... คงไม่ได้มาล้อกันเล่นหรอกใช่
หรือไม่?”
ฉินหยุน ชะงักงันถอยกลับก่อนเอ่ยถาม “ไม่! พวกเราคิดติดตามท่านจาก
ทั้งหัวใจและจิตวิญญาณ ขอ นายท่านโปรดรับพวกเราไว้”
หลันเฟิ งจินยืนด้านข้าง คิ้วขมวดเอ่ยคํา “พวกเจ้าทั้งสามโดน ฉินหยุนทํา
สมองมีปัญหาหรือ? พวกเจ้าเป็นศิษย์ตําหนัก ตะวันออก มีอนาคต
สุกสว่างรออยู่ตรงหน้า แต่กลับคิดติดตาม เด็กน้อยเช่นนี้หรือ?”
“อาจารย์ป้าหมั่นโปรดเข้าใจ ท่านน่าจะทราบว่าอนาคตของ พวกเราใน
ตําหนักตะวันออกมีอย่างจํากัด! พวกเราต่างฝึกฝน พลังจิต แต่กลับไม่มี
อาจารย์ในตําหนักตะวันออกที่เชี่ยวชาญ ด้านนี้”
ต้าโหยวเอ่ยคํา “และแม้ฉินหยุนยังเยาว์ ทว่าการ ฝึกฝนพลังจิตของเขา
กลับแข็งแกร่งนัก หากพวกเราติดตาม ย่อมได้รับผลประโยชน์ ติดตามเขา
หาได้มีอันใดเสียหายไม่”
หลันเฟิ งจินตอบคํา “อยากทําอะไรก็ทํา มาดูกันดีกว่าว่าเจ้าหนู นี่จะตอบ
รับหรือไม่!” ต้าโหยวมองทางฉินหยุน คาดหวังได้รับคําตอบ ดวงตาฉิน
หยุนเบิกออกกว้าง เขายังไม่ทราบว่าควรตอบสนอง อย่างไร
“นี่ เป็นข้ายุ่งมาก ข้าไม่มีเวลาชี้แนะฝึกฝนแก่พวกเจ้า” ฉิน หยุนตอบ
“นอกจากนี้ ข้ายังไม่ชอบปัญหา ข้าชอบอยู่ลําพัง และเป็นอิสระ มันคง
ดีกว่าหากพวกเจ้าละทิ้งการตัดสินใจครั้งนี้”
“พวกเราจะไม่สร้างปัญหา พวกเราเพียงต้องการติดตาม กระทั่งว่าไม่
ชี้แนะแก่พวกเรา พวกเราก็จะไม่บ่นอันใดสักคํา! เมื่อท่านต้องการพวกเรา
พวกเราจะช่วยเหลือโดยตั้งใจรับฟัง อย่างแน่นอน” ต้าโหยวเร่งรีบกล่าว
หลันเฟิ งจินตบไหล่ฉินหยุน นางยิ้มให้
“เจ้าได้ยินหรือไม่? นี่ เป็นเงื่อนไขที่ดีนัก เจ้าไม่ต้องการหรือ?”
“เรื่องนี้ มันอาจดูจริงใจ แต่ความจริงใจนี้อาจเป็นการแสดง ได้” ฉินหยุน
รู้สึกยุ่งยากใจขึ้นมา เขาคิดอยากปฏิเสธผู้ติดตาม เขาในตอนนี้ไม่ต้องการ
ข้ารับใช้หรืออะไรทํานองนั้นเลยจริง ๆ ต้าโหยวกล่าวคํา
“นายท่าน พวกเราตัดสินใจแล้ว พรุ่งนี้เช้า พวกเราจะท้าประลองท่าน ให้
ท่านได้ชนะการแข่งขัน ให้ท่าน ได้รับแต้มเสวียน!” ฉินหยุนอึ้งไปวบ ราว
กับตนเองหูฝาดที่ได้ยินเช่นนี้
“พวกเราแต่ละคนมีห้าสิบล้านแต้มเสวียน หากท่านต้องการ พวกมัน พวก
เรายินดีท้าประลองท่านต่อเนื่อง จนกระทั่งแต้ม เสวียนของพวกเราเหลือ
ศูนย์!”
ฉินหยุนรู้สึกว่านี้ออกจะดีจนเกินไปแล้ว เขาพยักหน้ารับ “ข้า ตอนนี้ยัง
ไม่ได้ต้องการแต้มเสวียนมากมายเพียงนั้น เอาอย่างนี้ เป็นไร เจ้าท้า
ประลองต่อข้าในวันพรุ่งนี้ ให้ข้าได้รับสามล้าน แต้มเสวียน ถึงตอนนั้น ข้า
จะยอมรับพวกเจ้าให้ติดตามข้า”
พอสามพี่น้องได้ยินดังนี้ พวกเขาเผยสีหน้ายินดี จากนั้น พวก เขาตัดสินใจ
คุกเข่าลงข้างหนึ่ง กําหมัดประสานฝ่ามือต่อฉินหยุ นพร้อมตะโกน “รับ
บัญชานายท่าน!”
“พอแล้ว พอแล้ว... อย่าได้เรียกข้าเช่นนี้ต่อหน้าผู้อื่น! ใช่ ช่วย ข้า
ตรวจสอบเรื่องของโจวจงฮวยด้วย ยิ่งมีรายละเอียดมากยิ่ง ดี” ฉินหยุนก
ล่าว จากนั้น เขาพลันรู้สึกว่าสามพี่น้องนี้ออกจะมี ประโยชน์ไม่น้อย
“ขอรับ พวกเราไป!” หลังลุกขึ้นยืน พวกเขาจึงเร่งรีบไปจาก บ้านพัก
หลันเฟิ งจินหยอกล้อ
“นายท่านช่างน่าประทับใจนัก!” ฉินหยุนหัวเราะตอบ “เช่นนั้นหรือ งั้นจูบ
เป็นการแสดงความ จริงใจต่อข้า!”
