วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2563

1500-1600

วันนี้ สนามประลองจะปิดทําการแล้ว ศึกสุดท้ายคือสิ่งที่ฝัง แน่นในใจของ
หลายคนอย่างไม่อาจลืม ระหว่างทาง พวกเขา ยังคงสนทนาถึงเรื่องนี้กัน
อย่างต่อเนื่อง เฉินหยุนกลับบ้านพักริมธารนํ้าของสถาบันเทียนเจียว เขา
ยืนรอที่หน้าประตูให้หลันเฟิ งจินกลับมา
ไม่นานนัก เขาจึงได้เห็นร่างสูงสีนํ้าเงินจากระยะไกล เป็นห ลันเฟิ งจิน นาง
สวมใส่ชุดรัดรูปสีนํ้าเงิน และกําลังเข้ามาใกล้ ด้วยความรวดเร็วยิ่ง
“สองล้านแต้มเสวียนที่ได้มาวันนี้ ถือว่าไม่เลว!” หลันเฟิ งจินยิ้มกล่าว ก่อน
จะกลับเข้าบ้านพักพร้อมฉินหยุนเพื่อพักผ่อน ฉินหยุนนั่งลง ดื่มนํ้าชาที่ห
ลันเฟิ งจินรินให้ หลันเฟิ งจินเอ่ยคําเสียงเบา
“ตอนจบออกจะแปลกไปบ้าง เจ้า หมอนั่นเหวี่ยงขวานช้าผิดปกติ นี่เป็น
เจ้าทําอะไรลงไปหรือ เปล่า?” ฉินหยุนดื่มชาเสร็จ จึงยิ้มกว้างให้เห็น
ตอนนี้ ศิษย์ทั่วทั้งสถาบันยุทธ์ชิงเสวียนล้วนทราบ ว่าฉินหยุน ลงทะเบียน
เป็นนักสู้ ทั้งยังชนะสะสมแล้วถึงสองครั้ง
ในสนาม ประลอง ทั้งยังเป็นนักสู้ระดับกลางเป็นที่เรียบร้อย เรื่องนี้ทํา เอา
ศิษย์ของสถาบันหลายคนให้ความสนใจ พวกเขาเร่งรีบมา แต่เช้าซื้อตั๋ว
ผู้ชม สนามประลอง ไม่ช้าจึงเปี่ยมด้วยผู้คน ค่าตั๋วเข้าชมวันนี้ถือว่า สูง
เป็นประวัติการณ์ก็ว่าได้ หลายคนเข้ามาในสนามประลองรออยู่นาน เกิด
ความกังวลว่า ฉินหยุนวันนี้จะไม่โผล่มา แต่ไม่ช้า พวกเขาก็ได้ทราบ ว่าฉัน
หยุนปรากฏตัวขึ้นแล้ว และกําลังรอจัดหาคู่ประลองอยู
ตอนที่ 243 หนึ่งสู้สำม
ฉินหยุนรอคอยในแถวที่ห้องโถงของสนามประลองเพื่อจ่าย เหรียญผลึก
เขาจําเป็นต้องจ่ายหนึ่งแสนเหรียญผลึกสําหรับหา คู่แข่งขันที่จัดแจงโดย
เจ้าหน้าที่สนามประลอง สนามประลองคราวนี้กําลังจะได้รับเหรียญผลึก
จํานวน มหาศาล นักสู้หลายคนรู้สึกไม่ยินดี แต่พวกเขาก็ได้แต่ครวญ
ครางภายในใจ ในห้องโถง นักสู้หลายคนมองที่ฉินหยุน ขณะเริ่มกระซิบ
กระซาบกันเองด้วยความประหลาดใจ เมื่อวานตอนเย็น ศึกทั้งสองรอบ
ของฉินหยุนชวนผู้คนตื่นตะลึง รอบแรก เขาจัดการคู่ต่อสู้ได้อย่างรวดเร็ว
รอบที่สอง เกิดความขัดแย้งรุนแรงขึ้น ท้ายที่สุด ฉินหยุน สังหารคู่ต่อสู้
จนถึงขนาดที่เศษร่างกายก็ไม่เหลือ และวันนี้ หลายคนกําลังคาดหวัง ว่า
ฉินหยุนจะได้รับชัยชนะ อย่างไร! ในที่สุดก็ถึงคราวฉินหยุนแล้ว
“ผู้อาวุโส ข้ามาอีกแล้ว” ฉินหยุนยิ้มให้อีกฝ่าย
“ต้องขอบคุณเจ้า ตั๋วเข้าชมวันนี้ขายได้ดีมากเลยทีเดียว” ผู้ อาวุโสหัวเราะ
ตอบ ฉินหยุนเองก็หัวเราะ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็อย่าได้รับเหรียญผลึก จากข้าเพื่อจัดคู่ต่อสู้ดีหรือไม่?”
ชายชราส่ายศีรษะ
“เรื่องนี้ไม่ได้ ข้าไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ เจ้ายังคง ต้องจ่ายเหรียญผลึกอยู่ดี”
“งกยิ่งนัก!” ฉินหยุนบนขณะนําเอาบัตรผลึกออกมา ถึงตอนนี้ เอง เขา
พลันนึกอะไรขึ้นได้
ผู้อาวุโสพบว่าฉินหยุนคล้ายคิดอันใด จึงยิ้มและเอ่ยถาม “เป็น อะไรแล้ว?
ตื่นสนามประลอง? เมื่อวานเจ้าก็ทําได้ดีนี่ น่าจะ ภาคภูมิในใจตัวเองเสีย
มากกว่ากระมัง? หรือเจ้ากลัวต้องเผชิญ กับคนที่จะตอแยเจ้าอย่างเมื่อ
วานอีก?”
“ผู้อาวุโส ข้าสามารถท้าทายหลายคนได้หรือไม่ขอรับ?” ฉิน หยุนเอ่ยถาม
“ด้วยสามล้านแต้มเสวียนที่ข้าม ข้าสามารถท้า ทายสามคนในคราวเดียว
ได้หรือไม่?” พอชายชราได้ยินดังนี้ ร่างกายเขาพลันชะงักงัน อีกฝ่ายถึงขั้น
เสนอหนึ่งสู้สาม!
“เมื่อครู่เจ้าว่าอะไรนะ? เหมือนหูข้าไม่ค่อยดี?” ชายชราคล้าย ไม่เชื่อจึง
เอ่ยถามอีกครั้งหนึ่ง
“ท่านได้ยินไม่ผิด ข้าอยากสู้หนึ่งต่อสาม! ด้วยวิธีการนี้ ข้าจะ ยิ่งได้รับแต้ม
เสวียนรวดเร็วมากขึ้น” ฉินหยุนยิ้ม
“เช่นกัน ข้า จะจ่ายให้ท่านสามแสนเหรียญผลึก ไม่ใช่ว่าที่นี่ก็มีศึกเป็น
กลุ่ม คนอะไรทํานองนี้หรอกหรือ? ข้าจะท้าประลองกลุ่มนักสู้สามคน ไม่
น่ามีปัญหาใช่หรือไม่ขอรับ?”
ชายชราสูดลมหายใจเข้าลึก “แน่นอนว่าทําได้ แต่.. แต่เจ้าจะ ชนะได้จริง
หรือ? นี่คือหนึ่งสู้สามเลยนะ! นอกจากนี้ เจ้ายังเป็น ศิษย์ของสถาบันยุทธ์
ชิงเสวียน เมื่อเจ้าเคลื่อนไหว จําเป็นต้อง ยั้งมือ ไม่อาจใช้อาวุธในการต่อสู้
พิจารณาแล้วข้าไม่คิดว่าเจ้า จะสามารถชนะได้เลย”
“ผู้อาวุโส ท่านไม่ใช่ผู้ที่ขึ้นลานประลอง ท่านกังวลอะไรกัน?” ฉินหยุนหาได้
ใส่ใจไม่ ในตอนนี้ ระดับการฝึกฝนของเขา เทียบเท่าขอบเขตกายวรยุทธ์
ระดับที่เก้า กระทั่งว่าคู่ต่อสู้ของ เขาเป็นขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เก้า ก็
ไม่ใช่แน่นอนเสมอไป ที่อีกฝ่ายจะเอาชนะเขาได้ ด้วยเหตุนี้ เขาจึงรู้สึกว่า
หากเผชิญหน้านักสู้ระดับกลาง จํานวนสามคนที่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับ
ที่แปด ไม่น่าจะมี ปัญหาอะไร เป็นเขามั่นใจในพละกําลังตนเอง เขาคิด
อยากใช้ โอกาสนี้ได้ทดลอง ว่าแก่นภายในตะวันทมิฬแข็งแกร่งเพียงใด
“ในเมื่อเจ้ามั่นใจ ข้าก็ไม่คิดกล่าวอื่นใดอีก ข้าจะช่วยเจ้าหาคู่ ต่อสู้ให้แล้ว
กัน” ผู้อาวุโสรับบัตรผลึกจากฉินหยุน เก็บค่าทํา รายการสามแสนเหรียญ
ผลึก จากนั้นจึงเริ่มหาคู่ต่อสู้ให้แก่เขา ไม่นานหลังจากนั้น ผู้อาวุโสจึงยิ้ม
ให้
“ข้าช่วยจัดแจงหาสาม คนที่อยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่แปดแบบทั่วไป
ให้แล้ว เหล่านั้นเป็นศิษย์ของตําหนักดวงดาววิญญาณสีคราม มาจาก
ตําหนักตะวันออก!”
“ศิษย์ของตําหนักตะวันออกก็น่าจะดี” ฉินหยุนเอ่ย
“ศิษย์ ตําหนักตะวันออกเหล่านี้มีพลังทั่วไปแน่หรือขอรับ? ท่านหาได้
หลอกข้าใช่หรือไม่?”
“นี่เจ้าไม่รู้หรือ? พละกําลังของศิษย์จากตําหนักตะวันออกน่ะ ถือว่าทั่วไป
แล้ว โดยเฉพาะพวกที่มาที่นี่เพื่อล่าแต้มเสวียน” ชายชราหัวเราะ ฉินหยุน
ยังไม่เชื่อ
“โจวจงฮวยแข็งแกร่งขนาดนั้น เขาถูกจัดว่า ทั่วไปด้วยหรือไม่?”
“โจวจงฮวยถือเป็นกรณีพิเศษ เพราะเขาเพิ่งออกจากคุก จึงไม่ มีเรื่องดีที่
ตําหนักดวงดาววิญญาณสีครามสักเท่าใด ดังนั้นแล้ว จึงได้แต่มาที่นี่เพื่อ
ล่าแต้มเสวียน” ชายชราหัวเราะให้
“วางใจ เถอะ การตัดสินของข้าถือว่าแม่นยําแล้ว ในช่วงบ่าย เจ้ากขึ้น ไป
บนลานประลองได้เลย” ฉินหยุนรับบัตรผลึกคืน จากนั้นเดินออกจากโถง
เข้าสนาม ประลองไป เป็นเขาเดินขึ้นมาชั้นบนสุดของที่นั่งผู้ชม สายตา
กําลังมองหาพวกหลันเฟิ งจิน การแข่งขันวันนี้ดุเดือด หลายคนต่างเพ่ง
สมาธิไปยังลาน ประลองด้านล่าง
ดังนั้นพวกเขาจึงไม่พบเห็นฉินหยุน ที่สวมใส่ หมวกอําพรางตัวตน
หลันเฟิ งจินและเสวี่ยซือเยี่ย กําลังแนบเนียนรับชมการประลอง ยุทธ์อยู่
กระทั่งฉินหยุนเข้ามาใกล้ทั้งสองยังไม่รู้ตัวเลยด้วยซํ้า ฉินหยุนตัดสินใจ
สัมผัสไหล่ของหลันเฟิ งจินบางเบา แต่แล้ว นางกลับคว้าข้อมือเขาไว้แน่น
“ข้าเอง!” ฉินหยุนหัวเราะแห้ง
เสวี่ยซือเยี่ยเห็นเป็นฉินหยุน นางเร่งรีบเอ่ยคํา “ฉินหยุน อาหารเช้าพวกนั้น
อร่อยหรือไม่? เป็นข้าทํามันเอง!”
“อร่อยมาก เป็นเจ้าทํานี่เอง! ต้องขอบคุณแล้ว เหมือนที่ข้าคิด ไว้ หญิงดิบ
เถื่อนอย่างพี่หลันหรือจะทําอาหารวิจิตรบรรจง เช่นนั้นได้?” ฉินหยุนยิ้ม
กว้าง
“ยินดีแล้ว ข้าอยู่ตรงนี้ได้เพราะเจ้าช่วยรักษาวิญญาณยุทธ์ให้ ทั้งยังช่วย
พลังธาตุข้าให้คืบหน้าขึ้นอีก” เป็นเสวี่ยซือเยี่ยสํานึก บุญคุณต่อฉินหยุน
“เจ้าหนู อย่าได้ดูถูกข้านัก! วันหลังข้าจะทําอาหารที่อร่อยให้ เจ้าได้กิน
เอง” หลันเฟิ งจินคล้ายหลุดปาก นางพลันกลอกตา เอ่ยถามเรื่องอื่น
“แล้วเมื่อใดเจ้าจะขึ้นลานประลอง รู้หรือยังว่าคู่ต่อสู้เป็นใคร?”
“พวกเขาหรือ ข้าเองไม่ทราบนักว่าพวกเขาเป็นใคร แต่ผู้ อาวุโสที่รับหน้าที่
จัดแจงนัดประลองบอกว่า พวกเขามาจาก ตําหนักตะวันออก” ฉินหยุน
ตอบ
“พวกเขา?” เสวี่ยซือเยี่ยคิ้วขมวด เอ่ยถามอย่างสับสน
“ใช่ เป็นข้าเลือกสู้กับสามคน ด้วยวิธีนี้ จะได้เป็นนักสู้ระดับสูง โดยเร็ว”
ฉินหยุนยิ้มกว้าง ทั้งหลันเฟิ งจินและเสวี่ยซือเยี่ยพลันมองฉินหยุนอย่างไม่
อยาก เชื่อ พวกนางกําลังคิดว่าเขาบ้าไปแล้ว
“เจ้าหนูนี่ สมองเจ้าโขกประตูตอนเช้าหรืออย่างไร?” หลันเฟิง จินเร่งรีบ
ตําหนิ
“หากอยู่กลางป่ าเจ้าคงไม่เป็นไร เพราะมียันต์ สะกดกายหรืออะไรทํานอง
นั้นให้ใช้ ข้าจะไม่ห่วงเจ้าเลย แต่ที่นี่ คือสนามประลอง มีข้อกําหนดหลาย
ประการ! เจ้าไม่อาจใช้ อุปกรณ์วิญญาณ หรือยันต์ ทั้งยังไม่อาจทําร้ายคู่
ต่อสู้จน บาดเจ็บหนัก ด้วยเงื่อนไขเหล่านี้ เจ้าไม่มีทางเทียบสามคนที่
ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่แปดได้” เสวี่ยซือเยี่ยเร่งร้อนกล่าว
“ฉินหยุน นี่ยังไม่สายหากคิดยกเลิก! ให้ข้าช่วยเจ้าจ่ายเงินค่าจับคู่ เรื่องนี้
อันตรายจนเกินไป” ฉินหยุนมีท่าทีเฉยชา เขาทราบพละกําลังตนเองเป็น
อย่างดี จึง ยิ้มรับไม่หวั่นเกรง
“อย่าได้ห่วง หากข้าไม่ชนะ ก็แค่ยอมรับ ความพ่ายแพ้ ไม่ตายหรอกน่า”
“หากเป็นกรณีนั้น เจ้าแพ้ก็จะเสียสามล้านแต้มเสวียน เมื่อถึง เวลา เจ้าจะ
ไม่มีสักแต้มเสวียนอยู่ในบัตรแต้มเสวียน เป็นผลให้ ไม่อาจท้าประลองครั้ง
ถัดไปได้อีก” หลันเฟิ งจินโกรธไม่น้อย เพราะฉินหยุนปุ่มบ่ามจนเกินไปแล้ว
“หากข้าจัดการสามคนนั้นได้เล่า?” ฉินหยุนยิ้มบางขณะมอง สองโฉมงาม
หลันเฟิ งจิน และเสวี่ยซือเยี่ยม หลันเฟิ งจินฮุดฮัดกล่าวคํา
“เจ้าจัดการสามคนนั้นไม่ไหว หรอก!” เสวี่ยซือเยี่ยพยักหน้ารับ
“คิดว่าข้ารู้จักสามคนจากตําหนัก ตะวันออกนะ พวกเขาเป็นแฝดสาม
จิตใจมีการเชื่อมโยงถึงกัน ถือว่าประสานงานกันได้ดีเยี่ยม ลําพังแต่เจ้า
กระทั่งว่าพวกเรา จัดตั้งกลุ่มขึ้นมา ก็ไม่น่าจัดการพวกเขาได้ง่าย”
“ตาเฒ่านั่น! ถึงขั้นบอกข้าว่าสามคนนั้นก็มีพลังดาษดื่นทั่วไป เห็นข้าเป็น
เด็กจึงหลอกกันได้เรอะ” ฉินหยุนเริ่มโกรธขณะสบถ คําออกมา
หลันเฟิ งจินถอนหายใจ “แฝดสามของตําหนักตะวันออก ทั้งมี ชื่อเสียง
และแข็งแกร่ง อายุสิบแปดก็อยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ ระดับที่แปดแล้ว
วิญญาณยุทธ์และเส้นวิญญาณก็เก็บเป็น ความลับ นอกจากนี้ พวกเขา
ทั้งสามยังประสานกันได้ด้วยดี กระทั่งขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เก้าก็
สามารถจัดการได้ ดังนั้นเจ้าจึงไม่มีโอกาสชนะ” ด้วยเพราะอะไรไม่ทราบ
ฉินหยุนพลันรู้สึกคาดหวังต่อแฝดสาม มากขึ้นอย่างประหลาด
“เหตุใดดูถูกข้าเพียงนี้?” ฉินหยุนถามด้วยความไม่ยินดี
“ไม่ใช่พวกเราดูถูกเจ้า แต่มันคือข้อเท็จจริง ด้วยเงื่อนไขของ สนาม
ประลอง มันเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะจัดการคนทั้งสามด้วย ตัวเอง” หลันเฟิ ง
จินแค่นเสียงเบา
“หากเจ้าไม่เชื่อล้วนไม่ เป็นไร ไว้เมื่อเวลามาถึง เจ้าจะได้รู้เองว่าพวกเขา
แข็งแกร่ง เพียงใด”
“ฉินหยุน ไปกัน ข้าจะช่วยเจ้าเรื่องยกเลิกประลองรอบนี้ หาก ไม่แล้ว เจ้า
จะตกอยู่ในปัญหาหลังสูญเสียสามล้านแต้มเสวียน” เสวี่ยซือเยี่ยดึงแขน
ฉินหยุนเตรียมนําไปโต๊ะลงทะเบียน ถึงตอนนี้เอง ฉินหยุนพลันหัวเราะขึ้น
“ในเมื่อคิดว่าข้าจะแพ้ แบบนั้นแล้ว.... หากข้าชนะขึ้นมา ไม่มอบจูบแก่ข้า
เป็นเดิมพัน เสียเล่า?” หลันเฟิ งจินพอได้ยินดังนี้ นางกัดริมฝีปากล่าง
พร้อมเหยียบ เท้าของฉินหยุนบางเบา เป็นนางเอ่ยคําต่อว่า “เจ้าเด็กน้อย
นี่ คิดแต่เรื่องพวกนี้มานานเท่าไหร่กันแล้ว?”