“สารเลว!” หลันเฟิ งจินหัวเราะต่อว่า ก่อนกลับห้องของนางไป พักผ่อน ฉิน
หยุนไม่ได้เหนื่อย หลังกลับเข้าห้องตนเอง เขาจึงนําเอาผัง วิญญาณซักนํา
ดารา ที่หลันเฟิ งจินมอบให้ ออกมาพิจารณา ศึกษา ด้วยการกางอาคม
วิญญาณบรรจบเก้าตะวันบนพื้นและนั่งที่ ตรงกลางอาคม เขาจึงดูดกลืน
พลังวิญญาณเก้าตะวัน พร้อม กันนี้ก็สํารวจผังวิญญาณไปด้วย
ขณะเดียวกัน เขายังโคจรกําลังภายในเพื่อหล่อเลี้ยงวัชระไข กระดูก ด้วย
การบํารุงพลังภายในไปด้วย เป็นผลให้หัวใจของ เขาสั่นไหวขณะดูดกลืน
พลังภายใน เพื่อสร้างวัชระแก่นภายใน มันจําเป็นต้องใช้วัชระพลังภายใน
ปริมาณมหาศาล หากไม่มีเม็ดยาให้กิน ก็ต้องใช้เวลานานยิ่ง กว่าจะ
สําเร็จได้ ฉินหยุนใช้เวลาทั้งคืนศึกษาผังวิญญาณชักนําดารา ในช่วงเช้า
ของอีกวัน เขาก็ยังเต็มเปี่ยมด้วยพลังแม้ไม่ได้นอน
ขณะเดินทางไปยังโถงของสนามประลอง เขาพลันพบประกาศ แผ่นหนึ่ง
เป็นการแจ้งต่อเขา ว่าสามจรัสแสงจะท้าทายต่อเขา บอกให้เขาเตรียมตัว
รอไว้ได้เลย! ข่าวคราวนี้ถึงขั้นแพร่กระจายทั่วทั้งสนามประลอง! ก็เหมือน
อย่างเมื่อวาน ฝูงชนในสนามประลองเต็มแน่นด้วย ความตื่นเต้นคิดรับชม
เรื่องสนุก พวกเขาเชื่อว่าสามจรัสแสงท้า ทายฉินหยุนก็เพื่อล้างแค้นศึก
เมื่อวาน ฉินหยุนยังคงสงสัยต่อสามจรัสแสงอยู่
ทว่า หากผู้อื่นคิดร้าย จริง เขาก็ไม่มีอันใดให้ต้องกังวล นั่นก็เพราะเพียง
เขาใช้พลัง จิตที่แข็งแกร่งกว่า ก็จัดการสามพี่น้องได้อยู่แล้ว หลันเฟิ งจินท
ราบว่าฉินหยุนจะต้องชนะอย่างแน่นอน ดังนั้นจึง ลงเงินเดิมพันข้างเขาไป
มาก หากฉินหยุนชนะ จะเป็นนาง ได้รับผลกําไรก้อนใหญ่
“พี่หลัน นี่ท่านลงเดิมพันไปเท่าใดกัน?” เสวี่ยซือเยี่ยเมื่อวานนี้ กลับเข้า
ห้องไปก่อน จึงไม่ได้ทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้น
“ข้าวางเดิมพันไปสามร้อยล้านเหรียญผลึก หากฉินหยุนชนะ สนาม
ประลองจะจ่ายคืนให้ข้าหกร้อยล้านเหรียญผลึก” หลันเฟิ งจินยิ้มกล่าว
“ก่อนหน้านี้ฉินหยุนหยิบยืมข้าไปสาม ร้อยล้านเหรียญผลึก ตอนนี้เป็นข้า
ได้รับรางวัลคืนจากเขาแทน แล้ว” “ข้าเองก็วางเดิมพันไปห้าสิบล้าน
เหรียญผลึก หากชนะ ข้าจะ ได้รับหนึ่งร้อยล้านเหรียญผลึก”
แม้ใบหน้าเสวี่ยซือเยี่ยไม่มี รอยยิ้ม แต่ดวงตางดงามนั้นสุกสว่างและเปี่ยม
ด้วยความยินดี ไม่ใช่น้อย ครั้งนี้ ฝูงชนล้วนเชื่อว่าสามจรัสแสงจะต้องชนะ
อย่างแน่นอน นี่ก็เพราะพวกเขารู้สึกว่าความพ่ายแพ้เช่นเมื่อวานจะไม่
เกิดขึ้น อีก นอกจากนี้ พวกเขายังเป็นฝ่ายท้าทายฉินหยุน หมายความ ถึง
ความมั่นใจเปี่ยมล้นที่พวกเขามี ศึกฉินหยุนปะทะสามพี่น้อง ถูกกําหนดไว้
ในช่วงบ่าย เช่นเดียวกับเมื่อวันก่อน
ทุกคนต่างคาดหวังศึกนี้ของฉินหยุน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่คิด เสียเวลามา
ในช่วงศึกประลองตอนเช้า พอฉินหยุนเข้าสนาม ประลอง ทั่วทั้งสนาม
ประลองจึงค่อยเปี่ยมด้วยชีวิตชีวา เสียง โห่ร้องตะโกนสารพัดชนิดดังผ่าน
อากาศ สามจรัสแสงขณะนี้ขึ้นยืนบนลานประลองแล้ว ฉินหยุนไม่กล่าว
อันใด กลับกัน เขาใช้พลังจิตสนทนากับพวก เขาเป็นการลับ!
“นายท่าน วิญญาณยุทธ์ของโจวจงฮวยลึกลับยิ่ง แต่พวกเราก็ พอจะได้
เบาะแสมาบ้าง เดิมที่เขาถูกขังอยู่ในคุกใต้ดินของ ตําหนักดวงดาว
วิญญาณสีครามนานหลายปี แต่ตอนนี้เขาถูก ปล่อยก่อนกําหนดถึงหลาย
ปีด้วยกัน นั่นก็เพราะวิญญาณยุทธ์ ของเขาพิเศษยิ่ง”
ต้าโหยวใช้พลังจิตส่งเสียงไปยังฉินหยุน มี เพียงผู้ที่ฝึกฝนพลังจิตลํ้าเลิศจึง
สามารถสื่อสารกันด้วยวิธีนี้ได้ หากเป็นการส่งเสียงเข้าประสาทหูผู้อื่น
อาจถูกยอดฝีมืออื่น รบกวนได้
“แล้ววิญญาณยุทธ์ของเขาพิเศษอย่างไร?” ฉินหยุนยิ่งสงสัย มากขึ้น
“ข้าไม่อาจทราบ! แต่ว่า ข้าตั้งข้อสงสัยเอาไว้ วิญญาณยุทธ์ ของเขาอาจ
เป็นวิญญาณยุทธ์โทเทม หมายความถึงวิญญาณ ยุทธ์ของเขาได้ตื่นรู้ขึ้น
เป็นเพราะข้าได้ยินมาว่า โจวจงฮวยฝึก ฝนวิชายุทธ์โทเทมที่น่าสะพรึง
ในช่วงที่ถูกกักขัง”
ฉินหยุนพลันตระหนัก วิญญาณยุทธ์โทเทม เป็นอะไรที่คล้าย วิญญาณ
ยุทธ์สวรรค์ประทาน กล่าวได้ว่าหาพบยากยิ่ง ถึงตอนนี้ เขายิ่งเข้าใจ
พละกําลังของโจวจงฮวยลึกลํ้ามากขึ้น อีกฝ่ายเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาจริง

“นายท่าน มีข่าวลือเช่นกัน ว่าโจวจงฮวยมาที่สนามประลอง แห่งนี้เพราะ
ท่าน! เป็นเขาคิดจัดการท่าน ทําลายท่าน เพื่อให้ ได้รับภรรยาของนาย
ท่าน” ฉินหยุนคิ้วขมวด ใบหน้าดํามืดลง
วิญญาณยุทธ์ของเชี่ยวเย่ว์หลาน ก็ถือเป็นวิญญาณยุทธ์สวรรค์ ประทาน
ทั้งนางยังครอบครองเส้นวิญญาณเจ็ดตะวัน อัจฉริยะ หลายคนล้วนริษยา
นางกันทั้งสิ้น ทว่า พวกเขาต่างทราบ ว่าเชี่ยวเย่ว์หลานมีแต่ฉินหยุนใน
หัวใจ มีเพียงฉินหยุนตาย ผู้อื่นจึงค่อยแทรกแซงเข้าในหัวใจนางได้ พอ
ผู้ชมได้เห็นฉินหยุนและแฝดสามเงียบงันบนลานประลอง พวกเขาจึงคิด
กันไปเอง ว่าพวกเขากําลังจ้องมองหาโอกาสซึ่ง กันและกันอยู่ เรื่องนี้ยิ่งทํา
เอาพวกเขาตื่นเต้น
“คุกคามนัก ฉินหยุนไม่น่ารอดแล้ว ฮ่าฮ่า!”
“ครั้งนี้แหละ สามจรัสแสงต้องชนะ!” “เมื่อวานเสียไปเยอะ วันนี้ต้องถอน
ทุนคืนให้ได้!” หลายคนต่างยินดี พวกเขากําลังคาดหวังการประลองที่
ดุเดือด หลังเตรียมการเสร็จสิ้น กรรมการชราจึงประกาศเสียงดัง เริ่มต้น
การประลอง!
ก็เป็นดังเช่นเมื่อวาน ทันทีเมื่อการประลองเริ่มต้น สามจรัสแสง แยกตัว
ออก ปิดล้อมฉินหยุน ก่อนจะเริ่มการโจมตีรุนแรงเข้าใส่ แน่นอน ว่าไม่ได้
เป็นการโจมตีรุนแรงจริง พวกเขาหารือถึง วิธีการกันเรียบร้อยแล้วต่างหาก
การประลองนัดวันนี้ถือว่ายาวนานกว่าเมื่อวาน นอกจากนี้ วิธีการที่พวก
เขาใช้ต่อสู้กันยังเป็นไปอย่างดุเดือด ขณะที่เวลา ใกล้หมดลง ฉินหยุนพ
ลันใช้เสียงคํารามราชสีห์สวรรค์ จัดการ ส่งร่างสามพี่น้องกระเด็นลอยลิ่ว
ไปนอกลานประลอง! สามจรัสแสงแพ้ฉินหยุนอีกครั้งแล้ว!
ฝูงชนผู้ชมเริ่มสบถก่นด่า เพราะพวกเขาเสียเหรียญผลึกกันอีก ครั้งครา
แล้ว! ” ฉินหยุนชนะศึกประลองนัดนี้ ได้รับสามล้านแต้มเสวียน ตอนนี้
รวมแล้วมีทั้งสิ้นสิบล้านแต้มเสวียน เขาเร่งรีบไปยังโถงของสนามประลอง
นํ้าห้าแสนเหรียญผลึก ออกมา ท้าประลองโจวจงฮวย!
“หากเจ้าคิดต้องการท้าประลองโจวจงฮวย จําเป็นต้องรอสาม วัน นี่เป็น
สนามประลองระดับสูง เพราะนักสู้ระดับสูงค่อนข้าง กิจธุระเยอะ ดังนั้น
พวกเขาจึงไม่อาจมาถึงได้รวดเร็วนัก” ชาย ชรากล่าว
“รับทราบ สามวันก็สามวัน!” ครั้งนี้ ฉินหยุนไม่คิดพูดกับผู้ อาวุโสท่านนี้
มาก จัดการเรียบร้อยเขาจึงออกจากลานประลอง กลับไปยังบ้านพักริม
ธารนํ้า ในสนามประลองตอนนี้ ข่าวคราวที่ฉินหยุนท้าโจวจงฮวย ประลอง
แพร่กระจายยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง! โจวจงฮวยเป็นนักสู้ระดับสูงที่น่ากลัวไม่
น้อย
การปรากฏตัว ของเขา เป็นผลให้นักสู้ระดับสูงต้องตั้งกลุ่มกันกลุ่มแล้ว
กลุ่ม เล่า เพราะหากพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับโจวจงฮวยเพียง ลําพัง
โอกาสชนะแทบไม่มี กระทั่งเป็นกลุ่ม พวกที่อ่อนแอเกินไปก็ต้องแพ้พ่าย
ยกตัวอย่าง เสวี่ยซือเยี่ยและอีกสองคนที่เหลือ ต่างก็พ่ายแพ้แก่โจวจงฮวย
ฉินหยุนนั่งในห้องโถงของบ้านพัก รอคอยให้หลันเฟิ งจินและ เสวี่ยซื
อเยี่ยกลับมา
ผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมง หลันเฟิ งจินที่อารมณ์ดียิ่ง ฮัมทํานอง เพลงดังตั้งแต่
เข้ามาในห้องโถงพร้อมเสวี่ยซือเยี่ย ชั่วขณะที่ เข้ามา นางจึงเห็นฉินหยุน
จนแปรเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจัง “เจ้าหนู นี่เจ้าเป็นอะไรไป? ข้า พี่หลันผู้นี้
เพิ่งชนะสามร้อย ล้านเหรียญผลึกมาเชียวนะ!”
หลันเฟิ งจินยินดีนั่งขณะหัวเราะ ไปด้วย “วางใจได้ เมื่อถึงเวลาที่เจ้า
สังหารโจวจงฮวย ข้าจะมี เงินไปไถ่ตัวเจ้าออกมา”
เสวี่ยซือเยี่ยต่างคาดหวังศึกประลองระหว่างฉินหยุนและโจวจง ฮวย
เช่นกัน นางหาได้หวั่นเกรงแทนฉินหยุนไม่ เพราะหากฉัน หยุนสามารถ
รักษาวิญญาณยุทธ์ของนาง เขาย่อมต้องไม่หวั่น เกรงฝ่ามีอวิญญาณ
สัมบูรณ์ของโจวจงฮวยอย่างแน่นอน “พี่หลัน ต้าโหยวบอกต่อข้า ว่าโจว
จงฮวยมีวิญญาณยุทธ์โทเทม”
หลันเฟิ งจินพอได้ยิน นางพลันถอนรอยยิ้มที่ใบหน้า “ข้าไม่ได้ กลับตําหนัก
ดวงดาววิญญาณสีครามมาพักหนึ่งแล้ว ดังนั้นจึง ไม่ทราบอันใดนัก หาก
เป็นเช่นนี้จริง เจ้าต้องระมัดระวังให้มาก! เขาครอบครองวิญญาณยุทธ์โท
เทม ชัดเจนว่าเชี่ยวชาญวิชา ยุทธ์โทเทมด้วย”
“ข้าระวังแน่ เพียงแต่เป็นกังวลว่าหากสังหารมันทิ้ง จะ กลายเป็นเรื่อง
ใหญ่ขึ้นมา อย่างไรแล้วมันก็เป็นคนที่ ครอบครองวิญญาณยุทธ์โทเทม”
ฉินหยุนถอนหายใจกล่าว “มันอาจกระทั่งส่งผลกระทบต่อท่าน!” หลันเฟิ ง
จินส่ายศีรษะให้ฉินหยุน นางหัวเราะเบารับคํา
“วางใจ ได้ ไปสู้เถอะ ข้า พี่หลันของเจ้า แข็งแกร่งยิ่ง ไม่มีทางโดน ร่างแห
เพราะเรื่องแค่นี้!”

“อาจารย์ตู้! เหตุใดท่านมาที่นี่ขอรับ?” ฉินหยุนเร่งรีบเดินเข้า ไปเชื้อเชิญ
ผู้ก่วยเข้าในห้องโถงหลักของบ้านพัก หลันเฟิ งจินรีบกล่าวคํา “ผู้อาวุโสตู้
ยินดีที่ได้พบ ศิษย์ของท่าน อยู่ที่นี่สบายดี ท่านโปรดวางใจ!”
ตู้ก๋วยยิ้มรับ “ข้าไม่คิดกังวลเรื่องนั้น แต่ก็ต้องกังวลเพราะเจ้า หนูนี่”
ฉินหยุนเม้มริมฝีปาก “อาจารย์ ข้าตกอยู่ในปัญหาหรือขอรับ?”
ตู้ก่วยนั่งลงก่อนถอนหายใจ “เจ้าท้าประลองโจวจงฮวยหรือ ไม่ใช่?”
หลันเฟิ งจินและเสวี่ยซือเยี่ยแลกเปลี่ยนสายตากัน พวกนางไม่ เคยคิด ว่า
ตู้ก๋วยจะมาเพราะเรื่องนี้ พวกนางรู้สึกว่าฉินหยุน สามารถจัดการโจวจง
ฮวยได้ง่ายดาย ดังนั้นจึงไม่เข้าใจว่าเหตุ ใด ตู้ก๋วยจึงกังวลเรื่องนี้ “ใช่
ขอรับ มีอะไรหรือ?”
ฉินหยุนบังเกิดความสับสนขึ้นมา “ข้า อยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่แปด
แล้ว เขาเองก็อยู่ขอบเขต กายวรยุทธ์ระดับที่แปด... อาจารย์ ท่านน่าจะ
ทราบพละกําลังของข้าเป็นอย่างดี มีผู้ฝึกตนระดับเดียวกันน้อยนิดที่
สามารถ จัดการข้าได้!”