“เหอะ ใครใช้ให้พวกท่านทั้งสองคิดว่าข้าไม่อาจชนะ? ในเมื่อ คิดเช่นนั้น
จริงก็มาเดิมพันกัน ในเมื่อข้าไม่อาจชนะ ก็ไม่ต้องจูบ ข้าจริงไหม?” ฉินหยุ
นพยายามใช้เหตุผลยั่วยุด้วยรอยยิ้มชั่วช้า หลันเฟิ งจินจ้องมองไม่วางตา
“หากเจ้าแพ้ จงหาของขวัญ มอบแก่พวกเรา ตกลงหรือไม่?”
“หากข้าแพ้ เป็นข้าจูบท่านแทน” ฉินหยุนกลับเผยสีหน้า จริงจังขึ้นมา
“ไปตายซะ!” หลั่นเฟิ งจินปล่อยหมดเข้าใส่ใบหน้า ฉินหยุนแลบลิ้นออก
ยิ้มรับกล่าวคํา “เช่นนั้น ท่านคิดว่าพวก เราควรทําอันใดกันดี?”
เสวี่ยซือเยี่ยกัดริมฝีปาก ราวกับนางต้องตัดสินใจครั้งใหญ่ “ข้า ยังติดค้าง
แก่นอสูรจํานวนหนึ่งแก่เจ้าอยู่ หากเจ้าแพ้ ข้าก็ไม่ ต้องจ่ายแก่นอสูร
เหล่านั้นแล้วกัน”
หลันเฟิ งจินครุ่นคิดไปครู่ค่อยตอบ “หากเจ้าแพ้ เจ้าต้องช่วย ข้าขัดเกลา
ยันต์จํานวนหนึ่ง” “ไม่มีปัญหา แต่ต้องจูบข้าที่ตรงนี้”
ฉินหยุนยกนิ้วขึ้นชี้ที่ริม ฝีปากตนเอง หลันเฟิ งจนคิดอยากตบที่ใบหน้าสัก
คราหนึ่ง นางจึงยึดฮัดบาง เบากล่าวคําออก “ไม่ ข้าจะจูบเจ้าแค่ที่แก้ม!”
เสวี่ยซือเยี่ยเองก็พยักหน้ารับและกล่าว “แค่ที่แก้ม!”
สําหรับผู้หญิง การจูบริมฝีปากผู้ชายด้วยตัวเอง ถือเป็นเรื่อง ยากกระทํา
ยิ่ง
“ก็ไม่ใช่ว่าข้าจะชนะเสียหน่อยนี่ แค่จูบนิดหน่อยทําเป็นรู้งี้ไป ได้” ฉินหยุน
ยิ้มรับ
“เหตุใดพวกเราไม่หยุดการเดิมพันนี้เสียเล่า?” หลันเฟิ งจินไม่ คิดคล้ายให้
ฉินหยุนเอาเปรียบ
ฉินหยุนเร่งรีบกล่าว “ก็ได้ ก็ได้ ที่แก้มก็ที่แก้ม แต่ไว้เวลานั้น มาถึง ข้าจะ
จูบท่านที่แก้มด้วย”
หลันเฟิ งจินหันมองเสวี่ยซือเยี่ยก่อนกล่าวคําตอบ “เอาแบบงั้นก็ได้”
“ได้ งั้นมาจับมือสัญญากันดีกว่า” ฉินหยุนยกมือขึ้น ยื่นไป ทางหลันเฟิ ง
จิน หลันเฟิ งจินฮึดฮัดคราหนึ่งก่อนจะตบเข้าที่มือ เสวี่ยซือเยี่ยเองก็ยื่นมือ
ของนางตบที่มือฉินหยุนเช่นกัน กลายเป็นฉินหยุนหัวเราะยินดี ทําเอาห
ลันเฟิ งจนรู้ที่คันแต่ อยากจะเกา สําหรับเสวี่ยซือเยี่ย นางรู้สึกเขินอายนัก
ยามนึกถึง
ตอนที่ต้องจูบแก้มของฉินหยุน แม้ว่าฉินหยุนยังไม่ได้รับชัยชนะ แต่
ความคิดของนางกลับเตลิดไปก่อนเสียแล้ว
ตอนที่ 244 สำมจรัสแสง
คู่ประลองถัดจากนี้จะเป็นการต่อสู้ของนักสู้ระดับกลาง หลังจบ สิ้นสิบนัด
ประลอง ก็จะมีของนักสู้ระดับสูงอีกหนึ่งนัด จากจุดนี้ แสดงให้เห็นว่า นักสู้
ระดับสูงมีจํานวนน้อยนิด ทั้งยัง มีโอกาสชนะน้อย จึงเกิดการท้าทายน้อย
ตามไปด้วย ด้วยเหตุนี้ นักสู้ระดับสูงจึงยากท้าประลองผู้อื่น พวกเขา
เพียงแต่จะสู้ ก็ต่อเมื่ออยู่ในสภาพดีพร้อม และมีความมั่นใจ เท่านั้น หลัง
รับชมนัดประลองรอบเช้าไปพักหนึ่ง ฉินหยุนก็ได้เปิด ประสบการณ์
ทางด้านเคล็ดวิชาเพิ่มขึ้น
เขาทราบว่าเหตุใด ศิษย์หลายคน ถึงยอมจ่ายหลายเหรียญผลึกเพื่อมา
รับชมการ ประลองพวกนี้ เป็นศิษย์จํานวนมาก เลือกมารับชมการ
ประลองเพื่อเคล็ดวิชายุทธ์ระดับสูงที่หลากหลาย
ในช่วงบ่าย ในที่สุดก็ถึงคราวฉินหยุนปรากฏตัวแล้ว! “ฉินหยุน ประลอง
กับสามจรัสแสง!”
ชายชรากรรมการตะโกน ขึ้น เมื่อศิษย์หลายคนในสนามประลองได้ยิน
นามฉินหยุน พวกเขา ร้องอุทานกันออก แต่พอได้ยินคํา “สามจรัสแสง”
พวกเขา กลับกลายเป็นแข็งที่อ ทั่วทั้งสนามประลองตกอยู่ในความเงียบ
ความเงียบคงอยู่หลายวินาที เสียงร้องอุทานค่อยระเบิดขึ้น!
นี่เป็นการประลองระหว่างฉินหยุนและสามจรัสแสง หมายความถึงฉิน
หยุนต้องรับหนึ่งสู้สาม! นามสามจรัสแสง ถือว่ามีชื่อเสียงในสนาม
ประลองแห่งนี้ เพราะมันเป็นนามของกลุ่มนักสู้แฝดสาม!
แฝดทั้งสามถือว่าน่ากลัวยิ่ง พวกเขาแทบจะไร้เทียมทาน ท่ามกลางนักสู้
ระดับกลางด้วยกัน เพื่อรักษาระดับเอาไว้ พวกเขาใช้จ่ายเหรียญผลึกไปไม่
น้อย เพื่อหลีกเลี่ยงการก้าวหน้าสู่นักสู้ระดับสูง พวกเขาเลือกเป็นนัก สู้
ระดับกลาง จากนั้นจึงปกครองระดับกลางอย่างเหนียวแน่น
ฉินหยุนมาถึงลานประลองยุทธ์ หลายคนต่างคิดเห็น เช่นเดียวกันว่าเขา
เป็นบ้าไปแล้ว ถึงขั้นคิดลองที่ท้าทายกลุ่ม ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่
แปดซึ่งแข็งแกร่งที่สุดเพียงลําพัง ฉินหยุนอยู่บนลานประลองแล้วก็ใช่ แต่
สามจรัสแสงยังไม่ก้าว ขึ้นลานประลอง หากพวกเขาไม่ปรากฏตัวในเวลา
ที่กําหนด หมายความถึงพวก เขายอมสละการแข่งนัดนี้ ชัยชนะจะตกแก่
ฉินหยุน
“ทั้งสามคนออกจะช้าไปบ้าง แต่ไม่ต้องห่วง พวกเขาต้องโผล่ มาแน่นอน”
“ตราบเท่าที่ยังมีชีวิต ข้าย่อมต้องขึ้นลานประลองนัดนี้แน่ อย่างไรแล้วนี่
เป็นฉินหยุนเสียแต้มเสวียนโดยเปล่า มีแต่คนโง่ที่ ไม่คิดต้องการ!”
“เกิดอะไรขึ้นกับฉินหยุนหรือเปล่า เพิ่งได้สองล้านแต้มเสวียน มาเมื่อวาน
ตอนนี้คิดปล่อยทิ้งเสียเปล่างั้นหรือ”
“เขาช่างไม่ประมานตนเสียเลย บางที่อาจเป็นเพราะสองศึก เมื่อวานชนะ
ง่ายเกินไป จึงคิดว่าสามารถท้าประลองสามคนใน คราวเดียวได้ หากเขา
ชนะ ก็จะได้รับสามล้านแต้มเสวียน”
“ก็นะ คนหนุ่มมักอวดดีเพียงนี้ อายุแค่สิบหกเองนี่นา” พอฉินหยุนได้ยิน
บทสนทนาจากฝูงชน เขาหาได้ใส่ใจไม่ เป็น เพราะหลันเพิ่งจินและเสวี่ย
ซือเยี่ย ต่างก็บอกต่อเขาเช่นนี้ก่อนหน้านี้ไปแล้ว เขาเข้าใจในมุมมองของ
ผู้อื่น อย่างไรแล้ว ก็หาได้มีผู้ใดไม่ที่ ทราบถึงความแข็งแกร่งที่เขา
ครอบครอง นอกจากนี้ ทุกคนต่างทราบว่าฉินหยุนเป็นศิษย์ของสถาบัน
ยุทธ์ชิงเสวียน ในสนามประลองแห่งนี้จึงมีข้อจํากัดมากมาย ผลลัพธ์ก็คือ
เป็นเขาลงมือต่อผู้อื่นยากลําบาก ไม่อาจใช้ พละกําลังเต็มที่ได้
หลังการต่อสู้นัดก่อนหน้าจบลง จะมีระยะเวลาสําหรับเตรียมให้ การต่อสู้
นัดถัดไป สามจรัสแสง มักจะมาก็ตอนช่วงหมดเวลา เตรียมการฉิวเฉียด
ระยะเวลาเตรียมการใกล้หมดสิ้นแล้ว ฉับพลันนี้เองมีคนหนึ่ง ร้องดังขึ้น
“สามจรัสแสงมาแล้ว!”
“เป็นเหมือนอย่างเคย ปรากฏตัวช้าที่สุด หรือนี่เป็นกลยุทธ์ กดดันทาง
จิตใจแก่คู่ต่อสู้?”
“ฮ่าฮ่า ฉินหยุนสมควรไม่รู้ว่าคู่ต่อสู้ตนเองวันนี้น่าสะพรึง เพียงใด ดูสีหน้า
นั่นสิ น่าเกลียดเสียไม่มี!”
เป็นฉินหยุนไม่ยินดีจริง แต่เพราะเขาถูกผู้อาวุโสหลอกลวง ต่างหาก
เพราะอีกฝ่ายบอกเขาว่าทั้งสามมาจากตําหนัก ตะวันออก พละกําลังก็
ดาษดื่นทั่วไป แต่จากที่เห็น พละกําลังของทั้งสามคน สมควรน่ากลัวไม่
น้อย แล้ว
ฉินหยุนมองทางเดินที่เข้าสู่ลานประลอง เป็นชายหนุ่มสามคน หล่อเหลา
ในชุดสีนํ้าเงิน จากหัวจรดเท้า พวกเขาล้วนสวมใส่ แต่สีนํ้าเงิน ทั้งสามเป็น
แฝดจึงหน้าตาเหมือนกัน ผอม สูง และ มีใบหน้าหล่อเหลา ทันทีเมื่อพวก
เขาเข้ามาในสนามประลอง คลื่นเสียงต้อนรับจาก ผู้ชมแห่กันร้องออกมา
ไม่ขาดสาย เป็นพวกเขามีมารยาทดียิ่ง ใบหน้านั้นเปี่ยมไปด้วยความ
มั่นใจ ทั้งยังยิ้มออกมาระรื่น ท้ายที่สุด พวกเขาค่อยมายืนบนลานประลอง
ห่างจากฉินหยุน เพียงห้าสิบเมตร
“ฉินหยุน เจ้านั้นช่างมีหน่วยก้านที่ดี ข้าได้ยินนามยิ่งใหญ่ของ เจ้ามานาน
แล้ว ในที่สุดวันนี้ค่อยได้พบตัว ไม่ทําให้ผิดหวังจริง ๆ” คนหนึ่งเอ่ยขึ้นทั้ง
ยังหัวเราะ
“เท่าที่เห็น พวกเจ้าสามคนสมควรได้รับความนิยมมากกว่าข้า แล้ว ผู้ชม
หลายคนต่างเป็นกันเองต่อพวกเจ้ามากเลยนี่” ฉิน หยุนยิ้มยื่นขม
“นี่ก็เพียงเพราะพวกเรานําผลประโยชน์สู่พวกเขาได้ หากพวก เราชนะเจ้า
พวกเราก็จะได้รับเหรียญผลึกจํานวนมากไปด้วย” เสียงหัวเราะจากหนึ่ง
ในแฝดสามดังขึ้น
“จริงด้วย นามข้าตา โหยว ส่วนนี่เป็นน้องรอง และน้องสามของข้า เรียก
เป็นเสี่ยว โหยวก็ได้! พวกเราทั้งสามเข้าใจกันและกันดี ในเวลาปกติ ข้า
จะเป็นคนพูดแทนพวกเขา”
ฉินหยุนยิ้มรับ “ช่างเป็นการเข้ากันได้อย่างแปลกประหลาดนัก ข้าหวังว่า
จะได้รับความเมตตาแล้ว” ต้าโหยวหัวเราะออกเสียงดัง
“อันที่จริง นายหญิงของตําหนัก ตะวันออกของเรา คาดหวังยิ่งว่าเจ้าจะ
เข้าร่วม แต่.... น่า เสียดายที่เจ้าดันตัดสินใจเข้าร่วมตําหนักตะวันตก
อย่างไรแล้ว ในภายหน้าพวกเราก็ถือเป็นศิษย์จากสํานักเดียวกันอยู่ดี
แหละนะ”
“ศิษย์ของตําหนักตะวันออก ซ่างแตกต่างจากศิษย์จากอีกสาม ตําหนัก
เสียจริง” ฉินหยุนยิ้มบาง ท่าที่มีมารยาทของฝ่ายเป็น ผลให้เขาต้อง
ประหลาดใจ
“สามตําหนักเหล่านั้นเต็มไปด้วยหมาป่าห่มหนังแกะ พวกเขา จึงได้รับ
ทรัพยากรมหาศาล ตําหนักตะวันออกของพวกเราอ่อน ข้อยกว่า ด้วยเหตุ
นี้พวกเราจึงกลายเป็นตําหนักซึ่งอ่อนแอที่สุด ของตําหนักดวงดาว
วิญญาณสีคราม” เฉินหยุนพลันเข้าใจถึงสาเหตุ ว่าทําไมพวกเขามายัง
สนามประลองเพื่อล่าแต้มเสวียน หากพวกเขาต้องการแต้มเสวียนใน
ตําหนักดวงดาววิญญาณสีคราม การแข่งขันถือว่าดุเดือด รุนแรง นํ้าเสียง
ของต้าโหยวอ่อนนุ่ม ทั้งยังยิ้มไปกล่าวไปเสมอ
“ฉิน หยุน พวกเราต่อสู้กับเจ้าวันนี้ผลลัพธ์คือชัยชนะ พวกเราไม่คิด ทําให้
เจ้าบาดเจ็บในการประลองยุทธ์นัดนี้ ไม่อย่างนั้นแล้ว ในภายหน้าพวกเรา
ไม่ทราบจะหลบเลี่ยงคําต่อว่าจากภรรยา เจ้าอย่างไรดี ทางที่ดีขอแนะนํา
ให้ยอมแพ้ พวกเราจะมอบสาม แสนเหรียญผลึกให้ ถือเป็นค่าชดเชย
เล็กน้อยก็แล้วกัน”
ฉินหยุนพอคาดเดาได้ ว่าเชี่ยวเย่ว์หลานมีความเหนือลํ้า เพียงใดใน
ตําหนักดวงดาววิญญาณสีคราม นางเป็นผู้ที่สร้าง ความหวาดเกรงต่อ
ศิษย์ของตําหนักตะวันออกมากที่สุด
“ไม่เป็นไร ต่อให้ไม่อาจเอาชนะ ข้าก็ไม่บาดเจ็บเพราะพวกเจ้า หรอก” ฉิน
หยุนยิ้ม
“พูดได้ดี!” ต้าโหยวถอนหายใจออกโล่งอก หลังเวลาเตรียมการหมดลง
ผู้ชมเริ่มตื่นเต้นกันขึ้นมาทันตา พวกเขาวางเดิมพันเหรียญผลึกมหาศาล
ฝั่งสามจรัสแสง ตราบ เท่าที่พวกเขาได้ชัยชนะ พวกเขาจะได้รับเหรียญ
ผลึกจํานวน หนึ่งจากสนามประลอง ฝูงชนลุกขึ้นยืน เริ่มโห่ร้องตะโกน
เสียงดัง
“สามจรัสแสงต้อง ชนะ! สามจรัสแสงต้องชนะ!” คลื่นเสียงโห่ร้องยังคงดัง
อย่างต่อเนื่องที่ศูนย์กลางของสถาบัน ยุทธ์ชิงเสวียนแห่งนี้ กระทั่งศิษย์
หลายคนที่ด้านนอกสนาม ประลอง ยังคิดอยากเข้ามารับชมว่ามีเรื่องสนุก
อันใด
เมื่อผู้อาวุโสเห็นว่านาฬิกาทรายพร้อมแล้ว เขาจึงตะโกนขึ้น “การประลอง
ยุทธ์ เริ่มได้!”