ตู้ก๋วยส่ายศีรษะ “หากโจวจงฮวยอยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับ ที่แปด ข้า
ย่อมไม่เป็นกังวล ทว่า เขาอยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ ระดับที่เก้า เป็นข้าได้ยิน
จากสหายเก่า เขาเป็นคนที่อยู่ในลาน ประลอง ข้อมูลจึงรวดเร็ว โจวจง
ฮวยตั้งใจเก็บงําพละกําลัง แท้จริงเอาไว้เป็นอย่างดี” โจวจงฮวย แท้จริง
แล้วเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เก้า!
“ฉินหยุน นี่ยังไม่สายเกินไปหากคิดยกเลิกการท้าประลอง!” ตู้ก่วยกล่าว
“ข้ามาที่นี่ เพราะคิดบอกเรื่องนี้ต่อเจ้า!”
หลันเฟิ งจินเอ่ยถาม “ผู้อาวุโสตู้ ฉินหยุนคิดสู้จริงก็ไม่น่าเป็นไร ต่อให้ไม่
อาจจัดการโจวจงฮวยได้ เขาก็ไม่มีทางเกิดอันใด ผิดพลาดขึ้น!”
“ดูเหมือนเจ้าวางแผนเข้าห้องขังไว้แล้ว!” ตู้ก๋วยพิจารณาจาก ท่าที่ ราวกับ
ฉินหยุนไม่ลังเลคิดเข้าร่วมการประลองยุทธ์ครั้งนี้ แต่อย่างใด เสวี่ยซือเยี่ย
และหลันเฟิ งจินทราบนิสัยของฉินหยุนเป็นอย่างดี เป็นไปไม่ได้ที่ฉินหยุน
จะยอมยกเลิกการท้าประลองตอนนี้ พวก นางยังรู้สึกเช่นกันว่า ต่อให้ฉิน
หยุนทําพลาด เขาก็ไม่มีทางพ่าย แพ้อย่างหมดรูป ตู้ก่วยมองฉินหยุน และ
กล่าวด้วยนํ้าเสียงกังวล
“เจ้าสามารถ ลองดูได้! แต่เจ้าต้องจําเอาไว้ อย่าปล่อยให้วิญญาณยุทธ์
ของ เจ้าบาดเจ็บอีก คู่ต่อสู้มีฝ่ามือวิญญาณสัมบูรณ์ที่น่ากลัวนัก ตอนนี้
เจ้าเองก็ทราบแล้วว่าเขาอยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่ เก้า สมควรเตรียม
ตัวไว้”
“ขอรับ ข้าจะจดจําคําของอาจารย์ไว้” ฉินหยุนพยักหน้ารับ จริงจัง
“อาจารย์ หากข้าใช้เคล็ดวิชารวมจิตวิญญาณสังหาร เพื่อรับศึกกับโจวจง
ฮวย เรื่องนี้เหมาะสมหรือไม่ขอรับ?”
ตู้ก่วยตอบจากใจจริง “ทุกคนต่างรู้ว่าเจ้าเป็นศิษย์ข้า และพลัง จิตของเจ้า
ยังแข็งแกร่งมหาศาล โจวจงฮวยไม่ใช่คนโง่ เขาย่อม ต้องป้องกันแต่
แรกเริ่มแน่ ดังนั้นดีที่สุดคืออย่าได้มั่นใจ จนเกินไปที่จะโจมตีเขาด้วยพลัง
จิต”
“มันไม่ใช่ว่าการโจมตีทางพลังจิตไม่ทรงพลัง แต่โจวจงฮว ยย่อมสวมใส่
อุปกรณ์วิญญาณป้องกันการโจมตีทางจิต เจ้าต้อง เข้าใจว่า ครั้งโจวจง
ฮวยสังหารศิษย์กว่าสิบคนในสํานักอย่างไร้ ซึ่งเหตุผล เขาโดนลงโทษหนัก
หนา ตอนนี้เขาถูกปล่อยตัว ย่อม ต้องมีความลับอะไรซุกซ่อนอยู่แน่”
หลันเฟิ งจินพยักหน้ารับ “หากข้ามีเวลา คงเดินทางกลับ ตําหนักดวงดาว
วิญญาณสีครามเพื่อตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว ข้า เองก็คิดว่าเรื่องนี้ไม่
ธรรมดา”
“การประลองระหว่างฉินหยุนและโจวจงฮวยจะเริ่มในอีกสาม วัน ด้วย
ความเร็วระดับเจ้า น่าจะพอให้ไปกลับรอบหนึ่งได้! เจ้า วางใจ แม้เจ้า
ไม่ได้อยู่ที่นี่ ฉินหยุนก็ไม่เป็นไร” ตู้ก๋วยหัวเราะ
“มีเพียงเจ้าจึงสามารถสืบสาวหาสาเหตุเบื้องหลังการกระทํา ของโจวจง
ฮวยได้”
“โจวจงฮวยจะรับการท้าประลองครั้งนี้ในอีกสามวัน เรื่องนี้ผู้ อาวุโสมั่นใจ
ได้อย่างไรว่าเขาจะตอบรับในวันที่สาม?” หลันเฟิง จินเป็นกังวล ว่ามัน
อาจเริ่มพรุ่งนี้ หรือวันมะรืน หากนางไม่อยู่ ฉินหยุนจะไม่มีทางรอดพ้นจาก
สถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น ตู้ก๋วยยิ้ม
“นั่นก็เพราะข้าได้ข่าว ว่าพวกตาเฒ่าที่ตําหนัก ดวงดาววิญญาณสีคราม
จะมาด้วย พวกเขาตระหนักถึงการ ประลองระหว่างฉินหยุนและโจวจง
ฮวยไม่น้อย หากพวกเขามา ที่นี่ อย่างน้อยก็อีกสองหรือสามวันนั่นแหละ”
ตําหนักดวงดาววิญญาณสีครามค่อนข้างเป็นกังวลกับการ ประลองยุทธ์
ครั้งนี้ ทําเอาหลั่นเฟิ งจินและเสวี่ยซือเยี่ยยิ่งรู้สึก ว่าโจวจงฮวยมาเพื่อ
พิฆาตฉินหยุน
“เอาตามนี้ ข้าจะกลับตําหนักดวงดาววิญญาณสีครามโดย ทันที!”
หลันเฟิ งจินก้าวเดินออกจากบ้านพักทันทีเมื่อกล่าวคํา จบ เป็นนางไปจาก
สถาบันยุทธ์ชิงเสวียนด้วยความเร่งรีบ
“ฉินหยุน ข้าเองก็จะไปแล้ว เตรียมตัวรับเรื่องราวในอีกสอง หรือสามวันให้
ดี” ผู้ก่วยตบไหล่ฉินหยุน จากนั้นจึงเดินออกไป จากสถาบันเทียนเจียว
เสวี่ยซือเยี่ยกล่าว
“ฉินหยุน เป็นไปได้หรือไม่ว่า ตําหนักดวงดาววิญญาณสีครามจงใจปล่อย
โจวจงฮวยออกมากําจัด เจ้า? เป็นไปได้ว่า พวกเขาอาจกังวลที่เจ้าจะโค่น
ล้มเชี่ยวหยาง ลงจากการท้าทายครั้งก่อนหน้า ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มเล็ง
เป้าหมายมาที่เจ้าเสียแต่ตอนนี้?”