นาฬิกาทรายพลิกกลับด้าน การประลองเริ่มขึ้นอย่างเป็น ทางการแล้ว!
ทันทีที่เริ่มต้น สองในสามพี่น้อง พลันเคลื่อนไหวรวดเร็ว พวก เขายืนใน
ตําแหน่งที่ต่างกัน ปิดล้อมฉินหยุนเอาไว้
“ฮ่า!”
สามพี่น้องพลันแผดเสียงออก พร้อมปลดปล่อยบอลกําลัง ภายในสีนํ้าเงิน
สามลูกจากระยะไกล พวกมันขณะนี้พุ่งเข้าใส่ ฉินหยุนจากทั้งสามทิศทาง
ร่างกายของฉินหยุนระวังภัยอยู่ก่อนแล้ว เมื่อได้ยินเสียงร้อง คําราม เขาจึง
ทะยานออกหลายก้าวพ้นจากตําแหน่งเดิม หลบ เลี้ยงบอลแสงสีนํ้าเงินทั้ง
สามลูกที่พุ่งเข้าหาได้ ฉินหยุนหลบเลี่ยงพวกมันได้สําเร็จ ภายในใจอด
ยินดีไม่ได้
เขานึกว่าบอลแสงสีนํ้าเงินทั้งสามลูกจะระเบิดออก แต่มันกลับ ไม่ใช่!
หลังบอลแสงสีนํ้าเงินทั้งสามปะทะกัน มันกลับรวมกันเป็นบอล แสงสีนํ้า
เงินลูกใหญ่เพียงหนึ่ง ราวกับนี่สามารถควบคุม มันพุ่งตรงเข้าใส่ฉินหยุน
อีกครั้งหนึ่ง! ฉินหยุนไม่คาดคิดมาก่อน เป็นบอลแสงสีนํ้าเงินกระแทกร่าง
เกือบกระเด็นหล่นจากลานประลองยุทธ์ โชคดีที่เขาตอบสนองรวดเร็ว
ปรับเปลี่ยนสมดุลร่างกายในอด ใจที่ร่างกระเด็น เมื่อเท้าสัมผัสพื้น เขาจึง
ทะยานกายออก หลบ เลี่ยงบอลแสงสีนํ้าเงินที่ไล่ตามติดมา ฉินหยุนหลบ
เลี่ยงการโจมตีของบอลแสงสีนํ้าเงิน พร้อมกันนี้ เขาเลือกทะยานกายเข้า
หาหนึ่งในสามพี่น้อง แต่แล้ว ขณะ เกือบเข้าถึงตัว กลับเป็นบอลแสงสีนํ้า
เงินอีกลูกหนึ่งถูกปล่อยออกมา
บอลแสงสีนํ้าเงินถือว่าประหลาดยิ่ง มันรวดเร็วมหาศาล ทั้งยัง มีพลัง
แข็งแกร่ง หลังโดนกระแทกไปครั้งหนึ่ง มันรู้สึกราวโดน วัตถุหนักมากเข้า
ปะทะ! ฉินหยุนเร่งรีบหลบอีกครั้ง แต่แล้ว ทันทีเมื่อแสงสีนํ้าเงินวาบ ผ่าน
มันระเบิดออก!
ตู้ม!
พายุนเงินก่อเกิด ส่งร่างฉินหยุนปลิวไป เสื้อสีดําที่เขาสวมใส่ มาวันนี้ถึง
ขั้นฉีกขาด
“นี่มันแปลกเกินไปแล้ว!” ฉินหยุนสบถเสียงเบา ผู้ชมเริ่มโห่ร้องชื่นชมกัน
ออกมา
“สามจรัสแสงแข็งแกร่งนัก นี่คือรูปแบบค่ายกลโจมตีที่ดีที่สุด ของพวกเขา
ค่ายกลสามเหลี่ยมแห่งความตาย!”
“พวกเขาทั้งสามจะอยู่ประจําตําแหน่ง จากนั้นจึงใช้เคล็ดวิชา ลึกลับ
ปลดปล่อยก้อนกําลังภายในออก ไล่ล่าผู้คนเป้าหมาย ซึ่ง อยู่ในค่ายกล
สามเหลี่ยม”
“จากที่เห็น หากผู้ที่อยู่ในค่ายกลสามเหลี่ยมตอบสนองไม่ทัน พวกเขาย่อม
ต้องแพ้พ่าย กระทั่งว่าตอบสนองได้รวดเร็วพอ ก็ ยังจะโดนไล่ล่าจนค่อย
หมดแรงและถึงแก่ความตาย”
“หากฉินหยุนคิดเล็งหนึ่งในพวกเขา ทั้งสามคนจะปลดปล่อย กําลังภายใน
ออกรุมโจมตีเข้าใส่ นอกจากนี้แล้ว ยังมีบอลกําลัง ภายในที่ลอยไปมา ทั้ง
ยังระเบิดตอนไหนก็ได้อีก”
ฉินหยุนหลบซ้ายที ขวาที่ อยู่ภายในค่ายกลสามเหลี่ยม ลูก บอลแสงสีนํ้า
เงินยังไล่ล่าเขาไม่หยุดหย่อน พวกมันอัดแน่นด้วย กําลังภายในและพลัง
จิต บางครั้งเขาหลบได้ แต่ชั่วขณะที่เขา คิดว่ามันจะผ่านไป สิ่งที่เกิดขึ้น
กลับกลายเป็นการระเบิด! “ทั้งสามคนมีพลังจิตแข็งแกร่ง พวกเขาใช้มัน
เพื่อควบคุมกําลัง ภายในอีกทีหนึ่ง!” แม้ฉินหยุนอยู่ในสภาพย่ําแย่ เขาก็
ยังคงสัมผัสได้ถึงลูกเล่นของ ผู้อื่น เป็นเขาคิดกับตนเอง
“พวกนี้ไม่ได้ติดต่อกันทางจิต เป็น เพราะพลังจิตแข็งแกร่งมาก จึงสามารถ
ติดต่อในทางลับกับ ผู้อื่นได้”
“หากเป็นแบบนั้นจริง เราก็แค่ใช้พลังจิตที่แข็งแกร่งกว่า ทําลายค่ายกล
สามเหลี่ยมที่เจ้าพวกนี้สร้างขึ้นโดยพลังจิต มีแต่ การที่ทั้งสามผสานรวม
พลังจิตเข้าด้วยกันในค่ายอาคม สามเหลี่ยม จึงทําให้สามารถเคลื่อนย้าย
กําลังภายในได้รวดเร็ว เพียงนี้”
หลังวิเคราะห์ได้เรียบร้อย ฉินหยุนจึงนึกหากลยุทธ์ ด้วยเสียง ตะโกนร้อง
ดัง เขาปลดปล่อยเคล็ดวิชารวมจิตวิญญาณสังหาร ที่รุนแรงออกไป พลัง
จิตซึ่งถูกปลดปล่อยออกโดยเคล็ดวิชารวมจิตวิญญาณ สังหาร มันคือพลัง
จิตไร้รูปร่าง เปรียบดั่งเข็มจํานวนนับไม่ถ้วน ที่มแทงเข้าใส่ค่ายกล
สามเหลี่ยม ด้วยการทําลายตาข่ายพลัง จิตไร้รูปลักษณ์ของค่ายกล บอล
กําลังภายในจึงเสียการควบคุม แฝดสามถูกส่งร่างปลิวกระเด็นปะทะกับ
ม่านพลัง เป็นผลให้ เกิดการระเบิดรุนแรงขึ้น ใบหน้าหล่อเหลาของแฝด
สามพลันเปี่ยมล้นด้วยความ หวาดกลัว!
แน่นอน พวกเขาทราบว่าฉินหยุนมีพลังจิตแข็งแกร่ง ดังนั้นจึง เตรียม
ป้องกันไว้ก่อน แต่ที่พวกเขาไม่คิด ก็คือมันจะน่า สะพรึงกลัวได้ถึงเพียงนี้
นี่ถือว่าแข็งแกร่งกว่าพลังจิตของพวก เขาหลายเท่าด้วยซํ้า ชั่วขณะที่ทั้ง
สามถูกฉินหยุนโจมตีโดยเคล็ดวิชารวมจิต วิญญาณสังหาร ร่างพลันถูก
ผลักกระเด็น เพราะแรงกระแทก จึงเป็นผลให้เกิดอาการมึนงงไปวูบ
พอฉินหยุนเห็นดังนี้ เขาเล็งเห็นโอกาสจึงปล่อยก้าวอัคคีเมฆา ออกสุดแรง
แทบในทันที เขาถึงตรงหน้าหนึ่งในแฝดสามและ ร้องคํารามใส่ ส่งร่างนั้น
ลอยกระเด็นหลุดพ้นลานประลอง
โฮก! โฮก! ถัดจากนั้น เสียงคํารามร้องอีกสองครั้งจึงดังขึ้น! แฝดสามที่
เหลืออยู่สองคน ไม่ต่างอะไรกับหนึ่งคนก่อนหน้านี้ ด้วยคลื่นเสียงคําราม
ร้องรุนแรง เป็นผลให้ร่างพวกเขากระเด็น ออกนอกลานประลองยุทธ์ไป
อย่างไม่อาจต่อต้าน
ตอนที่ 245 ขอติดตำม
ร่างของสามพี่น้องกระเด็นร่วงหล่นนอกลานประลอง ทันทีเมื่อร่างกระทบ
พื้น พวกเขาพลันได้สติกลับคืนมา แต่ละ คนต่างเผยสีหน้าว่างเปล่า ขณะ
นึกย้อนว่าพวกตนร่วงหล่น จากลานประลองได้อย่างไร ?
อีกทางหนึ่ง ฝั่งผู้ชม สีหน้าพวกเขาล้วนเป็นเช่นเดียวกันกับ สามพี่น้องไม่
มีผิด พวกเขาทั้งอึ้งและงง! สามจรัสแสงที่ไร้เทียมทาน ผู้ซึ่งเอาชนะ
ขอบเขตกายวรยุทธ์ ระดับที่เก้า ทั้งยังชนะมาหลายต่อหลายรอบ กลับ
พ่ายแพ้ต่อ ฉินหยุน!
ฉินหยุนเพียงเพิ่งก้าวขึ้นมาสู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่แปด นอกจากนี้
เขายังต้องเผชิญข้อจํากัดจํานวนมากในสนาม ประลอง สําหรับเขามันไม่
มีโอกาสที่จะชนะได้เลยด้วยซํ้า แต่ แล้วกลับสามารถเอาชนะมาได้
หลันเฟิ งจินและเสวี่ยซือเยี่ย ใบหน้าทั้งสองเผยความประหลาด ใจขณะ
หันมองหน้ากันเอง ใบหน้ารูปไข่งดงามเย็นชาของเสวี่ยซือเยี่ย พลันแดง
กํ่าด้วย ความเขินอาย
ผิวสีนํ้าตาลข้าวสาลีของหลันเฟิ งจิน คราครั้งนี้ แม้ไม่บ่งบอก ชัดเจนว่า
นางเขินอาย แต่ก็ต้องไม่ใช่ความรู้สึกง่ายจัดการเป็น แน่ ฝูงชนระเบิดเสียง
ฮือฮาร้องดังกันออกมา
“เป็นไปไม่ได้” หลาย คนต่างเชื่อว่าฉินหยุนไม่มีทางจัดการสามจรัสแสง
อย่างแน่นอน พวกเขาต่างออกปากว่าฉินหยุนต้องมีกลโกง หวังว่า
กรรมการ จะตัดสินหรือพูดอะไรบ้าง กรรมการชราเข้าตรวจสอบอาการ
บาดเจ็บของแฝดสาม เขา พบว่าเพียงแต่สติหลุดไปครู่ เป็นการโจมตีทาง
จิตที่หลงเหลือเล็กน้อยภายในจิตใจเท่านั้น ร่างกายไม่ได้รับบาดเจ็บแต่
อย่าง
“พวกเราสบายดี และพวกเราแพ้แล้ว!” ต้าโหยวที่ฟื้นคืนสติ เขาหันมองฉิน
หยุนด้วยความนับถือและโพล่งคําขึ้น
“พวกเรา ยอมรับความพ่ายแพ้นี้!” ถึงตอนนี้เอง ฝูงชนผู้ชมต่างระเบิดเสียง
ฮือฮากันดังขึ้น สาม จรัสแสงถึงกับยอมรับความพ่ายแพ้ ต้าโหยวทราบ
อย่างดีว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น พวกเขาโดนโจมตี ผ่านพลังจิตอันแข็งแกร่ง
ของฉินหยุน พวกเขาเองก็ฝึกฝนพลัง จิต ดังนั้นจึงทราบว่านี่คือเรื่องอันใด
พวกเขาได้ทราบกันอย่าง ดียิ่งแล้วถึงพลังจิตอันน่าสะพรึงที่ฉินหยุนครอบ
ครอง กระทั่งว่าพวกเขาตั้งป้องกันไว้แล้ว ก็ยังไม่อาจทานทนการ โจมตี
ทางพลังจิตครั้งนี้
นี่เป็นเพราะพวกเขาใช้พลังจิตกันอย่างหนักหน่วง จึงเป็นพวก เขา
อ่อนไหวต่อความผันแปรของพลังจิตโดยง่าย เพราะเหตุนั้น เมื่อพวกเขา
โดนพลังจิตเข้าโจมตี อาการบาดเจ็บจึงยิ่งขยายกว้างกว่าที่ควรเป็น
เหตุผลหลักก็เพราะ พวกเขาเพียงเข้าใจ การฝึกฝนพลังจิต ได้ไม่ลึกลํ้า
มากพอ กรรมการชราประกาศดังขึ้น
“ฉินหยุนได้รับชัยชนะในครั้งนี้ สามจรัสแสงพ่ายแพ้!” ฉินหยุนชนะ หลาย
คนต้องเสียเหรียญผลึก ย่อมเป็นเรื่องปกติที่ จะไม่ยินดี พวกเขาจึงส่งเสียง
โห่ใส่ฉินหยุน!
ทางด้านฉินหยุน เขายินดีเป็นอย่างยิ่ง ด้วยรอยยิ้มประดับ ใบหน้า เขา
ก้าวเดินลงจากลานประลอง มุ่งหน้าสู่โถงของ สนามประลอง จ่ายเหรียญ
ผลึกแก่ผู้อาวุโสเพื่อให้จัดแจงนัด ประลองถัดไป
“เจ้าหนู ข้าพูดถูกหรือไม่ใช่? สามคนนั้นก็แค่ธรรมดาไม่ใช่หรือ ยังไง?”
ชายชราหัวเราะดัง ฉินหยุนที่คิดกล่าวโทษชายชราตั้งแต่ก่อนเริ่ม ทว่า
ตอนนี้ เขา ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมรับ ว่าทั้งสามธรรมดาจริง
เขาจึงพยักหน้าตอบ
“แน่นอนว่า พวกเขาธรรมดานั้นมีมาตรฐานเป็นเจ้า! กับผู้อื่น พวกเขา
แข็งแกร่งยิ่ง” ชายชราหัวเราะคิกคัก
“เจ้าเป็นศิษย์ ของตาเฒ่าตู้ ย่อมต้องได้เรียนรู้เคล็ดวิชารวมจิตวิญญาณ
สังหาร มันเป็นดาวพิฆาตของพวกเขาเลยเชียวละ”
ฉินหยุนยิ้มกล่าว “ผู้อาวุโส เป็นข้าคิดแย่ต่อท่านตอนขึ้นลาน ประลอง ข้า
ต้องขออภัย!”
“ไม่เป็นไร ครั้งหน้าข้าจะจัดแจงคู่ต่อสู้ง่ายดายแก่เจ้า นัด ประลองนี้เริ่ม
ตอนช่วงเย็น” ชายชราหัวเราะตอบ
“เจ้าเป็น ศิษย์ของตาเฒ่าตู้ ข้าย่อมต้องดูแลไม่มากก็น้อยอยู่แล้ว” ฉิน
หยุนยิ้มอย่างมีเลศนัย ขณะปล่อยกําปั้นตนเอง ชนกําปั้น ของผู้อาวุโสที่
ยื่นมาให้ และออกจากโถงสนามประลองไป ตอนนี้เขาขึ้นไปด้านบนที่นั่งผู้
รับชม ใบหน้าของเสวี่ยซือเยี่ยแดงกํ่าขณะกระซิบกระซาบกับห ลันเฟิ งจิน
“พี่หลัน พวกเราต้องจูบเจ้าปีศาจน้อยผู้นี้จริงหรือ?”
หลันเฟิ งจนเผยท่าที่ยุ่งยากใจ “พวกเราก็ได้แต่ต้องทํา หากไม่ ทํา เขาจะ
เอาแต่พล่ามว่าพวกเราไม่รักษาสัญญา แม้พวกเรา เป็นผู้หญิง แต่พวกเรา
อย่าได้เป็นเช่นพวกผู้ชายที่ไม่คิดรักษา สัญญาของตนเอง”
“แล้วมีอะไรน่ากลัวกัน? ไม่ใช่แค่จูบที่แก้มหรือไร? ไม่ใช่เรื่อง ใหญ่อะไร มี
แต่เราสามคนที่รู้เรื่อง! ภรรยาเขา เชี่ยวเย่ว์หลาน แข็งแกร่งนัก หากเชี่ยว
เย่ว์หลานทราบเรื่องราว เขาย่อมต้อง เป็นผู้ที่ตกอยู่ในปัญหาเสียเองแล้ว”
ได้ยินคําของหลันเฟิ งจิน เสวี่ยซือเยี่ยจึงสบายใจขึ้นไม่น้อย นางพยักหน้า
รับ “โชคดีนัก ที่พวกเราไม่ได้สัญญาเป็นจูบที่ริม ฝีปาก ไม่เช่นนั้น ฉินหยุน
เดินเข้ามาทั้งรอยยิ้ม เขามองสาวงามหนึ่งเล็กหนึ่งใหญ่ ด้วยรอยยิ้มสุขใจ
ยิ่ง หลันเฟิ งจินและเสวี่ยซือเยี่ยอยู่ชั้นแทบ บนสุด ที่นี่ไม่มีที่นั่ง ดังนั้นแล้ว
พวกเขาจึงยืนอยู่ที่นี่ ทั้งยังมี ผู้คนบางตา
หลันเฟิ งจินหันมองยากลําบากคราหนึ่ง “สามคนนั้นช่างไร้ ประโยชน์นัก
พอมาคิดว่าเจ้าจะแพ้ให้สามคนนั่น ข้าช่างคิดผิด เสียจริง”
“เช่นนั้น... สัญญาที่ให้ไว้ อย่าลืมละ!” ดวงตาฉินหยุนทอประ กาย
คาดหวังขณะกล่าว
“รู้น่า!” หลันเฟิ งจินแค่นเสียงยอมรับ ฉินหยุนมองอย่างอิ่มเอมขณะยิ้ม
กล่าว
“ท่านยอมรับความพ่าย แพ้เสียด้วย! วิเศษนัก!”
“ฉินหยุน นี่เจ้าจัดการสามคนนั้นได้อย่างไร?” เสวี่ยซือเยี่ย สงสัย
หลันเฟิ งจินเองก็มองมา คิดอยากทราบเหตุผล รอคอยคําตอบ ฉินหยุนจึง
ตอบกลับไปอย่างจริงจัง “เป็นข้าใช้พลังจิตโจมตี! พวกเขาทั้งสาม ต่าง
ฝึกฝนพลังจิต แต่ยังไม่ลึกลํ้ามากพอ ด้วย เหตุนี้พวกเขาจึงมีจุดอ่อนใหญ่
หลวงนัก”
“แม้พวกเขาใช้พลังจิตควบคุมวัตถุได้ แต่การป้องกันทางจิต อ่อนด้อย
นอกจากนี้พวกเขายังต้องใช้ถึงสามคน จึงสามารถ ควบคุมวัตถุด้วยดีได้”
“ทั้งนี้ยังใช้พลังจิตตั้งค่ายกลสามเหลี่ยม เพื่อตั้งอาณาเขตการ ใช้พลังจิต
หลังข้าปล่อยพลังจิตออกไป เพียงตามพลังจิตพวก เขากลับ และโจมตี
ตรงเข้าที่ต้นกําเนิดพลังจิตของพวกเขาก็ เท่านั้นเอง”
หลันเฟิ งจินและเสวี่ยซือเยี่ย ทั้งสองต่างเกิดความประทับใจ ขึ้นมา พวก
นางไม่ทราบเลยว่ากระบวนการเบื้องลึกซับซ้อน เพียงนี้
หลันเพิ่งจิน อันที่จริงก็เข้าใจถึงความแข็งแกร่งทางพลังจิตของ ฉินหยุนอยู่
บ้าง “ข้าคิดว่า ตําหนักดวงดาววิญญาณสีครามไม่มีการฝึกสอน พลังจิตที่
ดีนัก ไม่อย่างนั้น ทั้งสามคนคงไม่มีจุดอ่อนใหญ่หลวง เพียงนี้! หากพวก
เขาเผชิญหน้ากับข้าพร้อมเสี่ยงเป็นตาย พวก เขาคงตายไปแล้ว”
ฉินหยุนยิ้มบาง “แน่นอน หากไม่มีข้อจํากัดเรื่องโจมตีพวกเขา แม้ไม่ใช้
พลังจิตข้าก็สังหารพวกเขาได้”
หลันเฟิ งจินพลันรู้สึกอิจฉา “เจ้าหนูนี่ พลังจิตของเจ้า แข็งแกร่งไม่พอ
พรสวรรค์ทางวิถีจารึกยังสูงลํ้า ทั้งยังมี วิญญาณยุทธ์ที่ดี เป็นข้าอิจฉาเจ้า
จนแทบแย่แล้ว”
“พี่หลัน ท่านอยู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋า ต้องเป็นข้าที่ควรอิจฉา ท่าน!” เขาเอง
ก็ทราบ ว่าทั้งหมดนี้เป็นเพราะครอบครอง วิญญาณเทวะเก้าตะวัน เป็น
มันช่วยเหลือเขาอย่างใหญ่หลวง สําหรับวิญญาณเทวะเก้าตะวัน มันเป็น
เพราะมารดาของฉัน
หยุนและเซี่ยฉีโหรวมีสัมพันธ์ที่ดีต่อกันจึงได้รับมา ทว่าฉินหยุน ก็ไม่ทราบ
เรื่องราวของมันมากนัก ในช่วงเย็น ถึงนัดประลองของฉินหยุนอีกครั้งหนึ่ง
ในศึกครั้งนี้ คู่ต่อสู้ของฉินหยุนเป็นชายวัยกลางคนจากสถาบัน ยุทธ์หลิง
เสวียน แม้เขาอยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่แปด ทว่าอ่อนแอนัก เพียง
คํารามไม่กี่ครั้ง ฉินหยุนก็ส่งร่างอีกฝ่าย กระเด็นออกนอกลานประลอง
เป็นฉินหยุนได้รับชัยชนะอีกครั้งแล้ว ตอนนี้เขามีทั้งสิ้นเจ็ดล้าน แต้ม
เสวียน ด้วยอีกสามล้านแต้มเสวียน ก็จะสามารถท้า ประลองนักสู้
ระดับสูงอย่างโจวจงฮวยได้! หลังเสร็จสิ้นขั้นตอนการปิดสนามประลอง
วันนี้ ฉินหยุนจึงกลับ สถาบันเทียนเจียว บ้านพักข้างธารนํ้าด้วยอารมณ์
ตื่นเต้นยินดี
“ล้างหน้าเจ้าเสีย!” หลันเฟิ งจินยืนอยู่ด้านหลัง กลอกตาและ ตะคอกขึ้น
ฉินหยุนเร่งรีบไปล้างหน้าตนเอง นั่งรอสงบเสงี่ยมที่เก้าอี้ ใบหน้านี้ประดับ
ยิ้มกล่าวคํา
“เริ่มได้เลย!”
พอหลันเฟิ งจินเห็นเสวี่ยซือเยี่ยหน้าแดงกํ่า นางจึงถอนหายใจ อย่างช่วย
ไม่ได้ แม้นางเองก็เขินอาย แต่อย่างน้อยก็ตัดสินใจได้ อย่างแน่วแน่ จูบเข้า
ที่แก้มของใบหน้าหล่อเหลาของฉินหยุน ฉินหยุนรู้สึกได้ ถึงกลิ่นหอมดิบ
เถื่อนที่ใกล้สัมผัสยิ่ง แก้มของ เขารู้สึกร้อนผ่าว ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจาก
ความรู้สึกดีจนร้อนวูบ ขึ้นมา มันช่างต่างจากคําบรรยายในหนังสือยิ่งนัก
พอเสวี่ยซือเยี่ยเห็นดังนี้ ใบหน้าเย็นชาของนางยิ่งแดง กระทั่งคิดว่านาง
เย็นชาเพียงนี้ และเป็นหญิงแกร่งเพียงนี้ ก็ ยังคงมีมุมเขินอายอย่างเด็ก
สาวผู้หนึ่ง นางกัดริมฝีปากแดงสุกปลั่งและหลับตาลง ใบหน้าของนางยื่น
เข้าหาแก้มอีกข้างของฉินหยุน บรรจงกดริมฝีปากแดงสดของนางที่แก้ม
ของใบหน้าหล่อเหลานั้น ฉินหยุนแทบไม่กล้าหายใจแรง เขายิ้มรับ
“ถึงคราวข้าจูบพวก ท่านกลับบ้างแล้ว ฮี่ฮี่!” หลันเฟิ งจินมือกอดอก ยืน
หยัดเย็นเยือก พอเห็นฉินหยุนเผยสี หน้าได้ใจ นางพลันกล่าวเหยียดหยัน
ออกมา
“เจ้าหนู มาดูกัน ว่าเจ้าจะยินดีได้อีกเพียงใด! เข้ามาจูบที่ใบหน้าข้า!” ฉิน
หยุนเป็นคนตรงมาแต่ไหนแต่ไร จึงจูบเข้าที่แก้มของห ฉันเพิ่งจิน หลันเฟิ ง
จินแค่นเสียง
“น่าเบื่อนัก!” เสวี่ยซือเยี่ยก้มหน้าลงเล็กน้อย ไม่นานจากนั้น ฉินหยุนจึง
จูบ เข้าที่แก้มนวลเนียนของนาง ยิ่งทําให้หน้าของนางแดงกํ่า
“ซือเยี่ย ใบหน้าเจ้าดีกว่าพี่หลันเยอะนัก!” ฉินหยุนหัวเราะ
“เป็นเช่นนั้น อย่างไรแล้วซือเยี่ยก็อ่อนเยาว์กว่า ผิวพรรณย่อม เรียบเนียน
และงดงามกว่า ข้าจะเทียบนางได้อย่างไร? ทั้งแก่ ชราและไร้ซึ่งความ
งดงาม ข้ามีอะไรดีกัน?” หลันเฟิ งจินบ่นอุบ ขณะนั่งบนเก้าอี้ รินชาสาม
ถ้วยและยกของตัวเองขึ้นดื่ม หลันเฟิ งจินไม่งดงามมากนักจริง ทั้ง
ผิวพรรณยังเป็นสีนํ้าตาล ข้าวสาลี ทว่า โดยรวมแล้วนางให้ความรู้สึกดิบ
เถื่อน โดยเฉพาะยามเมื่อสวมใส่กางเกงขาสั้น เผยออกซึ่งรูปลักษณ์
งดงามและขายาวเรียวสวย
“ข้ากลับไปฝึกฝนในห้องต่อละ วิญญาณยุทธ์ของข้ายังฟื้นฟูได้ ไม่เต็มที่”
เสวี่ยซือเยี่ยพอกล่าวคําจบ จึงเร่งรีบเข้าห้องไป เฉินหยุนหัวเราะคิกคัก
ตอบ
“ไม่คิดเลยว่าซื่อเยี่ยจะมีมุมเด็กสาว เช่นนี้ด้วย ครั้งแรกได้พบ นึกว่านาง
จะเย็นชาและหยาบ กระด้างกว่านี้เสียอีก”
“เด็กสาวก็คือเด็กสาว เป็นเจ้าไม่เข้าใจผู้หญิงเอง” หลันเฟิ งจินยิ้มบาง
“พี่หลันสิถึงจะดีที่สุด ท่านทั้งอิสระและซื่อตรง เป็นข้าชอบคน เช่นท่าน!”
ฉินหยุนยกถ้วยชาที่นางรินไว้ ยกขึ้นดื่มและยิ้มให้ ดวงตาของหลันเฟิ งจิน
ฉายเสน่ห์ออก นางยิ้มให้เห็น
“ข้านึกว่า เจ้าเพียงชอบเด็กสาวงดงามขาวราวหิมะเสียอีก เจ้ายังชอบ
หญิงดิบเถื่อนเช่นข้าด้วยหรือ?” ฉินหยุนดื่มชาจนหมดถ้วย จึงยิ้มตอบ “ข้า
ก็ชอบทั้งสองแบบนะ!”
หลันเฟิ งจินมองเหยียดหยันไปวูบก่อนลุกขึ้นยืน ขณะนางกําลัง จะกลับ
ห้อง นางรู้สึกได้ถึงออร่าสามคนกําลังเข้ามาใกล้จาก นอกบ้านพัก “สาม
จรัสแสงมาที่นี่!”
ฉินหยุนเองก็สัมผัสได้ สีหน้า แปรเปลี่ยนเล็กน้อย “เหตุใดพวกเขามาที่นี่?
หรือประลองแพ้ คนไม่แพ้?”
ตึง ตึง ตึง! เสียงเคาะประตูดังขึ้นแล้ว!
หลันเฟิ งจินรีบออกไปรับหน้า หลังเปิดประตูออก นางได้เห็น เด็กหนุ่มหล่อ
เหลาสามคนยืนเรียงกันด้านนอก “สายัณห์สวัสดิ์อาจารย์ป้าหลัน!”
เด็กหนุ่มทั้งสามตะโกนเป็น เสียงเดียวกัน ทั้งยังโค้งคํานับให้อย่างสุภาพ
“อะไรกัน? เข้ามาก่อน มาพูดคุยกันด้านใน!”
หลันเฟิ งจินเชิญ ทั้งสามเข้าในห้องโถง ฉินหยุนลอบประหลาดใจ พอคิด
ได้ว่าสามจรัสแสงเรียกหาห ล้นเฟิ งจินเป็นอาจารย์ป้า ชัดเจนว่าหลันเฟิ ง
จินย่อมต้องมี สถานะสูงส่งยิ่งแล้ว
“ว่าไง มีอะไรกันหรือ?” ฉินหยุนยิ้มถาม
“ฉินหยุน พวกเราขอติดตามท่าน!” ต้าโหยวเอ่ยคํา อีกสองคน พยักหน้า
รับเป็นการเห็นด้วย
“ติดตามข้าหรือ?” ฉินหยุนตระหนก เขาหันมองหลันเฟิ งจิน นางเองก็
ประหลาดใจไม่น้อยเช่นกัน
ตอนที่ 246 วิญญำณยุทธ์โทเทม
หากสามพี่น้องไม่ได้โดนฉินหยุนจัดการ พวกเขาก็จะยังคงเป็น ผู้แข็งแกร่ง
ในสนามประลอง ตอนนี้ พวกเขาคิดอยากติดตาม ฉินหยุน นี่เป็นสิ่งที่
กระทั่งหลันเฟิ งจินก็ไม่คาดคิด “พวกเจ้า.... คงไม่ได้มาล้อกันเล่นหรอกใช่
หรือไม่?”
ฉินหยุน ชะงักงันถอยกลับก่อนเอ่ยถาม “ไม่! พวกเราคิดติดตามท่านจาก
ทั้งหัวใจและจิตวิญญาณ ขอ นายท่านโปรดรับพวกเราไว้”
หลันเฟิ งจินยืนด้านข้าง คิ้วขมวดเอ่ยคํา “พวกเจ้าทั้งสามโดน ฉินหยุนทํา
สมองมีปัญหาหรือ? พวกเจ้าเป็นศิษย์ตําหนัก ตะวันออก มีอนาคต
สุกสว่างรออยู่ตรงหน้า แต่กลับคิดติดตาม เด็กน้อยเช่นนี้หรือ?”
“อาจารย์ป้าหมั่นโปรดเข้าใจ ท่านน่าจะทราบว่าอนาคตของ พวกเราใน
ตําหนักตะวันออกมีอย่างจํากัด! พวกเราต่างฝึกฝน พลังจิต แต่กลับไม่มี
อาจารย์ในตําหนักตะวันออกที่เชี่ยวชาญ ด้านนี้”
ต้าโหยวเอ่ยคํา “และแม้ฉินหยุนยังเยาว์ ทว่าการ ฝึกฝนพลังจิตของเขา
กลับแข็งแกร่งนัก หากพวกเราติดตาม ย่อมได้รับผลประโยชน์ ติดตามเขา
หาได้มีอันใดเสียหายไม่”
หลันเฟิ งจินตอบคํา “อยากทําอะไรก็ทํา มาดูกันดีกว่าว่าเจ้าหนู นี่จะตอบ
รับหรือไม่!” ต้าโหยวมองทางฉินหยุน คาดหวังได้รับคําตอบ ดวงตาฉิน
หยุนเบิกออกกว้าง เขายังไม่ทราบว่าควรตอบสนอง อย่างไร
“นี่ เป็นข้ายุ่งมาก ข้าไม่มีเวลาชี้แนะฝึกฝนแก่พวกเจ้า” ฉิน หยุนตอบ
“นอกจากนี้ ข้ายังไม่ชอบปัญหา ข้าชอบอยู่ลําพัง และเป็นอิสระ มันคง
ดีกว่าหากพวกเจ้าละทิ้งการตัดสินใจครั้งนี้”
“พวกเราจะไม่สร้างปัญหา พวกเราเพียงต้องการติดตาม กระทั่งว่าไม่
ชี้แนะแก่พวกเรา พวกเราก็จะไม่บ่นอันใดสักคํา! เมื่อท่านต้องการพวกเรา
พวกเราจะช่วยเหลือโดยตั้งใจรับฟัง อย่างแน่นอน” ต้าโหยวเร่งรีบกล่าว
หลันเฟิ งจินตบไหล่ฉินหยุน นางยิ้มให้
“เจ้าได้ยินหรือไม่? นี่ เป็นเงื่อนไขที่ดีนัก เจ้าไม่ต้องการหรือ?”
“เรื่องนี้ มันอาจดูจริงใจ แต่ความจริงใจนี้อาจเป็นการแสดง ได้” ฉินหยุน
รู้สึกยุ่งยากใจขึ้นมา เขาคิดอยากปฏิเสธผู้ติดตาม เขาในตอนนี้ไม่ต้องการ
ข้ารับใช้หรืออะไรทํานองนั้นเลยจริง ๆ ต้าโหยวกล่าวคํา
“นายท่าน พวกเราตัดสินใจแล้ว พรุ่งนี้เช้า พวกเราจะท้าประลองท่าน ให้
ท่านได้ชนะการแข่งขัน ให้ท่าน ได้รับแต้มเสวียน!” ฉินหยุนอึ้งไปวบ ราว
กับตนเองหูฝาดที่ได้ยินเช่นนี้
“พวกเราแต่ละคนมีห้าสิบล้านแต้มเสวียน หากท่านต้องการ พวกมัน พวก
เรายินดีท้าประลองท่านต่อเนื่อง จนกระทั่งแต้ม เสวียนของพวกเราเหลือ
ศูนย์!”