“เรื่องนี้ข้าไม่มั่นใจนัก ไว้พี่หลันกลับมาเรื่องราวจะกระจ่าง! ข้า ได้แต่ใช้
เวลาที่มีฝึกฝนเตรียมตัวให้ดีที่สุด ซื้อเยี่ย วิญญาณยุทธ์ ของเจ้าก็ทํานุ
บํารุงมันให้ดี อย่าได้ปล่อยให้วิญญาณยุทธ์ขาด การบํารุงจนบาดเจ็บอีก
ละ” ฉินหยุนกล่าว
“ได้ ข้าเข้าใจแล้ว!” พวกเขาล้วนกลับห้องตัวเอง เริ่มการฝึกฝนเก็บตัว ฉิน
หยุนคุ้นเคยกับวิชายุทธ์ทรงพลังจํานวนมาก ยกตัวอย่าง วิชายุทธ์ระดับ
ลึกลํ้า เคล็ดวิชาคลื่นยักษ์ มังกรหลอมหกกระบวน วิชาวายุสังหาร หมัด
อ่อนเปลวเพลิง และวิชาระเบิด ปราณ หากเขาใช้กําลังภายในซึ่งแข็งแกร่ง
ที่สุด ปลดปล่อยวิชายุทธ์ ออก เขาจะสามารถระเบิดพลังอันรุนแรงออกได้
ในทันที! “หมัดอ่อนอัคคี และก้าวอัคคีเมฆา ทั้งคู่เป็นวิชายุทธ์ระดับสูง เรา
เชี่ยวชาญถึงขั้นสมบูรณ์แล้ว แต่ยังไม่มีหนทางก้าวถึงขั้น สมบูรณ์แบบ
ของสองวิชานี้ หรือจะเป็นว่าสองวิชายุทธ์นี้ไม่มี ขั้นสมบูรณ์แบบคงอยู่
จริง?”


หลังฝึกฝนทรหดกว่าสองวัน ในที่สุดฉินหยุนก็ใช้ขุมพลังภายใน ขั้นสูงที่
เก็บสํารองเอาไว้กับวิชาระเบิดปราณ เป็นผลให้มัน ก้าวหน้าสู่ขั้นสมบูรณ์
แบบ “หากไม่ใช่เพราะเราตั้งเป้าเอาไว้สูง เราจะไม่มีทางคิดเลยว่า จะใช้
ขุมพลังภายในขั้นสูงกับวิชายุทธ์ได้”
ในตอนแรก ฉินหยุนคิดว่าสมควรเป็นเรื่องยากเย็น เขาไม่ได้คิดแต่แรกว่า
จะสําเร็จ ได้ตามที่คาดหวังไว้ กระทั่งว่าเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตวรยุทธ์เต๋า ก็
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะ เชี่ยวชาญวิชายุทธ์ถึงขั้นสมบูรณ์ ส่วนขั้นสมบูรณ์แบบ
ยิ่งไม่ ต้องกล่าวถึง อย่างมาก พวกเขาเพียงผสานพลังภายในกับกําลัง
ภายใน หรือไม่ก็วัชระกําลังภายใน เพื่อทําให้วิชายุทธ์แข็งแกร่งขึ้นเท่า
นั้นเอง ผู้ฝึกตนหลายคนที่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เก้า
ไม่เหมือน อย่างฉินหยุน ผู้ซึ่งสามารถใช้กําลังภายในบริสุทธิ์หรือวัชระ
กําลังภายในเพื่อปลดปล่อยวิชายุทธ์ ส่วนใหญ่พวกเขาเพียงแต่ ใช้กําลัง
ภายในปลดปล่อยวิชายุทธ์กันเท่านั้นเอง หลายผู้คนไม่อาจใช้พลังได้อย่าง
เป็นธรรมชาติ หากพวกเขาฝืน ใช้วัชระกําลังภายใน อาจเป็นการทําร้าย
ตนเอง ด้วยเหตุนี้ ความรู้และเข้าใจในวิชายุทธ์จึงเป็นสิ่งสําคัญ มันจะ ทํา
ให้ผู้ฝึกตนสามารถเข้าใจวิธีการฝึกวิชายุทธ์ได้ดีขึ้น สามารถหลอมรวม
และปรับให้เหมาะกับร่างกาย และวิธีการใช้งานพวก มันออกได้อย่าง
เหมาะสม
นี่เองจึงเป็นเหตุผลว่าทําไมฉินหยุนจึงแข็งแกร่ง เมื่อใช้วิชา ยุทธ์ เขา
สามารถใช้วัชระกําลังภายในปลดปล่อยออก จุดนี้ถือ ว่าเหนือลํ้ากว่า
หลายผู้คน และตอนนี้ ฉินหยุนสามารถใช้ขุมพลังภายในขั้นสูง
หมายความถึงพลังอํานาจจะยิ่งน่าสะพรึง น่าเสียดายที่เขาเพิ่ง ควบแน่น
วัชระแก่นภายใน ขุมพลังภายในขั้นสูงจึงมีอย่าง จํากัด “วิชายุทธ์ขั้น
สมบูรณ์ก็น่าจะเป็นเช่นเดียวกัน มันก็เหมือน ความแตกต่างระหว่างวิธี
ฝึกฝนพลังภายในและพลังจิต เฉินหยุนคิดทดลอง เขารู้สึกว่าตนสามารถ
ใช้ขุมพลังภายในขั้นสูงเพื่อเรียกใช้วิชาวายุสังหารได้ ทว่า ขุมพลังภายใน
ขั้นสูงของเขามีน้อยนิด จึงไม่อาจใช้ได้แม้ หนึ่งกระบวนท่า
วิชาระเบิดปราณถือว่าพิเศษ มันเป็นการควบแน่นพลังภายใน และ
ปลดปล่อยออกเป็นการระเบิด ด้วยการควบแน่นของขุม พลังอันแข็งแกร่ง
มันจึงมีพลังอันแข็งแกร่งตามไปด้วย เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีอันใดผิดพลาด
ฉินหยุนฝึกฝนอยู่หลาย ครั้ง ด้วยการรวบรวมพลังภายในสู่แขนราชสีห์
สวรรค์ จนกระทั่งเขารู้สึกสามารถใช้พวกมันออกได้โดยทันที นั่นจึง เป็น
สภาพเหมาะสมแก่การใช้วิชาระเบิดปราณ แขนราชสีห์สวรรค์ ได้รับการ
หล่อเลี้ยงโดยโลหิตราชสีห์สวรรค์ มันมีความทนทานเป็นอย่างยิ่ง มัน
สามารถทานทนต่อพลังการ ระเบิดของพลังภายในได้โดยไม่ส่งผลกระทบ
ต่อร่างกาย
หากฉินหยุนไม่มีแขนราชสีห์สวรรค์ เขาจะไม่กล้าใช้ขุมพลัง ภายในขั้นสูง
เพื่อปลดปล่อยการระเบิดออก มันจะกลายเป็นเขา ทําลายแขนตนเอง
สามวันผ่านพ้น ช่วงเช้าของวันนี้ การประลองระหว่างฉินหยุนและโจวจง
ฮวย จะเริ่มต้นขึ้น
ตั๋วเข้าชมสนามประลองราคาพุ่งทะยานฟ้า พวกมันถูกขาย ออกถึงใบละ
สองหมื่นเหรียญผลึก! สนามประลองคับคั่ง เป็นวันนี้ทางสนามประลอง
ได้รับเงินค่า เข้าชมอย่างทะลุเพดาน เสวี่ยซือเยี่ยไม่ได้อยู่ในบ้าน นางเร่ง
รีบออกไปซื้อตั๋วเข้าชมก่อน แล้ว นางต้องการซื้อสองใบเพื่อให้หลันเฟิงจิ
นด้วย หลังฉินหยุนลุกจากเตียง เขามีท่าทีสงบ เดินไปชําระล้าง ใบหน้า
สวมใส่ชุดหนังสีนํ้าตาล มันเป็นอุปกรณ์ผังธาตุแสง ขณะเดินมุ่งหน้าไป
สนามประลอง เขายังเป็นกังวลภายในใจ เพราะจนถึงวันนี้ หลันเฟิงจินยัง
ไม่กลับมา
ตอนที่ 248 โจวจงฮวย
หลันเฟิ งจินเร่งรีบเดินทางกลับตําหนักดวงดาววิญญาณสีคราม ก็เพราะ
สืบสาวเรื่องราว ว่าเหตุใดโจวจงฮวยจึงถูกปล่อยตัว จากข้อมูลที่ฉินหยุน
และคณะมี โจวจงฮวยมาก็เพราะเขา ทว่า เบื้องหลังโจวจงฮวย กลับมี
ความมืดคงอยู่!