ฉินหยุนรู้สึกว่านี้ออกจะดีจนเกินไปแล้ว เขาพยักหน้ารับ “ข้า ตอนนี้ยัง
ไม่ได้ต้องการแต้มเสวียนมากมายเพียงนั้น เอาอย่างนี้ เป็นไร เจ้าท้า
ประลองต่อข้าในวันพรุ่งนี้ ให้ข้าได้รับสามล้าน แต้มเสวียน ถึงตอนนั้น ข้า
จะยอมรับพวกเจ้าให้ติดตามข้า”
พอสามพี่น้องได้ยินดังนี้ พวกเขาเผยสีหน้ายินดี จากนั้น พวก เขาตัดสินใจ
คุกเข่าลงข้างหนึ่ง กําหมัดประสานฝ่ามือต่อฉินหยุ นพร้อมตะโกน “รับ
บัญชานายท่าน!”
“พอแล้ว พอแล้ว... อย่าได้เรียกข้าเช่นนี้ต่อหน้าผู้อื่น! ใช่ ช่วย ข้า
ตรวจสอบเรื่องของโจวจงฮวยด้วย ยิ่งมีรายละเอียดมากยิ่ง ดี” ฉินหยุนก
ล่าว จากนั้น เขาพลันรู้สึกว่าสามพี่น้องนี้ออกจะมี ประโยชน์ไม่น้อย
“ขอรับ พวกเราไป!” หลังลุกขึ้นยืน พวกเขาจึงเร่งรีบไปจาก บ้านพัก
หลันเฟิ งจินหยอกล้อ
“นายท่านช่างน่าประทับใจนัก!” ฉินหยุนหัวเราะตอบ “เช่นนั้นหรือ งั้นจูบ
เป็นการแสดงความ จริงใจต่อข้า!”
“สารเลว!” หลันเฟิ งจินหัวเราะต่อว่า ก่อนกลับห้องของนางไป พักผ่อน ฉิน
หยุนไม่ได้เหนื่อย หลังกลับเข้าห้องตนเอง เขาจึงนําเอาผัง วิญญาณซักนํา
ดารา ที่หลันเฟิ งจินมอบให้ ออกมาพิจารณา ศึกษา ด้วยการกางอาคม
วิญญาณบรรจบเก้าตะวันบนพื้นและนั่งที่ ตรงกลางอาคม เขาจึงดูดกลืน
พลังวิญญาณเก้าตะวัน พร้อม กันนี้ก็สํารวจผังวิญญาณไปด้วย
ขณะเดียวกัน เขายังโคจรกําลังภายในเพื่อหล่อเลี้ยงวัชระไข กระดูก ด้วย
การบํารุงพลังภายในไปด้วย เป็นผลให้หัวใจของ เขาสั่นไหวขณะดูดกลืน
พลังภายใน เพื่อสร้างวัชระแก่นภายใน มันจําเป็นต้องใช้วัชระพลังภายใน
ปริมาณมหาศาล หากไม่มีเม็ดยาให้กิน ก็ต้องใช้เวลานานยิ่ง กว่าจะ
สําเร็จได้ ฉินหยุนใช้เวลาทั้งคืนศึกษาผังวิญญาณชักนําดารา ในช่วงเช้า
ของอีกวัน เขาก็ยังเต็มเปี่ยมด้วยพลังแม้ไม่ได้นอน
ขณะเดินทางไปยังโถงของสนามประลอง เขาพลันพบประกาศ แผ่นหนึ่ง
เป็นการแจ้งต่อเขา ว่าสามจรัสแสงจะท้าทายต่อเขา บอกให้เขาเตรียมตัว
รอไว้ได้เลย! ข่าวคราวนี้ถึงขั้นแพร่กระจายทั่วทั้งสนามประลอง! ก็เหมือน
อย่างเมื่อวาน ฝูงชนในสนามประลองเต็มแน่นด้วย ความตื่นเต้นคิดรับชม
เรื่องสนุก พวกเขาเชื่อว่าสามจรัสแสงท้า ทายฉินหยุนก็เพื่อล้างแค้นศึก
เมื่อวาน ฉินหยุนยังคงสงสัยต่อสามจรัสแสงอยู่
ทว่า หากผู้อื่นคิดร้าย จริง เขาก็ไม่มีอันใดให้ต้องกังวล นั่นก็เพราะเพียง
เขาใช้พลัง จิตที่แข็งแกร่งกว่า ก็จัดการสามพี่น้องได้อยู่แล้ว หลันเฟิ งจินท
ราบว่าฉินหยุนจะต้องชนะอย่างแน่นอน ดังนั้นจึง ลงเงินเดิมพันข้างเขาไป
มาก หากฉินหยุนชนะ จะเป็นนาง ได้รับผลกําไรก้อนใหญ่
“พี่หลัน นี่ท่านลงเดิมพันไปเท่าใดกัน?” เสวี่ยซือเยี่ยเมื่อวานนี้ กลับเข้า
ห้องไปก่อน จึงไม่ได้ทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้น
“ข้าวางเดิมพันไปสามร้อยล้านเหรียญผลึก หากฉินหยุนชนะ สนาม
ประลองจะจ่ายคืนให้ข้าหกร้อยล้านเหรียญผลึก” หลันเฟิ งจินยิ้มกล่าว
“ก่อนหน้านี้ฉินหยุนหยิบยืมข้าไปสาม ร้อยล้านเหรียญผลึก ตอนนี้เป็นข้า
ได้รับรางวัลคืนจากเขาแทน แล้ว” “ข้าเองก็วางเดิมพันไปห้าสิบล้าน
เหรียญผลึก หากชนะ ข้าจะ ได้รับหนึ่งร้อยล้านเหรียญผลึก”
แม้ใบหน้าเสวี่ยซือเยี่ยไม่มี รอยยิ้ม แต่ดวงตางดงามนั้นสุกสว่างและเปี่ยม
ด้วยความยินดี ไม่ใช่น้อย ครั้งนี้ ฝูงชนล้วนเชื่อว่าสามจรัสแสงจะต้องชนะ
อย่างแน่นอน นี่ก็เพราะพวกเขารู้สึกว่าความพ่ายแพ้เช่นเมื่อวานจะไม่
เกิดขึ้น อีก นอกจากนี้ พวกเขายังเป็นฝ่ายท้าทายฉินหยุน หมายความ ถึง
ความมั่นใจเปี่ยมล้นที่พวกเขามี ศึกฉินหยุนปะทะสามพี่น้อง ถูกกําหนดไว้
ในช่วงบ่าย เช่นเดียวกับเมื่อวันก่อน
ทุกคนต่างคาดหวังศึกนี้ของฉินหยุน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่คิด เสียเวลามา
ในช่วงศึกประลองตอนเช้า พอฉินหยุนเข้าสนาม ประลอง ทั่วทั้งสนาม
ประลองจึงค่อยเปี่ยมด้วยชีวิตชีวา เสียง โห่ร้องตะโกนสารพัดชนิดดังผ่าน
อากาศ สามจรัสแสงขณะนี้ขึ้นยืนบนลานประลองแล้ว ฉินหยุนไม่กล่าว
อันใด กลับกัน เขาใช้พลังจิตสนทนากับพวก เขาเป็นการลับ!
“นายท่าน วิญญาณยุทธ์ของโจวจงฮวยลึกลับยิ่ง แต่พวกเราก็ พอจะได้
เบาะแสมาบ้าง เดิมที่เขาถูกขังอยู่ในคุกใต้ดินของ ตําหนักดวงดาว
วิญญาณสีครามนานหลายปี แต่ตอนนี้เขาถูก ปล่อยก่อนกําหนดถึงหลาย
ปีด้วยกัน นั่นก็เพราะวิญญาณยุทธ์ ของเขาพิเศษยิ่ง”
ต้าโหยวใช้พลังจิตส่งเสียงไปยังฉินหยุน มี เพียงผู้ที่ฝึกฝนพลังจิตลํ้าเลิศจึง
สามารถสื่อสารกันด้วยวิธีนี้ได้ หากเป็นการส่งเสียงเข้าประสาทหูผู้อื่น
อาจถูกยอดฝีมืออื่น รบกวนได้
“แล้ววิญญาณยุทธ์ของเขาพิเศษอย่างไร?” ฉินหยุนยิ่งสงสัย มากขึ้น
“ข้าไม่อาจทราบ! แต่ว่า ข้าตั้งข้อสงสัยเอาไว้ วิญญาณยุทธ์ ของเขาอาจ
เป็นวิญญาณยุทธ์โทเทม หมายความถึงวิญญาณ ยุทธ์ของเขาได้ตื่นรู้ขึ้น
เป็นเพราะข้าได้ยินมาว่า โจวจงฮวยฝึก ฝนวิชายุทธ์โทเทมที่น่าสะพรึง
ในช่วงที่ถูกกักขัง”
ฉินหยุนพลันตระหนัก วิญญาณยุทธ์โทเทม เป็นอะไรที่คล้าย วิญญาณ
ยุทธ์สวรรค์ประทาน กล่าวได้ว่าหาพบยากยิ่ง ถึงตอนนี้ เขายิ่งเข้าใจ
พละกําลังของโจวจงฮวยลึกลํ้ามากขึ้น อีกฝ่ายเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาจริง

“นายท่าน มีข่าวลือเช่นกัน ว่าโจวจงฮวยมาที่สนามประลอง แห่งนี้เพราะ
ท่าน! เป็นเขาคิดจัดการท่าน ทําลายท่าน เพื่อให้ ได้รับภรรยาของนาย
ท่าน” ฉินหยุนคิ้วขมวด ใบหน้าดํามืดลง
วิญญาณยุทธ์ของเชี่ยวเย่ว์หลาน ก็ถือเป็นวิญญาณยุทธ์สวรรค์ ประทาน
ทั้งนางยังครอบครองเส้นวิญญาณเจ็ดตะวัน อัจฉริยะ หลายคนล้วนริษยา
นางกันทั้งสิ้น ทว่า พวกเขาต่างทราบ ว่าเชี่ยวเย่ว์หลานมีแต่ฉินหยุนใน
หัวใจ มีเพียงฉินหยุนตาย ผู้อื่นจึงค่อยแทรกแซงเข้าในหัวใจนางได้ พอ
ผู้ชมได้เห็นฉินหยุนและแฝดสามเงียบงันบนลานประลอง พวกเขาจึงคิด
กันไปเอง ว่าพวกเขากําลังจ้องมองหาโอกาสซึ่ง กันและกันอยู่ เรื่องนี้ยิ่งทํา
เอาพวกเขาตื่นเต้น
“คุกคามนัก ฉินหยุนไม่น่ารอดแล้ว ฮ่าฮ่า!”
“ครั้งนี้แหละ สามจรัสแสงต้องชนะ!” “เมื่อวานเสียไปเยอะ วันนี้ต้องถอน
ทุนคืนให้ได้!” หลายคนต่างยินดี พวกเขากําลังคาดหวังการประลองที่
ดุเดือด หลังเตรียมการเสร็จสิ้น กรรมการชราจึงประกาศเสียงดัง เริ่มต้น
การประลอง!
ก็เป็นดังเช่นเมื่อวาน ทันทีเมื่อการประลองเริ่มต้น สามจรัสแสง แยกตัว
ออก ปิดล้อมฉินหยุน ก่อนจะเริ่มการโจมตีรุนแรงเข้าใส่ แน่นอน ว่าไม่ได้
เป็นการโจมตีรุนแรงจริง พวกเขาหารือถึง วิธีการกันเรียบร้อยแล้วต่างหาก
การประลองนัดวันนี้ถือว่ายาวนานกว่าเมื่อวาน นอกจากนี้ วิธีการที่พวก
เขาใช้ต่อสู้กันยังเป็นไปอย่างดุเดือด ขณะที่เวลา ใกล้หมดลง ฉินหยุนพ
ลันใช้เสียงคํารามราชสีห์สวรรค์ จัดการ ส่งร่างสามพี่น้องกระเด็นลอยลิ่ว
ไปนอกลานประลอง! สามจรัสแสงแพ้ฉินหยุนอีกครั้งแล้ว!
ฝูงชนผู้ชมเริ่มสบถก่นด่า เพราะพวกเขาเสียเหรียญผลึกกันอีก ครั้งครา
แล้ว! ” ฉินหยุนชนะศึกประลองนัดนี้ ได้รับสามล้านแต้มเสวียน ตอนนี้
รวมแล้วมีทั้งสิ้นสิบล้านแต้มเสวียน เขาเร่งรีบไปยังโถงของสนามประลอง
นํ้าห้าแสนเหรียญผลึก ออกมา ท้าประลองโจวจงฮวย!
“หากเจ้าคิดต้องการท้าประลองโจวจงฮวย จําเป็นต้องรอสาม วัน นี่เป็น
สนามประลองระดับสูง เพราะนักสู้ระดับสูงค่อนข้าง กิจธุระเยอะ ดังนั้น
พวกเขาจึงไม่อาจมาถึงได้รวดเร็วนัก” ชาย ชรากล่าว
“รับทราบ สามวันก็สามวัน!” ครั้งนี้ ฉินหยุนไม่คิดพูดกับผู้ อาวุโสท่านนี้
มาก จัดการเรียบร้อยเขาจึงออกจากลานประลอง กลับไปยังบ้านพักริม
ธารนํ้า ในสนามประลองตอนนี้ ข่าวคราวที่ฉินหยุนท้าโจวจงฮวย ประลอง
แพร่กระจายยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง! โจวจงฮวยเป็นนักสู้ระดับสูงที่น่ากลัวไม่
น้อย
การปรากฏตัว ของเขา เป็นผลให้นักสู้ระดับสูงต้องตั้งกลุ่มกันกลุ่มแล้ว
กลุ่ม เล่า เพราะหากพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับโจวจงฮวยเพียง ลําพัง
โอกาสชนะแทบไม่มี กระทั่งเป็นกลุ่ม พวกที่อ่อนแอเกินไปก็ต้องแพ้พ่าย
ยกตัวอย่าง เสวี่ยซือเยี่ยและอีกสองคนที่เหลือ ต่างก็พ่ายแพ้แก่โจวจงฮวย
ฉินหยุนนั่งในห้องโถงของบ้านพัก รอคอยให้หลันเฟิ งจินและ เสวี่ยซื
อเยี่ยกลับมา
ผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมง หลันเฟิ งจินที่อารมณ์ดียิ่ง ฮัมทํานอง เพลงดังตั้งแต่
เข้ามาในห้องโถงพร้อมเสวี่ยซือเยี่ย ชั่วขณะที่ เข้ามา นางจึงเห็นฉินหยุน
จนแปรเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจัง “เจ้าหนู นี่เจ้าเป็นอะไรไป? ข้า พี่หลันผู้นี้
เพิ่งชนะสามร้อย ล้านเหรียญผลึกมาเชียวนะ!”
หลันเฟิ งจินยินดีนั่งขณะหัวเราะ ไปด้วย “วางใจได้ เมื่อถึงเวลาที่เจ้า
สังหารโจวจงฮวย ข้าจะมี เงินไปไถ่ตัวเจ้าออกมา”
เสวี่ยซือเยี่ยต่างคาดหวังศึกประลองระหว่างฉินหยุนและโจวจง ฮวย
เช่นกัน นางหาได้หวั่นเกรงแทนฉินหยุนไม่ เพราะหากฉัน หยุนสามารถ
รักษาวิญญาณยุทธ์ของนาง เขาย่อมต้องไม่หวั่น เกรงฝ่ามีอวิญญาณ
สัมบูรณ์ของโจวจงฮวยอย่างแน่นอน “พี่หลัน ต้าโหยวบอกต่อข้า ว่าโจว
จงฮวยมีวิญญาณยุทธ์โทเทม”
หลันเฟิ งจินพอได้ยิน นางพลันถอนรอยยิ้มที่ใบหน้า “ข้าไม่ได้ กลับตําหนัก
ดวงดาววิญญาณสีครามมาพักหนึ่งแล้ว ดังนั้นจึง ไม่ทราบอันใดนัก หาก
เป็นเช่นนี้จริง เจ้าต้องระมัดระวังให้มาก! เขาครอบครองวิญญาณยุทธ์โท
เทม ชัดเจนว่าเชี่ยวชาญวิชา ยุทธ์โทเทมด้วย”
“ข้าระวังแน่ เพียงแต่เป็นกังวลว่าหากสังหารมันทิ้ง จะ กลายเป็นเรื่อง
ใหญ่ขึ้นมา อย่างไรแล้วมันก็เป็นคนที่ ครอบครองวิญญาณยุทธ์โทเทม”
ฉินหยุนถอนหายใจกล่าว “มันอาจกระทั่งส่งผลกระทบต่อท่าน!” หลันเฟิ ง
จินส่ายศีรษะให้ฉินหยุน นางหัวเราะเบารับคํา
“วางใจ ได้ ไปสู้เถอะ ข้า พี่หลันของเจ้า แข็งแกร่งยิ่ง ไม่มีทางโดน ร่างแห
เพราะเรื่องแค่นี้!”

“อาจารย์ตู้! เหตุใดท่านมาที่นี่ขอรับ?” ฉินหยุนเร่งรีบเดินเข้า ไปเชื้อเชิญ
ผู้ก่วยเข้าในห้องโถงหลักของบ้านพัก หลันเฟิ งจินรีบกล่าวคํา “ผู้อาวุโสตู้
ยินดีที่ได้พบ ศิษย์ของท่าน อยู่ที่นี่สบายดี ท่านโปรดวางใจ!”
ตู้ก๋วยยิ้มรับ “ข้าไม่คิดกังวลเรื่องนั้น แต่ก็ต้องกังวลเพราะเจ้า หนูนี่”
ฉินหยุนเม้มริมฝีปาก “อาจารย์ ข้าตกอยู่ในปัญหาหรือขอรับ?”
ตู้ก่วยนั่งลงก่อนถอนหายใจ “เจ้าท้าประลองโจวจงฮวยหรือ ไม่ใช่?”