“ตําหนักดวงดาววิญญาณสีคราม ช่างเป็นสถานที่ลึกลับ แท้จริง” ยิ่งฉิน
หยุนคิดเพียงใด เขาก็ยิ่งพบว่ามันแปลกมากขึ้น เท่านั้น
ประตูจารึก ไม่ต้องสงสัยว่านั่นคือรากฐานของตําหนักดวงดาว วิญญาณสี
คราม หลายปีมาแล้ว ไม่มีผู้ใดสามารถผ่านการ ทดสอบของประตูจารึก
ชัดเจนว่าเบื้องหลังต้องมีความลับซ่อน
“ผู้ก่อตั้งตําหนักดวงดาววิญญาณสีคราม ราชันยุทธ์หลันเซียว จะต้องมี
ความเชื่อมโยงถึงหลุมฝังเซียน! บางทีความลับนั้นอาจ ซุกซ่อนเอาไว้ใน
ประตูจารึก”
ขณะฉินหยุนก้าวเดิน เขาไม่ได้คิดถึงการแข่งขันในวันนี้เลยแม้ สักนิด
กลับเป็นเขา ครุ่นคิดถึงหลายเรื่องที่ต้องการทราบ ยกตัวอย่าง สถาบัน
ยุทธ์ชิงเสวียนแห่งนี้ก็มีความลับอยู่ไม่น้อย เป็นเขารู้สึกเลือนราง ว่า
ความลับทั้งหมดมีความข้องเกี่ยวถึง กัน
ในสนามประลอง ฝูงชนส่งเสียงร้องดังกันไม่หยุด นับเป็นวันที่มี ชีวิตชีวา
ยิ่ง อาจารย์หลายท่าน รวมถึงผู้อยู่ขอบเขตวรยุทธ์เต ล้วนมา รับชมเรื่อง
สนุกกันทั้งสิ้น ด้วยการประลองระหว่างฉินหยุนจะโจวจงฮวยจะจัดขึ้น
ในช่วง บ่าย ตอนนี้เพียงเช้าตรู่เท่านั้น พวกเขาจําเป็นต้องรอกันสี่ถึง หก
ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย
พอฉินหยุนเข้าสู่สนามประลอง เขาสัมผัสได้ถึงออร่าทรงพลัง มากมาย
เหล่านี้จํานวนหนึ่งเป็นคนของตําหนักดวงดาว วิญญาณสีคราม เป็นดังที่
ตู้ก๋วยว่า ยอดฝีมือหลายคนของ ตําหนักดวงดาววิญญาณสีครามต่างมา
ที่นี่ ขณะก้าวเดินผ่านเส้นทางมุ่งหน้าสู่สนามประลอง ฉินหยุนจึง เห็นห
ลันเฟิ งจิน
“พี่หลัน ในที่สุดก็กลับมา!” ฉินหยุนยิ้มกล่าว ตอนนี้เขาค่อย วางใจได้แล้ว
“ว่าอะไร? เจ้าคิดว่าข้าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้นที่ตําหนักดวงดาว วิญญาณสี
ครามหรือ?”
หลันเฟิ งจินยิ้ม จากนั้นสีหน้า แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด นางกล่าว “ฉิน
หยุน ข้าได้ยินเรื่อง ใหญ่ตอนเดินทางกลับ” “เกี่ยวข้องกับโจวจงฮวยหรือ
ขอรับ?”
ฉินหยุนเอ่ยถามก่อนจะ หันมองรอบด้าน ตรงนี้มีคนอยู่จํานวนมาก ไม่
ค่อยสะดวกให้ พูดกล่าว
หลันเฟิ งจินพยักหน้ารับ นําฉินหยุนสู่โถงสนามประลองและ หยิบยืมห้อง
ส่วนตัว ภายในห้อง สีหน้าหลันเฟิ งจินยิ่งเคร่งเครียด ก่อนหน้า นางยัง ไม่
กังวลใดถึงการประลองระหว่างฉินหยุนและโจวจงฮวย เพราะหากฉินหยุน
ไม่อาจจัดการอีกฝ่าย เขาก็ยังมีทางให้ถอย แต่ตอนนี้ นางไม่คล้ายคิด
เช่นนั้น “ฉินหยุน วิญญาณยุทธ์ของโจวจงฮวย เป็นวิญญาณยุทธ์โทเทม
จริง มันตื่นรู้ขึ้นมาทีละน้อยหลังเขาถูกกักขังในคุกใต้ดิน”
หลันเฟิ งจินคิ้วขมวดเผยดวงตาเป็นกังวล “เหตุใดเจ้าไม่ยกเลิก การ
ประลองครั้งนี้เสียเล่า?” ฉินหยุนยิ้มรับ
“พี่หลัน ข้าเองก็มีวิญญาณยุทธ์โทเทม และ วิญญาณยุทธ์โทเทมของข้า
จะไม่พ่ายต่อเขา!”
หลันเฟิ งจินถอนหายใจ “แต่เจ้าต้องรู้เรื่องนี้ ในตอนนี้ ตําหนัก ดวงดาว
วิญญาณสีครามให้ความสนใจโจวจงฮวยเป็นอย่างยิ่ง เหตุผลที่ปล่อย
โจวจงฮวยออกมาก็เพื่อให้ท้าทายเจ้า! ศิษย์ของ ตําหนักดวงดาววิญญาณ
สีครามจํานวนมาก ต่างต้องทุกข์ยาก ด้วยมือเจ้า หากพวกเขาไม่มีความ
มั่นใจ พวกเขาไม่มีทาง ปล่อยโจวจงฮวยออกมาแน่!”
“เหตุผลที่ส่งโจวจงฮวยออกมา ก็เพื่อท้าทายเจ้า แต่ไม่ใช่เพียง ล้างแค้น
เจ้าอย่างเดียว แต่มัน... พวกมันต้องการให้โจวจงฮว ยกลืนกินโทเทมของ
เจ้า!”
ฉินหยุนตระหนก ตัวเขายังเกิดความคิด คิดอยากแยกเอา วิญญาณยุทธ์
โทเทมของโจวจงฮวยออกมา เป็นเขาไม่คาดคิด ว่าผู้อื่นจะครอบครอง
ฝีมือลึกลํ้าเพียงนี้ด้วย
“กลืนกินหรือ? กลืนกินได้อย่างไร? ข้าเพียงแค่ต้องระวังมาก ขึ้น!” ฉินหยุน
หาได้ใส่ใจไม่
“เรื่องนี้ไม่อาจต่อต้าน ตําราโบราณหลายเล่มเกี่ยวข้องกับโท เทม กล่าวว่า
หากสองผู้ครอบครองวิญญาณยุทธ์โทเทมต่อสู้ โท เทมที่พ่ายแพ้ จะออก
จากร่างของเจ้าของ และเข้าสู่ร่างของผู้ ได้รับชัยชนะ” หลันเฟิ งจินสาย
ศีรษะ
“เรื่องนี้ไม่ง่ายดังเจ้าคิด! เขามีวิญญาณ ยุทธ์โทเทม แต่เจ้าไม่มี กระทั่งว่า
เจ้าชนะ เจ้าก็ไม่มีทางได้รับรอยสักโทเทมจากเขา แต่หากเจ้าแพ้ โทเทม
ราชสีห์สวรรค์ที่ เจ้าภูมิใจจะถูกชิงเอาไป”
ฉินหยุนไม่ทราบเรื่องนี้ เขา ผู้ซึ่งนั่งเก้าอี้ พลันลุกพรวดยืนขึ้น เดินไปมาใน
ห้อง สีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง “ในเมื่อพวกมันมาที่นี่เพราะเหตุนี้ จะมีการ
โกงหรือไม่? เป็นข้า กังวลเรื่องนั้นมากกว่า!”