หลันเฟิ งจินและเสวี่ยซือเยี่ยแลกเปลี่ยนสายตากัน พวกนางไม่ เคยคิด ว่า
ตู้ก๋วยจะมาเพราะเรื่องนี้ พวกนางรู้สึกว่าฉินหยุน สามารถจัดการโจวจง
ฮวยได้ง่ายดาย ดังนั้นจึงไม่เข้าใจว่าเหตุ ใด ตู้ก๋วยจึงกังวลเรื่องนี้ “ใช่
ขอรับ มีอะไรหรือ?”
ฉินหยุนบังเกิดความสับสนขึ้นมา “ข้า อยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่แปด
แล้ว เขาเองก็อยู่ขอบเขต กายวรยุทธ์ระดับที่แปด... อาจารย์ ท่านน่าจะ
ทราบพละกําลังของข้าเป็นอย่างดี มีผู้ฝึกตนระดับเดียวกันน้อยนิดที่
สามารถ จัดการข้าได้!”
ตู้ก๋วยส่ายศีรษะ “หากโจวจงฮวยอยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับ ที่แปด ข้า
ย่อมไม่เป็นกังวล ทว่า เขาอยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ ระดับที่เก้า เป็นข้าได้ยิน
จากสหายเก่า เขาเป็นคนที่อยู่ในลาน ประลอง ข้อมูลจึงรวดเร็ว โจวจง
ฮวยตั้งใจเก็บงําพละกําลัง แท้จริงเอาไว้เป็นอย่างดี” โจวจงฮวย แท้จริง
แล้วเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เก้า!
“ฉินหยุน นี่ยังไม่สายเกินไปหากคิดยกเลิกการท้าประลอง!” ตู้ก่วยกล่าว
“ข้ามาที่นี่ เพราะคิดบอกเรื่องนี้ต่อเจ้า!”
หลันเฟิ งจินเอ่ยถาม “ผู้อาวุโสตู้ ฉินหยุนคิดสู้จริงก็ไม่น่าเป็นไร ต่อให้ไม่
อาจจัดการโจวจงฮวยได้ เขาก็ไม่มีทางเกิดอันใด ผิดพลาดขึ้น!”
“ดูเหมือนเจ้าวางแผนเข้าห้องขังไว้แล้ว!” ตู้ก๋วยพิจารณาจาก ท่าที่ ราวกับ
ฉินหยุนไม่ลังเลคิดเข้าร่วมการประลองยุทธ์ครั้งนี้ แต่อย่างใด เสวี่ยซือเยี่ย
และหลันเฟิ งจินทราบนิสัยของฉินหยุนเป็นอย่างดี เป็นไปไม่ได้ที่ฉินหยุน
จะยอมยกเลิกการท้าประลองตอนนี้ พวก นางยังรู้สึกเช่นกันว่า ต่อให้ฉิน
หยุนทําพลาด เขาก็ไม่มีทางพ่าย แพ้อย่างหมดรูป ตู้ก่วยมองฉินหยุน และ
กล่าวด้วยนํ้าเสียงกังวล
“เจ้าสามารถ ลองดูได้! แต่เจ้าต้องจําเอาไว้ อย่าปล่อยให้วิญญาณยุทธ์
ของ เจ้าบาดเจ็บอีก คู่ต่อสู้มีฝ่ามือวิญญาณสัมบูรณ์ที่น่ากลัวนัก ตอนนี้
เจ้าเองก็ทราบแล้วว่าเขาอยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่ เก้า สมควรเตรียม
ตัวไว้”
“ขอรับ ข้าจะจดจําคําของอาจารย์ไว้” ฉินหยุนพยักหน้ารับ จริงจัง
“อาจารย์ หากข้าใช้เคล็ดวิชารวมจิตวิญญาณสังหาร เพื่อรับศึกกับโจวจง
ฮวย เรื่องนี้เหมาะสมหรือไม่ขอรับ?”
ตู้ก่วยตอบจากใจจริง “ทุกคนต่างรู้ว่าเจ้าเป็นศิษย์ข้า และพลัง จิตของเจ้า
ยังแข็งแกร่งมหาศาล โจวจงฮวยไม่ใช่คนโง่ เขาย่อม ต้องป้องกันแต่
แรกเริ่มแน่ ดังนั้นดีที่สุดคืออย่าได้มั่นใจ จนเกินไปที่จะโจมตีเขาด้วยพลัง
จิต”
“มันไม่ใช่ว่าการโจมตีทางพลังจิตไม่ทรงพลัง แต่โจวจงฮว ยย่อมสวมใส่
อุปกรณ์วิญญาณป้องกันการโจมตีทางจิต เจ้าต้อง เข้าใจว่า ครั้งโจวจง
ฮวยสังหารศิษย์กว่าสิบคนในสํานักอย่างไร้ ซึ่งเหตุผล เขาโดนลงโทษหนัก
หนา ตอนนี้เขาถูกปล่อยตัว ย่อม ต้องมีความลับอะไรซุกซ่อนอยู่แน่”
หลันเฟิ งจินพยักหน้ารับ “หากข้ามีเวลา คงเดินทางกลับ ตําหนักดวงดาว
วิญญาณสีครามเพื่อตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว ข้า เองก็คิดว่าเรื่องนี้ไม่
ธรรมดา”
“การประลองระหว่างฉินหยุนและโจวจงฮวยจะเริ่มในอีกสาม วัน ด้วย
ความเร็วระดับเจ้า น่าจะพอให้ไปกลับรอบหนึ่งได้! เจ้า วางใจ แม้เจ้า
ไม่ได้อยู่ที่นี่ ฉินหยุนก็ไม่เป็นไร” ตู้ก๋วยหัวเราะ
“มีเพียงเจ้าจึงสามารถสืบสาวหาสาเหตุเบื้องหลังการกระทํา ของโจวจง
ฮวยได้”
“โจวจงฮวยจะรับการท้าประลองครั้งนี้ในอีกสามวัน เรื่องนี้ผู้ อาวุโสมั่นใจ
ได้อย่างไรว่าเขาจะตอบรับในวันที่สาม?” หลันเฟิง จินเป็นกังวล ว่ามัน
อาจเริ่มพรุ่งนี้ หรือวันมะรืน หากนางไม่อยู่ ฉินหยุนจะไม่มีทางรอดพ้นจาก
สถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น ตู้ก๋วยยิ้ม
“นั่นก็เพราะข้าได้ข่าว ว่าพวกตาเฒ่าที่ตําหนัก ดวงดาววิญญาณสีคราม
จะมาด้วย พวกเขาตระหนักถึงการ ประลองระหว่างฉินหยุนและโจวจง
ฮวยไม่น้อย หากพวกเขามา ที่นี่ อย่างน้อยก็อีกสองหรือสามวันนั่นแหละ”
ตําหนักดวงดาววิญญาณสีครามค่อนข้างเป็นกังวลกับการ ประลองยุทธ์
ครั้งนี้ ทําเอาหลั่นเฟิ งจินและเสวี่ยซือเยี่ยยิ่งรู้สึก ว่าโจวจงฮวยมาเพื่อ
พิฆาตฉินหยุน
“เอาตามนี้ ข้าจะกลับตําหนักดวงดาววิญญาณสีครามโดย ทันที!”
หลันเฟิ งจินก้าวเดินออกจากบ้านพักทันทีเมื่อกล่าวคํา จบ เป็นนางไปจาก
สถาบันยุทธ์ชิงเสวียนด้วยความเร่งรีบ
“ฉินหยุน ข้าเองก็จะไปแล้ว เตรียมตัวรับเรื่องราวในอีกสอง หรือสามวันให้
ดี” ผู้ก่วยตบไหล่ฉินหยุน จากนั้นจึงเดินออกไป จากสถาบันเทียนเจียว
เสวี่ยซือเยี่ยกล่าว
“ฉินหยุน เป็นไปได้หรือไม่ว่า ตําหนักดวงดาววิญญาณสีครามจงใจปล่อย
โจวจงฮวยออกมากําจัด เจ้า? เป็นไปได้ว่า พวกเขาอาจกังวลที่เจ้าจะโค่น
ล้มเชี่ยวหยาง ลงจากการท้าทายครั้งก่อนหน้า ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มเล็ง
เป้าหมายมาที่เจ้าเสียแต่ตอนนี้?”
“เรื่องนี้ข้าไม่มั่นใจนัก ไว้พี่หลันกลับมาเรื่องราวจะกระจ่าง! ข้า ได้แต่ใช้
เวลาที่มีฝึกฝนเตรียมตัวให้ดีที่สุด ซื้อเยี่ย วิญญาณยุทธ์ ของเจ้าก็ทํานุ
บํารุงมันให้ดี อย่าได้ปล่อยให้วิญญาณยุทธ์ขาด การบํารุงจนบาดเจ็บอีก
ละ” ฉินหยุนกล่าว
“ได้ ข้าเข้าใจแล้ว!” พวกเขาล้วนกลับห้องตัวเอง เริ่มการฝึกฝนเก็บตัว ฉิน
หยุนคุ้นเคยกับวิชายุทธ์ทรงพลังจํานวนมาก ยกตัวอย่าง วิชายุทธ์ระดับ
ลึกลํ้า เคล็ดวิชาคลื่นยักษ์ มังกรหลอมหกกระบวน วิชาวายุสังหาร หมัด
อ่อนเปลวเพลิง และวิชาระเบิด ปราณ หากเขาใช้กําลังภายในซึ่งแข็งแกร่ง
ที่สุด ปลดปล่อยวิชายุทธ์ ออก เขาจะสามารถระเบิดพลังอันรุนแรงออกได้
ในทันที! “หมัดอ่อนอัคคี และก้าวอัคคีเมฆา ทั้งคู่เป็นวิชายุทธ์ระดับสูง เรา
เชี่ยวชาญถึงขั้นสมบูรณ์แล้ว แต่ยังไม่มีหนทางก้าวถึงขั้น สมบูรณ์แบบ
ของสองวิชานี้ หรือจะเป็นว่าสองวิชายุทธ์นี้ไม่มี ขั้นสมบูรณ์แบบคงอยู่
จริง?”


หลังฝึกฝนทรหดกว่าสองวัน ในที่สุดฉินหยุนก็ใช้ขุมพลังภายใน ขั้นสูงที่
เก็บสํารองเอาไว้กับวิชาระเบิดปราณ เป็นผลให้มัน ก้าวหน้าสู่ขั้นสมบูรณ์
แบบ “หากไม่ใช่เพราะเราตั้งเป้าเอาไว้สูง เราจะไม่มีทางคิดเลยว่า จะใช้
ขุมพลังภายในขั้นสูงกับวิชายุทธ์ได้”
ในตอนแรก ฉินหยุนคิดว่าสมควรเป็นเรื่องยากเย็น เขาไม่ได้คิดแต่แรกว่า
จะสําเร็จ ได้ตามที่คาดหวังไว้ กระทั่งว่าเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตวรยุทธ์เต๋า ก็
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะ เชี่ยวชาญวิชายุทธ์ถึงขั้นสมบูรณ์ ส่วนขั้นสมบูรณ์แบบ
ยิ่งไม่ ต้องกล่าวถึง อย่างมาก พวกเขาเพียงผสานพลังภายในกับกําลัง
ภายใน หรือไม่ก็วัชระกําลังภายใน เพื่อทําให้วิชายุทธ์แข็งแกร่งขึ้นเท่า
นั้นเอง ผู้ฝึกตนหลายคนที่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เก้า
ไม่เหมือน อย่างฉินหยุน ผู้ซึ่งสามารถใช้กําลังภายในบริสุทธิ์หรือวัชระ
กําลังภายในเพื่อปลดปล่อยวิชายุทธ์ ส่วนใหญ่พวกเขาเพียงแต่ ใช้กําลัง
ภายในปลดปล่อยวิชายุทธ์กันเท่านั้นเอง หลายผู้คนไม่อาจใช้พลังได้อย่าง
เป็นธรรมชาติ หากพวกเขาฝืน ใช้วัชระกําลังภายใน อาจเป็นการทําร้าย
ตนเอง ด้วยเหตุนี้ ความรู้และเข้าใจในวิชายุทธ์จึงเป็นสิ่งสําคัญ มันจะ ทํา
ให้ผู้ฝึกตนสามารถเข้าใจวิธีการฝึกวิชายุทธ์ได้ดีขึ้น สามารถหลอมรวม
และปรับให้เหมาะกับร่างกาย และวิธีการใช้งานพวก มันออกได้อย่าง
เหมาะสม
นี่เองจึงเป็นเหตุผลว่าทําไมฉินหยุนจึงแข็งแกร่ง เมื่อใช้วิชา ยุทธ์ เขา
สามารถใช้วัชระกําลังภายในปลดปล่อยออก จุดนี้ถือ ว่าเหนือลํ้ากว่า
หลายผู้คน และตอนนี้ ฉินหยุนสามารถใช้ขุมพลังภายในขั้นสูง
หมายความถึงพลังอํานาจจะยิ่งน่าสะพรึง น่าเสียดายที่เขาเพิ่ง ควบแน่น
วัชระแก่นภายใน ขุมพลังภายในขั้นสูงจึงมีอย่าง จํากัด “วิชายุทธ์ขั้น
สมบูรณ์ก็น่าจะเป็นเช่นเดียวกัน มันก็เหมือน ความแตกต่างระหว่างวิธี
ฝึกฝนพลังภายในและพลังจิต เฉินหยุนคิดทดลอง เขารู้สึกว่าตนสามารถ
ใช้ขุมพลังภายในขั้นสูงเพื่อเรียกใช้วิชาวายุสังหารได้ ทว่า ขุมพลังภายใน
ขั้นสูงของเขามีน้อยนิด จึงไม่อาจใช้ได้แม้ หนึ่งกระบวนท่า
วิชาระเบิดปราณถือว่าพิเศษ มันเป็นการควบแน่นพลังภายใน และ
ปลดปล่อยออกเป็นการระเบิด ด้วยการควบแน่นของขุม พลังอันแข็งแกร่ง
มันจึงมีพลังอันแข็งแกร่งตามไปด้วย เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีอันใดผิดพลาด
ฉินหยุนฝึกฝนอยู่หลาย ครั้ง ด้วยการรวบรวมพลังภายในสู่แขนราชสีห์
สวรรค์ จนกระทั่งเขารู้สึกสามารถใช้พวกมันออกได้โดยทันที นั่นจึง เป็น
สภาพเหมาะสมแก่การใช้วิชาระเบิดปราณ แขนราชสีห์สวรรค์ ได้รับการ
หล่อเลี้ยงโดยโลหิตราชสีห์สวรรค์ มันมีความทนทานเป็นอย่างยิ่ง มัน
สามารถทานทนต่อพลังการ ระเบิดของพลังภายในได้โดยไม่ส่งผลกระทบ
ต่อร่างกาย
หากฉินหยุนไม่มีแขนราชสีห์สวรรค์ เขาจะไม่กล้าใช้ขุมพลัง ภายในขั้นสูง
เพื่อปลดปล่อยการระเบิดออก มันจะกลายเป็นเขา ทําลายแขนตนเอง
สามวันผ่านพ้น ช่วงเช้าของวันนี้ การประลองระหว่างฉินหยุนและโจวจง
ฮวย จะเริ่มต้นขึ้น
ตั๋วเข้าชมสนามประลองราคาพุ่งทะยานฟ้า พวกมันถูกขาย ออกถึงใบละ
สองหมื่นเหรียญผลึก! สนามประลองคับคั่ง เป็นวันนี้ทางสนามประลอง
ได้รับเงินค่า เข้าชมอย่างทะลุเพดาน เสวี่ยซือเยี่ยไม่ได้อยู่ในบ้าน นางเร่ง
รีบออกไปซื้อตั๋วเข้าชมก่อน แล้ว นางต้องการซื้อสองใบเพื่อให้หลันเฟิงจิ
นด้วย หลังฉินหยุนลุกจากเตียง เขามีท่าทีสงบ เดินไปชําระล้าง ใบหน้า
สวมใส่ชุดหนังสีนํ้าตาล มันเป็นอุปกรณ์ผังธาตุแสง ขณะเดินมุ่งหน้าไป
สนามประลอง เขายังเป็นกังวลภายในใจ เพราะจนถึงวันนี้ หลันเฟิงจินยัง
ไม่กลับมา
ตอนที่ 248 โจวจงฮวย
หลันเฟิ งจินเร่งรีบเดินทางกลับตําหนักดวงดาววิญญาณสีคราม ก็เพราะ
สืบสาวเรื่องราว ว่าเหตุใดโจวจงฮวยจึงถูกปล่อยตัว จากข้อมูลที่ฉินหยุน
และคณะมี โจวจงฮวยมาก็เพราะเขา ทว่า เบื้องหลังโจวจงฮวย กลับมี
ความมืดคงอยู่!
“ตําหนักดวงดาววิญญาณสีคราม ช่างเป็นสถานที่ลึกลับ แท้จริง” ยิ่งฉิน
หยุนคิดเพียงใด เขาก็ยิ่งพบว่ามันแปลกมากขึ้น เท่านั้น
ประตูจารึก ไม่ต้องสงสัยว่านั่นคือรากฐานของตําหนักดวงดาว วิญญาณสี
คราม หลายปีมาแล้ว ไม่มีผู้ใดสามารถผ่านการ ทดสอบของประตูจารึก
ชัดเจนว่าเบื้องหลังต้องมีความลับซ่อน
“ผู้ก่อตั้งตําหนักดวงดาววิญญาณสีคราม ราชันยุทธ์หลันเซียว จะต้องมี
ความเชื่อมโยงถึงหลุมฝังเซียน! บางทีความลับนั้นอาจ ซุกซ่อนเอาไว้ใน
ประตูจารึก”
ขณะฉินหยุนก้าวเดิน เขาไม่ได้คิดถึงการแข่งขันในวันนี้เลยแม้ สักนิด
กลับเป็นเขา ครุ่นคิดถึงหลายเรื่องที่ต้องการทราบ ยกตัวอย่าง สถาบัน
ยุทธ์ชิงเสวียนแห่งนี้ก็มีความลับอยู่ไม่น้อย เป็นเขารู้สึกเลือนราง ว่า
ความลับทั้งหมดมีความข้องเกี่ยวถึง กัน
ในสนามประลอง ฝูงชนส่งเสียงร้องดังกันไม่หยุด นับเป็นวันที่มี ชีวิตชีวา
ยิ่ง อาจารย์หลายท่าน รวมถึงผู้อยู่ขอบเขตวรยุทธ์เต ล้วนมา รับชมเรื่อง
สนุกกันทั้งสิ้น ด้วยการประลองระหว่างฉินหยุนจะโจวจงฮวยจะจัดขึ้น
ในช่วง บ่าย ตอนนี้เพียงเช้าตรู่เท่านั้น พวกเขาจําเป็นต้องรอกันสี่ถึง หก
ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย
พอฉินหยุนเข้าสู่สนามประลอง เขาสัมผัสได้ถึงออร่าทรงพลัง มากมาย
เหล่านี้จํานวนหนึ่งเป็นคนของตําหนักดวงดาว วิญญาณสีคราม เป็นดังที่
ตู้ก๋วยว่า ยอดฝีมือหลายคนของ ตําหนักดวงดาววิญญาณสีครามต่างมา
ที่นี่ ขณะก้าวเดินผ่านเส้นทางมุ่งหน้าสู่สนามประลอง ฉินหยุนจึง เห็นห
ลันเฟิ งจิน
“พี่หลัน ในที่สุดก็กลับมา!” ฉินหยุนยิ้มกล่าว ตอนนี้เขาค่อย วางใจได้แล้ว
“ว่าอะไร? เจ้าคิดว่าข้าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้นที่ตําหนักดวงดาว วิญญาณสี
ครามหรือ?”
หลันเฟิ งจินยิ้ม จากนั้นสีหน้า แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด นางกล่าว “ฉิน
หยุน ข้าได้ยินเรื่อง ใหญ่ตอนเดินทางกลับ” “เกี่ยวข้องกับโจวจงฮวยหรือ
ขอรับ?”
ฉินหยุนเอ่ยถามก่อนจะ หันมองรอบด้าน ตรงนี้มีคนอยู่จํานวนมาก ไม่
ค่อยสะดวกให้ พูดกล่าว
หลันเฟิ งจินพยักหน้ารับ นําฉินหยุนสู่โถงสนามประลองและ หยิบยืมห้อง
ส่วนตัว ภายในห้อง สีหน้าหลันเฟิ งจินยิ่งเคร่งเครียด ก่อนหน้า นางยัง ไม่
กังวลใดถึงการประลองระหว่างฉินหยุนและโจวจงฮวย เพราะหากฉินหยุน
ไม่อาจจัดการอีกฝ่าย เขาก็ยังมีทางให้ถอย แต่ตอนนี้ นางไม่คล้ายคิด
เช่นนั้น “ฉินหยุน วิญญาณยุทธ์ของโจวจงฮวย เป็นวิญญาณยุทธ์โทเทม
จริง มันตื่นรู้ขึ้นมาทีละน้อยหลังเขาถูกกักขังในคุกใต้ดิน”
หลันเฟิ งจินคิ้วขมวดเผยดวงตาเป็นกังวล “เหตุใดเจ้าไม่ยกเลิก การ
ประลองครั้งนี้เสียเล่า?” ฉินหยุนยิ้มรับ
“พี่หลัน ข้าเองก็มีวิญญาณยุทธ์โทเทม และ วิญญาณยุทธ์โทเทมของข้า
จะไม่พ่ายต่อเขา!”
หลันเฟิ งจินถอนหายใจ “แต่เจ้าต้องรู้เรื่องนี้ ในตอนนี้ ตําหนัก ดวงดาว
วิญญาณสีครามให้ความสนใจโจวจงฮวยเป็นอย่างยิ่ง เหตุผลที่ปล่อย
โจวจงฮวยออกมาก็เพื่อให้ท้าทายเจ้า! ศิษย์ของ ตําหนักดวงดาววิญญาณ
สีครามจํานวนมาก ต่างต้องทุกข์ยาก ด้วยมือเจ้า หากพวกเขาไม่มีความ
มั่นใจ พวกเขาไม่มีทาง ปล่อยโจวจงฮวยออกมาแน่!”
“เหตุผลที่ส่งโจวจงฮวยออกมา ก็เพื่อท้าทายเจ้า แต่ไม่ใช่เพียง ล้างแค้น
เจ้าอย่างเดียว แต่มัน... พวกมันต้องการให้โจวจงฮว ยกลืนกินโทเทมของ
เจ้า!”
ฉินหยุนตระหนก ตัวเขายังเกิดความคิด คิดอยากแยกเอา วิญญาณยุทธ์
โทเทมของโจวจงฮวยออกมา เป็นเขาไม่คาดคิด ว่าผู้อื่นจะครอบครอง
ฝีมือลึกลํ้าเพียงนี้ด้วย
“กลืนกินหรือ? กลืนกินได้อย่างไร? ข้าเพียงแค่ต้องระวังมาก ขึ้น!” ฉินหยุน
หาได้ใส่ใจไม่
“เรื่องนี้ไม่อาจต่อต้าน ตําราโบราณหลายเล่มเกี่ยวข้องกับโท เทม กล่าวว่า
หากสองผู้ครอบครองวิญญาณยุทธ์โทเทมต่อสู้ โท เทมที่พ่ายแพ้ จะออก
จากร่างของเจ้าของ และเข้าสู่ร่างของผู้ ได้รับชัยชนะ” หลันเฟิ งจินสาย
ศีรษะ
“เรื่องนี้ไม่ง่ายดังเจ้าคิด! เขามีวิญญาณ ยุทธ์โทเทม แต่เจ้าไม่มี กระทั่งว่า
เจ้าชนะ เจ้าก็ไม่มีทางได้รับรอยสักโทเทมจากเขา แต่หากเจ้าแพ้ โทเทม
ราชสีห์สวรรค์ที่ เจ้าภูมิใจจะถูกชิงเอาไป”
ฉินหยุนไม่ทราบเรื่องนี้ เขา ผู้ซึ่งนั่งเก้าอี้ พลันลุกพรวดยืนขึ้น เดินไปมาใน
ห้อง สีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง “ในเมื่อพวกมันมาที่นี่เพราะเหตุนี้ จะมีการ
โกงหรือไม่? เป็นข้า กังวลเรื่องนั้นมากกว่า!”
ฉินหยุนกล่าว “หากพวกมันมาด้วย เจตนาไม่ดี ข้าย่อมไม่อาจจัดการพวก
มันได้โดยง่าย!”
หลันเฟิ งจินตอบกลับ “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องห่วง ผู้อาวุโส อาจารย์ และผู้
อาวุโสอีกหลายท่านของสถาบันยุทธ์ชิงเสวียน ล้วนอยู่ข้างเจ้า หากโจวจง
ฮวยคดโกง เขาย่อมไม่อาจทําสําเร็จ ทว่า ข้ายังแนะนําให้เจ้าล้มเลิกการ
ต่อสู้กับโจวจงฮวยออกไป ก่อน ตําหนักดวงดาววิญญาณสีครามตอนนี้
กระหายอย่างยิ่งที่ จะเห็นโจวจงฮวยดูดกลืนโทเทมเจ้าไป”
ฉินหยุนหัวเราะภายใน เพราะเป็นเขากระหายได้รับวิญญาณ ยุทธ์โทเทม
ของโจวจงฮวยมากกว่า มันจะช่วยส่งเสริมเขาครั้ง ใหญ่เลยทีเดียว
“พี่หลัน ขอบคุณท่านที่ช่วยสืบสาวเรื่องนี้ ข้าจะต้องชนะ! ถึง ตอนนั้น จะ
กลายเป็นข้าต้องให้ท่านนําหลายร้อยล้านเหรียญ ผลึกเพื่อไถ่ตัวข้าแล้ว”
ฉินหยุนยิ้มกล่าว หลันเฟิ งจินพอได้เห็นฉินหยุนยังมีสีหน้าผ่อนคลาย นาง
ยิ่ง สับสน นางคิดว่าฉินหยุนสมควรกลายเป็นหวาดกลัวเพราะ เรื่องพวกนี้
เสียอีก “เจ้าหนูนี่ ได้เห็นเจ้าอวดดีเพียงนี้ เจ้ามั่นใจหรือว่าชนะได้?”
ฉินหยุนยิ้ม “พวกเราไม่ได้ไปตําหนักจารึกเทวะโดยเปล่า เม็ด ยาวิญญาณ
รวมพลังงาน ช่วยส่งเสริมข้าไม่ใช่น้อย ฮี่ ท่าน รอดูจะดีกว่า!”
หลันเฟิ งจินไม่กล่าวอันใด นางพลันรู้สึกว่าฉินหยุนมีพละกําลัง เก็บซ่อน
เอาไว้ไม่ใช่น้อย เพราะเหตุนี้เขาจึงมีความมั่นใจ ฉินหยุนรอคอยในห้อง ให้
นัดประลองเริ่มขึ้น ขณะที่หลันเฟิง จินไปส่วนที่นั่งคนดูแล้ว ช่วงบ่าย ฉิน
หยุนได้ยินเสียงชายชราตะโกนจากสนามประลอง เป็นเสียงเรียกเขา
และโจวจงฮวยให้ขึ้นสู่ลานประลอง
ฉินหยุนก้าวเดินออกจากห้องพัก เข้าสู่ทางเดินมุ่งหน้าไปยัง ด้านในสนาม
ประลอง หลังเดินออกสู่ที่กว้าง เขาจึงได้เห็นที่นั่ง ผู้ชมในสนามประลอง
หลายต่อหลายคนที่สวมใส่ชุดหรูหรา ล้วนครอบครองออร่าทรงพลัง ขณะ
เดินขึ้นลานประลอง เขามองแถวหน้าของที่นั่งคนดู หลาย ใบหน้าต่าง
คุ้นเคย ส่วนใหญ่มาจากตําหนักดวงดาววิญญาณสี คราม กระทั่งเชี่ยวห
ยางหลงก็มา
“อาจารย์หยางก็มา แต่เย่ว์หลานไม่” ฉินหยุนรู้สึกว่าน่า เสียดาย หากเชี่ยว
เย่ว์หลานมา เขาคิดอยากทดลองสิ่งที่ค้างคา เป็นเขาต้องการทราบว่า
สามารถติดต่อเซี่ยฉีโหรวได้หรือไม่
พอจ้าวฉวนรับรู้ข่าวคราวนี้ เขาเร่งรีบมาโดยทันที มีเพียงเขา และหลันเพิ่ง
จินที่ทราบ ว่าฉินหยุนเป็นอาจารย์จารึกระดับสูง เขาถือเป็นตัวตนที่
ทรงคุณค่า เป็นเขาไม่ปรารถนาได้เห็นฉัน หยุนถูกทําลายที่นี่ โจวจงฮวยก็
ปรากฏกายแล้ว!
บรรดาศิษย์ทั้งหมดของตําหนักดวงดาววิญญาณสีครามในที่นั่ง คนดู
ฉับพลันระเบิดเสียงคําราม เป็นการเสริมความองอาจ ให้แก่โจวจงฮวย
โจวจงฮวยเป็นชายร่างเตี้ย ผิวหนังขาวซีดจนน่ากลัว ใบหน้า นั้นผอมบาง
และเย็นชา แสงชวนขนลุกปรากฏในดวงตา จิต สังหารคุกคามรุนแรง เป็น
ผลให้หลายคนที่นี่รู้สึกไม่ใคร่สบายนัก
แม้เขาสวมใส่ชุดเข้ารูปหรูหราสีนํ้าเงิน แต่ก็ยังให้ความรู้สึกถึง สัตว์ดุร้าย
ในคราบมนุษย์
กระทั่งฉินหยุน ผู้ผ่านร้อนหนาวมามาก ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึก เย็นเยือกใน
หัวใจยามได้เห็นบุคคลตรงหน้า เป็นเขารู้สึกถึง ร่องรอยความหวาดกลัว
โดยเฉพาะเมื่อผู้อื่นจ้องมองที่เขาด้วยดวงตาเย็นชาและดุร้ายคู่ นั้น หัวใจ
ของเขายิ่งเต้นรัว ราวกับมันกําลังจะถูกกลืนกินทั้ง เป็น
“ชายคนนี้อันตรายนัก ไม่หลงเหลือความเป็นคนแล้ว!” ฉินหยุนพลันเข้าใจ
ว่าเหตุใดหลันเฟิ งจนอยากให้เขายกเลิกการ ประลองนัดนี้ มันเป็น
เพราะโจวจงฮวยน่าสะพรึงอย่างที่ไม่ใช่ มนุษย์ อย่างกะทันหัน ฉินหยุนนึก
ย้อนถึงสิ่งที่ชายชราในตําหนัก ดวงดาววิญญาณสีครามกล่าว หากคนผู้
หนึ่งครอบครองโทเทม และโทเทมไม่มีวิญญาณ เช่นนั้นพวกเขาจะถูกโท
เทมกลืนกิน ไปทีละน้อย แปรเปลี่ยนให้กลายเป็นคนคลั่ง และกระหาย
เลือด อย่างไร้สติ เป็นเขาสงสัยว่า โจวจงฮวยที่เห็นตรงหน้า คือผู้ที่โดนโท
เทมไร้ วิญญาณควบคุม ตอนนี้วิญญาณโทเทมตื่นขึ้น เขาจึงกลับเป็น
ปกติอย่างฉิวเฉียด แต่ความโหดเหี้ยมที่หลงเหลือแต่เดิม มัน สามารถ
ปะทุออกได้ทุกเมื่อ
“ตําหนักดวงดาววิญญาณสีครามคิดต้องการโทเทมของเรา ขนาดที่ปล่อย
คนโหดเหี้ยมเช่นนี้ออกมาต่อสู้? ช่างเป็นกลุ่มคน บ้าไร้สติยิ่งนัก!”
ฉินหยุนอุ่นเคืองขณะมองที่ในดวงตาของ โจวจงฮวย เขารู้สึกอย่างชัดเจน
ว่าโจวจงฮวยตรงหน้าตนผู้นี้อันตราย อย่างยิ่ง เขากลายเป็นมนุษย์ผู้ชั่ว
ร้าย โหดเหี้ยมยิ่งกว่าสัตว์ อสูร ด้วยคนที่ชั่วร้ายแต่เดิมทว่าโหดเหี้ยมมาก
ขึ้น มันยิ่งน่าสะพรึงมากขึ้น
“ฉินหยุน หลังพวกเราประมือกันแล้ว ชื่อเสียงและเกียรติยศ ของเจ้า จะถูก
ส่งต่อมายังข้า เชี่ยวเย่ว์หลานก็จะตกเป็นของข้า เช่นเดียวกัน” มุมปาก
ของโจวจงฮวยยกยิ้มชั่วช้า ดวงตานั้น เผยแสงชวนสะพรึงดุดันออกมา
“ชื่อเสียงและเกียรติยศของข้าหรือ? ข้าหาได้เคยใส่ใจเรื่องพวก นั้นไม่ แต่
เป็นเจ้าที่ใส่ใจ ก่อนหน้านี้เป็นข้าประเมินเจ้าสูง เกินไป! ตอนนี้ ส่วนที่น่า
ภาคภูมิที่สุดของข้าคือวิถีจารึกแห่งเต๋า เจ้าไม่เคยได้ก้าวสู่วิถีแห่งเต๋านี้
และจะไม่มีวันได้ก้าวเข้ามา” ผู้อื่นพยายามยั่วยุเขา เป็นเขาเลือกยั่วยุตอบ
กลับไม่ยิ่งหย่อน กว่ากัน
โจวจงฮวยเผยสีหน้าดํามีดจ้องมองเช่นเดิม เป็นการยากบอก ว่าเขาโกรธ
หรือไม่ ฉับพลัน เขานําเอานิ้วออกมาจากอุปกรณ์ วิญญาณมิติเก็บของ
เป็นนิ้วโชกเลือด ฉินหยุนขมวดคิ้ว ราวกับรู้สึกว่านี่คุ้นเคย เป็นของฮั่วจง!
ถึงตอนนี้เอง โทสะเกินใดเปรียบของเขาทะลักในหัวใจ ราวกับ ภูเขาไฟที่
ใกล้ปะทุ!
“นี่เป็นของฮั่วจง ไอ้หน้าโง่ตัวยักษ์นั่น! ข้าไม่เข้าใจเอาเสียเลย เหตุใดคน
เช่นมันเข้าตําหนักสัตว์ยุทธ์ได้ ช่างเสื่อมเสียนัก” โจวจงฮวยเผยรอยยิ้มชั่ว
ช้าที่ใบหน้า
“ส่วนแม่เด็กน้อยเสวี่ย นั่น ถือว่าไม่เลว แต่ก็โดนข้าทําบาดเจ็บไปไม่ใช่
น้อย ชีวิตของ นางถือว่าจบสิ้นแล้วกระมัง”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” พอโจวจงฮวยได้เห็นสีหน้าดํามืดของฉินหยุน เขายิ้มออก
ภาคภูมิ “โอ้ใช่แล้ว เหตุผลที่ข้ามาสนามประลองแห่งนี้ก็เพราะ เจ้าดังนั้น
ข้าจึงทําร้ายสหายของเจ้า เป็นผลให้สหายของเจ้าบาดเจ็บหนัก กระทั่ง
ทําลายวิญญาณยุทธ์หญิงงามผู้นั้นไป ด้วย!”
เสียงหัวเราะชั่วช้ายังคงดัง ขณะส่ายนิ้วมือของฮั่วจงไปมา! “อย่าได้ห่วง
หลังข้าจัดการเจ้า เชี่ยวเย่ว์หลานจะได้ข้าดูแล อย่างดี ข้าคิดอยาก
ปลดปล่อยความดุร้ายที่มีใส่นางสารเลวผู้ นั้นที่บังอาจมองเหยียดข้า! ฉิน
หยุน วันนี้เจ้าต้องตายอย่างน่า สังเวช น่าเสียดายนักที่นางสารเลวเชี่ยว
เย่ว์หลานไม่มา มันจึง ไม่ได้เห็นสภาพน่าสังเวชเจ้า น่าเสียดาย!”