ฉินหยุนกล่าว “หากพวกมันมาด้วย เจตนาไม่ดี ข้าย่อมไม่อาจจัดการพวก
มันได้โดยง่าย!”
หลันเฟิ งจินตอบกลับ “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องห่วง ผู้อาวุโส อาจารย์ และผู้
อาวุโสอีกหลายท่านของสถาบันยุทธ์ชิงเสวียน ล้วนอยู่ข้างเจ้า หากโจวจง
ฮวยคดโกง เขาย่อมไม่อาจทําสําเร็จ ทว่า ข้ายังแนะนําให้เจ้าล้มเลิกการ
ต่อสู้กับโจวจงฮวยออกไป ก่อน ตําหนักดวงดาววิญญาณสีครามตอนนี้
กระหายอย่างยิ่งที่ จะเห็นโจวจงฮวยดูดกลืนโทเทมเจ้าไป”
ฉินหยุนหัวเราะภายใน เพราะเป็นเขากระหายได้รับวิญญาณ ยุทธ์โทเทม
ของโจวจงฮวยมากกว่า มันจะช่วยส่งเสริมเขาครั้ง ใหญ่เลยทีเดียว
“พี่หลัน ขอบคุณท่านที่ช่วยสืบสาวเรื่องนี้ ข้าจะต้องชนะ! ถึง ตอนนั้น จะ
กลายเป็นข้าต้องให้ท่านนําหลายร้อยล้านเหรียญ ผลึกเพื่อไถ่ตัวข้าแล้ว”
ฉินหยุนยิ้มกล่าว หลันเฟิ งจินพอได้เห็นฉินหยุนยังมีสีหน้าผ่อนคลาย นาง
ยิ่ง สับสน นางคิดว่าฉินหยุนสมควรกลายเป็นหวาดกลัวเพราะ เรื่องพวกนี้
เสียอีก “เจ้าหนูนี่ ได้เห็นเจ้าอวดดีเพียงนี้ เจ้ามั่นใจหรือว่าชนะได้?”
ฉินหยุนยิ้ม “พวกเราไม่ได้ไปตําหนักจารึกเทวะโดยเปล่า เม็ด ยาวิญญาณ
รวมพลังงาน ช่วยส่งเสริมข้าไม่ใช่น้อย ฮี่ ท่าน รอดูจะดีกว่า!”
หลันเฟิ งจินไม่กล่าวอันใด นางพลันรู้สึกว่าฉินหยุนมีพละกําลัง เก็บซ่อน
เอาไว้ไม่ใช่น้อย เพราะเหตุนี้เขาจึงมีความมั่นใจ ฉินหยุนรอคอยในห้อง ให้
นัดประลองเริ่มขึ้น ขณะที่หลันเฟิง จินไปส่วนที่นั่งคนดูแล้ว ช่วงบ่าย ฉิน
หยุนได้ยินเสียงชายชราตะโกนจากสนามประลอง เป็นเสียงเรียกเขา
และโจวจงฮวยให้ขึ้นสู่ลานประลอง
ฉินหยุนก้าวเดินออกจากห้องพัก เข้าสู่ทางเดินมุ่งหน้าไปยัง ด้านในสนาม
ประลอง หลังเดินออกสู่ที่กว้าง เขาจึงได้เห็นที่นั่ง ผู้ชมในสนามประลอง
หลายต่อหลายคนที่สวมใส่ชุดหรูหรา ล้วนครอบครองออร่าทรงพลัง ขณะ
เดินขึ้นลานประลอง เขามองแถวหน้าของที่นั่งคนดู หลาย ใบหน้าต่าง
คุ้นเคย ส่วนใหญ่มาจากตําหนักดวงดาววิญญาณสี คราม กระทั่งเชี่ยวห
ยางหลงก็มา
“อาจารย์หยางก็มา แต่เย่ว์หลานไม่” ฉินหยุนรู้สึกว่าน่า เสียดาย หากเชี่ยว
เย่ว์หลานมา เขาคิดอยากทดลองสิ่งที่ค้างคา เป็นเขาต้องการทราบว่า
สามารถติดต่อเซี่ยฉีโหรวได้หรือไม่
พอจ้าวฉวนรับรู้ข่าวคราวนี้ เขาเร่งรีบมาโดยทันที มีเพียงเขา และหลันเพิ่ง
จินที่ทราบ ว่าฉินหยุนเป็นอาจารย์จารึกระดับสูง เขาถือเป็นตัวตนที่
ทรงคุณค่า เป็นเขาไม่ปรารถนาได้เห็นฉัน หยุนถูกทําลายที่นี่ โจวจงฮวยก็
ปรากฏกายแล้ว!
บรรดาศิษย์ทั้งหมดของตําหนักดวงดาววิญญาณสีครามในที่นั่ง คนดู
ฉับพลันระเบิดเสียงคําราม เป็นการเสริมความองอาจ ให้แก่โจวจงฮวย
โจวจงฮวยเป็นชายร่างเตี้ย ผิวหนังขาวซีดจนน่ากลัว ใบหน้า นั้นผอมบาง
และเย็นชา แสงชวนขนลุกปรากฏในดวงตา จิต สังหารคุกคามรุนแรง เป็น
ผลให้หลายคนที่นี่รู้สึกไม่ใคร่สบายนัก
แม้เขาสวมใส่ชุดเข้ารูปหรูหราสีนํ้าเงิน แต่ก็ยังให้ความรู้สึกถึง สัตว์ดุร้าย
ในคราบมนุษย์
กระทั่งฉินหยุน ผู้ผ่านร้อนหนาวมามาก ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึก เย็นเยือกใน
หัวใจยามได้เห็นบุคคลตรงหน้า เป็นเขารู้สึกถึง ร่องรอยความหวาดกลัว
โดยเฉพาะเมื่อผู้อื่นจ้องมองที่เขาด้วยดวงตาเย็นชาและดุร้ายคู่ นั้น หัวใจ
ของเขายิ่งเต้นรัว ราวกับมันกําลังจะถูกกลืนกินทั้ง เป็น
“ชายคนนี้อันตรายนัก ไม่หลงเหลือความเป็นคนแล้ว!” ฉินหยุนพลันเข้าใจ
ว่าเหตุใดหลันเฟิ งจนอยากให้เขายกเลิกการ ประลองนัดนี้ มันเป็น
เพราะโจวจงฮวยน่าสะพรึงอย่างที่ไม่ใช่ มนุษย์ อย่างกะทันหัน ฉินหยุนนึก
ย้อนถึงสิ่งที่ชายชราในตําหนัก ดวงดาววิญญาณสีครามกล่าว หากคนผู้
หนึ่งครอบครองโทเทม และโทเทมไม่มีวิญญาณ เช่นนั้นพวกเขาจะถูกโท
เทมกลืนกิน ไปทีละน้อย แปรเปลี่ยนให้กลายเป็นคนคลั่ง และกระหาย
เลือด อย่างไร้สติ เป็นเขาสงสัยว่า โจวจงฮวยที่เห็นตรงหน้า คือผู้ที่โดนโท
เทมไร้ วิญญาณควบคุม ตอนนี้วิญญาณโทเทมตื่นขึ้น เขาจึงกลับเป็น
ปกติอย่างฉิวเฉียด แต่ความโหดเหี้ยมที่หลงเหลือแต่เดิม มัน สามารถ
ปะทุออกได้ทุกเมื่อ
“ตําหนักดวงดาววิญญาณสีครามคิดต้องการโทเทมของเรา ขนาดที่ปล่อย
คนโหดเหี้ยมเช่นนี้ออกมาต่อสู้? ช่างเป็นกลุ่มคน บ้าไร้สติยิ่งนัก!”
ฉินหยุนอุ่นเคืองขณะมองที่ในดวงตาของ โจวจงฮวย เขารู้สึกอย่างชัดเจน
ว่าโจวจงฮวยตรงหน้าตนผู้นี้อันตราย อย่างยิ่ง เขากลายเป็นมนุษย์ผู้ชั่ว
ร้าย โหดเหี้ยมยิ่งกว่าสัตว์ อสูร ด้วยคนที่ชั่วร้ายแต่เดิมทว่าโหดเหี้ยมมาก
ขึ้น มันยิ่งน่าสะพรึงมากขึ้น
“ฉินหยุน หลังพวกเราประมือกันแล้ว ชื่อเสียงและเกียรติยศ ของเจ้า จะถูก
ส่งต่อมายังข้า เชี่ยวเย่ว์หลานก็จะตกเป็นของข้า เช่นเดียวกัน” มุมปาก
ของโจวจงฮวยยกยิ้มชั่วช้า ดวงตานั้น เผยแสงชวนสะพรึงดุดันออกมา
“ชื่อเสียงและเกียรติยศของข้าหรือ? ข้าหาได้เคยใส่ใจเรื่องพวก นั้นไม่ แต่
เป็นเจ้าที่ใส่ใจ ก่อนหน้านี้เป็นข้าประเมินเจ้าสูง เกินไป! ตอนนี้ ส่วนที่น่า
ภาคภูมิที่สุดของข้าคือวิถีจารึกแห่งเต๋า เจ้าไม่เคยได้ก้าวสู่วิถีแห่งเต๋านี้
และจะไม่มีวันได้ก้าวเข้ามา” ผู้อื่นพยายามยั่วยุเขา เป็นเขาเลือกยั่วยุตอบ
กลับไม่ยิ่งหย่อน กว่ากัน
โจวจงฮวยเผยสีหน้าดํามีดจ้องมองเช่นเดิม เป็นการยากบอก ว่าเขาโกรธ
หรือไม่ ฉับพลัน เขานําเอานิ้วออกมาจากอุปกรณ์ วิญญาณมิติเก็บของ
เป็นนิ้วโชกเลือด ฉินหยุนขมวดคิ้ว ราวกับรู้สึกว่านี่คุ้นเคย เป็นของฮั่วจง!
ถึงตอนนี้เอง โทสะเกินใดเปรียบของเขาทะลักในหัวใจ ราวกับ ภูเขาไฟที่
ใกล้ปะทุ!
“นี่เป็นของฮั่วจง ไอ้หน้าโง่ตัวยักษ์นั่น! ข้าไม่เข้าใจเอาเสียเลย เหตุใดคน
เช่นมันเข้าตําหนักสัตว์ยุทธ์ได้ ช่างเสื่อมเสียนัก” โจวจงฮวยเผยรอยยิ้มชั่ว
ช้าที่ใบหน้า
“ส่วนแม่เด็กน้อยเสวี่ย นั่น ถือว่าไม่เลว แต่ก็โดนข้าทําบาดเจ็บไปไม่ใช่
น้อย ชีวิตของ นางถือว่าจบสิ้นแล้วกระมัง”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” พอโจวจงฮวยได้เห็นสีหน้าดํามืดของฉินหยุน เขายิ้มออก
ภาคภูมิ “โอ้ใช่แล้ว เหตุผลที่ข้ามาสนามประลองแห่งนี้ก็เพราะ เจ้าดังนั้น
ข้าจึงทําร้ายสหายของเจ้า เป็นผลให้สหายของเจ้าบาดเจ็บหนัก กระทั่ง
ทําลายวิญญาณยุทธ์หญิงงามผู้นั้นไป ด้วย!”
เสียงหัวเราะชั่วช้ายังคงดัง ขณะส่ายนิ้วมือของฮั่วจงไปมา! “อย่าได้ห่วง
หลังข้าจัดการเจ้า เชี่ยวเย่ว์หลานจะได้ข้าดูแล อย่างดี ข้าคิดอยาก
ปลดปล่อยความดุร้ายที่มีใส่นางสารเลวผู้ นั้นที่บังอาจมองเหยียดข้า! ฉิน
หยุน วันนี้เจ้าต้องตายอย่างน่า สังเวช น่าเสียดายนักที่นางสารเลวเชี่ยว
เย่ว์หลานไม่มา มันจึง ไม่ได้เห็นสภาพน่าสังเวชเจ้า น่าเสียดาย!”
ฉินหยุนกําหมัดแน่น มันแทบแปรเปลี่ยนเป็นเขียวคลํ้า ขณะกัดฟัน
กล้ามเนื้อที่ใบหน้าของเขากระตุก โจวจงฮวยตรง หน้าเขาผู้นี้ เป็นบุคคลที
ไม่ต่างอะไรกับมารร้าย ผู้อาวุโสตําหนักดวงดาววิญญาณสีครามยิ้มกว้าง
ขณะลูบ หนวดเครา เขากล่าวขึ้น
“อาฮวยผู้นี้ช่างดุดันดีเสียจริง จง ทราบว่าเขาก้าวสู่ขอบเขตกายวรยุทธ์
ระดับที่เก้าได้เพราะ ตําหนักทิศใต้ของเรา!”
ผู้อาวุโสด้านหลังหัวเราะดังขึ้น “หากเขาจัดการฉินหยุน มี โอกาสสูงที่จะ
ได้ก้าวสู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋า ผู้ฝึกตนหนุ่มเช่นนี้ ถือว่าหาได้ยากนัก
แม้กระทั่งในตําหนักดวงดาววิญญาณสี ครามของพวกเราก็ตาม”
“กล่าวได้ถูกต้อง! พวกเราไม่โง่งมเหมือนพวกตําหนัก ตะวันออก พวกมัน
ล้วนส่งเมล็ดพันธุ์ที่เลิศลํ้าสู่ตําหนักศักดิ์สิทธิ์ หันดูทางตําหนักตะวันออก
พวกมันถือว่าอ่อนแอนัก” ผู้อาวุโส กล่าวหัวเราะ
“ฉินหยุนวันนี้ไม่น่ารอดแล้ว กระทั่งจ้าวตําหนัก ทิศใต้ของพวกเรา ยัง
คาดหวังต่ออาฮวยไว้สูงลํ้า ถึงขั้นสอนสั่ง ด้วยตนเองอยู่สองเดือนเลย
ทีเดียว” เมื่อโจวจงฮวยจัดการฉินหยุนได้ เขาจะเป็นผู้ที่มีรอยสักสองโท
เทม เป็นสิ่งที่กระทั่งแดนยุทธ์อ้างว้างก็หาได้ยากยิ่ง!
ตอนที่ 249 ขุมพลังภายในขั้นสูง
ฉินหยุนมีโทสะ ทุกคนต่างเห็นเด่นชัด ถึงตอนนี้ คนหนึ่งพลันตะโกนขึ้น
“ดูที่ร่างโจวจงฮวย มีหมอก แสงสีขาวปลดปล่อยออกมา นั่นคือขุมพลัง
ภายในขั้นสูง! มี เพียงผู้อยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เก้า จึงสามารถ
ปลดปล่อยพลังภายในเช่นนี้ได้!”
“โจวจงฮวยอยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เก้าหรือนี่ แย่แล้วสิ ฉินหยุนได้
แพ้แน่!”
“ฉินหยุนไม่สามารถใช้อาวุธ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะจัดการโจวจง ฮวยได้
ความแตกต่างทางพละกําลังมากเกินไป”

ไม่มีความคิดเห็น :

แสดงความคิดเห็น