ฉินหยุนกําหมัดแน่น มันแทบแปรเปลี่ยนเป็นเขียวคลํ้า ขณะกัดฟัน
กล้ามเนื้อที่ใบหน้าของเขากระตุก โจวจงฮวยตรง หน้าเขาผู้นี้ เป็นบุคคลที
ไม่ต่างอะไรกับมารร้าย ผู้อาวุโสตําหนักดวงดาววิญญาณสีครามยิ้มกว้าง
ขณะลูบ หนวดเครา เขากล่าวขึ้น
“อาฮวยผู้นี้ช่างดุดันดีเสียจริง จง ทราบว่าเขาก้าวสู่ขอบเขตกายวรยุทธ์
ระดับที่เก้าได้เพราะ ตําหนักทิศใต้ของเรา!”
ผู้อาวุโสด้านหลังหัวเราะดังขึ้น “หากเขาจัดการฉินหยุน มี โอกาสสูงที่จะ
ได้ก้าวสู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋า ผู้ฝึกตนหนุ่มเช่นนี้ ถือว่าหาได้ยากนัก
แม้กระทั่งในตําหนักดวงดาววิญญาณสี ครามของพวกเราก็ตาม”
“กล่าวได้ถูกต้อง! พวกเราไม่โง่งมเหมือนพวกตําหนัก ตะวันออก พวกมัน
ล้วนส่งเมล็ดพันธุ์ที่เลิศลํ้าสู่ตําหนักศักดิ์สิทธิ์ หันดูทางตําหนักตะวันออก
พวกมันถือว่าอ่อนแอนัก” ผู้อาวุโส กล่าวหัวเราะ
“ฉินหยุนวันนี้ไม่น่ารอดแล้ว กระทั่งจ้าวตําหนัก ทิศใต้ของพวกเรา ยัง
คาดหวังต่ออาฮวยไว้สูงลํ้า ถึงขั้นสอนสั่ง ด้วยตนเองอยู่สองเดือนเลย
ทีเดียว” เมื่อโจวจงฮวยจัดการฉินหยุนได้ เขาจะเป็นผู้ที่มีรอยสักสองโท
เทม เป็นสิ่งที่กระทั่งแดนยุทธ์อ้างว้างก็หาได้ยากยิ่ง!
ตอนที่ 249 ขุมพลังภายในขั้นสูง
ฉินหยุนมีโทสะ ทุกคนต่างเห็นเด่นชัด ถึงตอนนี้ คนหนึ่งพลันตะโกนขึ้น
“ดูที่ร่างโจวจงฮวย มีหมอก แสงสีขาวปลดปล่อยออกมา นั่นคือขุมพลัง
ภายในขั้นสูง! มี เพียงผู้อยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เก้า จึงสามารถ
ปลดปล่อยพลังภายในเช่นนี้ได้!”
“โจวจงฮวยอยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เก้าหรือนี่ แย่แล้วสิ ฉินหยุนได้
แพ้แน่!”
“ฉินหยุนไม่สามารถใช้อาวุธ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะจัดการโจวจง ฮวยได้
ความแตกต่างทางพละกําลังมากเกินไป”

1400-1500

“พี่หลัน วันนี้เหนื่อยนัก ข้าขอตัวไปพักก่อน” ฉินหยุนหัวเราะ ขณะเข้าห้อง
ไป จากนั้นจึงค่อยเอนกายล้มกับที่นอนนุ่มผล็อย หลับไปแทบในทันที
หลันเฟิงจนขณะนี้ ยืนที่หน้าต่างในห้องโถง รับชมภาพทะเล เมฆสีทอง
อร่ามงดงาม นางตอนนี้ได้พบเรื่องราว ว่าฉินหยุนยิ่งมายิ่งลึกลับ
“ความลับอะไรกันที่ฉินหยุนปิดซ่อนเอาไว้? แม้เขาถูกขังเอาไว้ ในสถานที่
อันสิ้นหวังหลายครั้งครา เขาล้วนสามารถหลบหนี พร้อมพลังที่เพิ่มมา
ขึ้น!”
“ช่างมัน ไปพักผ่อนบ้างดีกว่า!” หลันเฟิ งจินเองก็มีความลับเป็นของตัวเอง
ฉินหยุนมีข้อสงสัย ต่อความลับของนาง แต่เขาก็เลือกไม่ถาม ด้วยเหตุนี้ห
ลันเฟิ งจิ นจึงไม่คิดซักไซ้ต่อฉินหยุนเช่นกัน
ฉินหยุนพักผ่อนตลอดทั้งวันจึงค่อยออกจากห้อง วันนี้ เขาได้ เห็นหลันเฟิ ง
จินสวมใส่ชุดสีน ้าเงินอ่อน ก าลังดื่มชาร่วมกับ จ้าวฉวนอยู่ในห้องโถง
“ฉินหยุน ตื่นได้เสียที! ศักยภาพที่เจ้าแสดงให้เห็นเมื่อวานชวน ตื่นตะลึง
นัก กระทั่งข้ายังคิดว่าเจ้าโกงเลย!”
จ้าวฉวนหัวเราะ คิกคักไปพลางกล่าว “แต่ว่า เจ้าก็ไม่ได้โกง เป็นเพราะ
พวกเรา คือพยานผู้รู้เห็นที่รับชมเจ้าท ากระบวนการขัดเกลาทั้งหมด”
ฉินหยุนนั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามจ้าวฉวน เขายิ้มให้อีกฝ่าย “ผู้อาวุโส ใหญ่ มีข่าว
ดีส าหรับข้าบ้างหรือไม่ขอรับ?”
เมื่อวาน เขาขอให้จ้าวฉวนช่วยเหลือ โดยค้นหาหนทางการซื้อหาเม็ดยา
“แน่นอนว่ามีข่าวดี ข้าได้ยินมาว่า มีบางคนคิดอยากขายเม็ด ยาวิญญาณ
รวมพลังงาน!” จ้าวฉวนพยักหน้าให้
“มันคือเม็ดยาวิญญาณระดับราชัน ถือเป็นเม็ดยาระดับสูง ที่สุด!”
หลันเฟิ งจินอุทานร้อง “มันสามารถสร้างพลังธาตุก่อ เกิดจากตัวเม็ดยา ไม่
ว่าจะด้วยอะไร พวกเราต้องได้เม็ดยานี้มา ครอบครอง!”
“ผู้ขายเม็ดยามีสัมพันธ์อันดีกับข้า เป็นเขาต้องการหนึ่ง พันล้านเหรียญ
ผลึกเพื่อขาย ข้าจึงสงสัยว่าเจ้ามีเหรียญผลึก จ านวนมากขนาดนั้นหรือ
เปล่า?” จ้าวฉวนเอ่ยถามฉินหยุน
“แก่นอสูรที่ข้ามอบแก่ท่านเมื่อวาน สามารถขายได้เป็นเงิน เท่าไหร่หรือ
ขอรับ?” ฉินหยุนเอ่ยถาม
“ราวสี่ร้อยล้าน!” จ้าวฉวนกล่าว
“ข้ายังมีสามร้อยล้านอยู่กับตัว รวมเข้ากับสี่ร้อยล้านจากการ ขายแก่นอสูร
ระดับเก้า เท่ากับมีเจ็ดร้อยล้าน ถือว่ายังขาดอยู่ อีกสามร้อยล้าน!” ฉิน
หยุนหันมองทางหลันเฟิ งจิน
“ข้าให้เจ้ายืมเอง!” หลันเฟิ งจินน าเอาแก่นอสูรระดับเก้า จ านวนสามสิบ
เม็ดออกมา และส่งมอบต่อจ้าวฉวน แม้นางไม่ให้หยิบยืม จ้าวฉวนก็คิดให้
ฉินหยุนหยิบยืมอยู่แล้ว
“คงต้องใช้เวลาหลายวันกว่าข้าจะกลับมา สหายผู้นี้ค่อนข้าง อยู่ไกล”
จ้าวฉวนกล่าว
“พวกเจ้าอดทนและรออยู่ที่นี่แล้วกัน” เมื่อจ้าวฉวนออกไปแล้ว หลันเฟิ งจิ
นจึงตบบ่าฉินหยุนกล่าวค า
“ฉินหยุน เจ้าคิดขอบคุณต่อข้าอย่างไร?”
“จูบแรกของข้าสนใจหรือไม่?” ฉินหยุนยิ้มกว้าง
“เหลวไหล!” หลันเฟิ งจินแสร้งต่อว่า ฉินหยุนพลันนึกเรื่องส าคัญขึ้นมาได้
จึงเอ่ยด้วยน ้าเสียงจริงจัง
“พี่หลัน ไม่ใช่ข้าบอกหรือว่าข้าจะหลอมอาคมหนังสัตว์? เริ่ม กันเลย
ดีกว่า!”
“ได้!” หลันเฟิ งจินเองก็ไม่คิดรอ นางอยากเห็น ว่าวัตถุที่ฉิน หยุนก าลังคิด
ขัดเกลานั้นจะทรงอ านาจมากเพียงใด ฉินหยุนมีหนังสัตว์อสูรระดับเก้า
จ านวนมาก รวมถึงจากสัตว์ อสูรระดับวิญญาณ เขาและหลันเฟิ งจินเข้า
ห้องหินกว้างขวาง ก่อนน าเอาหนังสัตว์ทั้งหมดที่มีออกมา
หลันเฟิ งจินเอ่ยถาม “อาคมใหญ่อันใดที่เจ้าคิดขัดเกลา? บอก ข้าได้
หรือไม่? เช่นนี้ข้าจะได้แนะน าถูก!”
“อาคมวิญญาณบรรจบเก้าตะวัน!” ฉินหยุนตอบเสียงเบา
“ว่าอะไรนะ? นี่เจ้ารู้จักอาคมวิญญาณบรรจบเก้าตะวันด้วย หรือ?”
หลันเฟิ งจินตื่นตะลึงและร้องอุทาน
“เหตุใดท่านตกใจเพียงนี้?” ฉินหยุนคิดว่าเป็นหลันเฟิ งจินรู้จัก มันเป็น
อย่างดีแล้ว หลันเฟิ งจินกระชับมัดผมสีด าขึ้น
“เจ้าไม่รู้หรือว่าอาคม วิญญาณบรรจบเก้าตะวันสูญหายไป? เดิมที่ มัน
เป็นค่ายอาคม ที่มีชื่อเสียงของต าหนักดวงดาววิญญาณสีครามของเรา
ภายหลังมันสูญหาย แต่ก็ยังมีสถาบันยุทธ์บางแห่งที่นี่ ยังมี อาคม
วิญญาณบรรจบเก้าตะวันแต่โบราณสืบทอดมาอยู่บ้าง”
ด้วยฉินหยุนมีสามสิบหกผังวิญญาณ เขาจึงสามารถเข้าใจ อาคมดังกล่าว
ได้ โดยอาศัยเส้นสว่างของอาคมวิญญาณ บรรจบเก้าตะวัน เพราะแบบ
นั้นเขาจึงรู้และเข้าใจมัน
“นี่เจ้าได้รับมันมาอย่างไร?” หลันเฟิ งจินเอ่ยถามด้วยความ สงสัย “เจ้า
ไม่ได้เป็นคนของต าหนักดวงดาววิญญาณสีคราม ของเราด้วยซ ้า แต่แล้ว
เจ้ากลับก าลังจะสร้างมันขึ้นงั้นหรือ?”
“ข้า... เป็นมหาอุปราชหลงเหลือไว้ให้แก่ข้า!” ฉินหยุนกล่าว
“มหาอุปราชหญิงผู้นั้น?” หลันเฟิ งจินยิ่งที่งกว่าเก่า ฉินหยุนพยักหน้า
“นางคือผู้ที่ถ่ายทอดผังจารึกให้แก่ข้า! พี่สาว มหาอุปราชลึกลับยิ่ง ทั้งยัง
งดงามยิ่งอีกด้วย ถือว่างดงามกว่า ท่านหน่อยหนึ่ง!”
ตอนที่ 236 ถ่ำยทอดผังวิญญำณ
หลันเฟิ งจินหยิกที่ใบหน้าฉินหยุนไปที่หนึ่ง นางยิ้ม “เจ้าปีศาจ น้อย ไม่
กลัวเกรงเลยหรือว่าข้าจะโกรธ ที่ชมผู้หญิงอื่นต่อหน้า ข้าว่าสวยกว่าข้า?”
ฉินหยุนน าเอาเตาหลอมออกมา โยนแผ่นหนังสัตว์เข้าไป เขา กล่าว “พี่ห
ลัน ท่านถือเป็นห้าสาวงามอันดับต้นที่ข้าเคยพบมา เลยนะ!”
หลันเฟิ งจินเองก็ช่วยโยนหนังสัตว์เข้าใส่เตาหลอม นางเอ่ยถาม “ใคร
อันดับแรก? เป็นพี่สาวมหาอุปราชของเจ้า อาจารย์หยาง หรือภรรยา
สุดสวาทเชี่ยวเย่ว์หลานของเจ้า?”
“ในใจข้า พวกนางล้วนอยู่อันดับหนึ่ง!” ฉินหยุนยิ้ม
พอหลันเฟิ งจินได้ยินดังนี้ นางอดไม่ได้ที่จะถองสีข้างเข้าไปที่ หนึ่ง “แล้วใน
ใจเจ้า ข้าจึงอันดับต ่าสุดงั้นสิ ไร้หัวใจนัก!”
ฉินหยุนพลันรู้สึกทรมานใจ กล่าวค าออก “พี่หลัน ในใจข้า ท่านก็อยู่อันดับ
หนึ่ง!”
“เจ้าหนูนี่ ยิ่งทำให้ข้าชอบมากขึ้นไปอีก” หลันเฟิ งจินยิ้มพึง พอใจ มันเป็น
รอยยิ้มที่มีเสน่ห์มากเลยทีเดียว ฉินหยุนจ้องมองปีศาจสาวตรงหน้า เขาไม่
กล้าหันมองส่วนอื่น เป็นเขากังวลว่าตนเองจะวอกแวกเพราะเหตุนี้
“คิดให้ข้าช่วยอะไรเจ้ากันละ? ดูเหมือนล าพังตัวเจ้าก็ท าได้ดี แล้วนี่!”
หลันเฟิ งจินเผยความจริงจัง ขั้นตอนการขัดเกลา อาคมใหญ่ มีระดับความ
ยากค่อนข้างมาก และยังต้องใช้สมาธิ มหาศาล หากเกิดสิ่งใดผิดพลาด
ความพยายามทั้งหมดจะสูญ เปล่า
“ช่วยข้าจัดการหนังสัตว์พวกนี้” ฉินหยุนเอ่ย
“ท่านคือ ขอบเขตวรยุทธ์เต๋า หากท่านใช้พลังของท่านขัดเกลามัน
คุณภาพโดยรวมย่อมต้องดีขึ้น”
หลันเฟิ งจินกล่าว “งานตรากตร าแท้ หากเป็นผู้อื่นมาขอให้ข้า ท าเช่นนี้ ข้า
คงไม่แม้แต่จะชายตามอง แต่เจ้า... ข้าไม่รู้จะ ปฏิเสธอย่างไรดี”
ฉินหยุนยิ้มกว้าง “พี่หลัน หากท่านต้องการให้ข้าช่วยในภาย หน้า ข้าไม่มี
ทางปฏิเสธท่านอย่างแน่นอน”
หลันเฟิ งจินยิ้ม จากนั้นจึงค่อยช่วยฉินหยุนจัดการแผ่นหนัง สัตว์ ด้วย
ความระมัดระวัง ฉินหยุนน าแผ่นหนังสัตว์ที่เกือบจะขัด เกลาสมบูรณ์แล้ว
ออกจากเตาหลอม หนังสัตว์ที่ถูกเผาไหม้ มัน กลายเป็นลูกบอลสีแดงฉาน
คล้ายก้อนโคลน หลังจากนั้น เขา จึงใส่กระดูกมังกรที่ถูกเผาไหม้สีแดง
ฉานเข้าไปในหนังสัตว์ และเริ่มกระบวนการขั้นถัดไป ระหว่างกระบวนการ
หลอม หลันเฟิ งจินจะใช้เตาหลอมเพื่อเผา ไหม้กระดูกสัตว์ เมื่อใดที่เสร็จ
เรียบร้อย มันจะถูกน าออกมา และส่งต่อให้ฉินหยุนน าไปขัดเกลาขั้นต่อไป
พวกเขาเลือกใช้งานหนังสัตว์อสูรระดับวิญญาณและระดับที่ เก้า เมื่อ
ผสานรวมเข้าด้วยกัน พวกมันจึงเกิดขึ้นเป็นหนังสัตว์ที่ มีความยืดหยุ่น
และสามารถกักเก็บพลังเอาไว้ได้ ผ่านความยุ่งยากอยู่สองวัน ฉินหยุนจึง
ได้รับแผ่นหนังสี่เหลี่ยม กว้างราวสองเมตรผืนหนึ่ง
“จัดว่าเป็นอาคมขนาดเล็ก เพียงพอให้เจ้าใช้คนเดียว” หลันเฟิ งจินปาด
เช็ดคราบเหงื่อขณะยิ้มให้
“ข้าอยากเห็นนัก ว่าเจ้าสามารถแกะสลักอาคมวิญญาณบรรจบเก้าตะวัน
ได้จริงหรือไม่”
ฉินหยุนกล่าว “พี่หลัน ถึงตรงนี้ท่านไม่ต้องหลบเลี่ยง! เมื่อข้า แกะสลัก ข้า
จะไม่ปิดบังตัวผัง!”
ในช่วงสองวันมานี้ หลันเฟิ งจินต้องลงแรงครั้งใหญ่ เมื่อฉัน หยุนได้รับแผ่น
หนังที่ผ่านการหลอม จึงเป็นนางปลดปล่อยพลัง ขอบเขตวรยุทธ์เต๋าเข้า
บ ารุงเลี้ยงแผ่นหนังออกมา
“เจ้าจะบอกว่า เจ้าคิดถ่ายทอดอาคมวิญญาณบรรจบเก้าตะวัน แก่ข้า?”
หลันเฟิ งจินเอ่ยถามประหลาดใจ
“เป็นข้าคิดอยากแลกเปลี่ยนกับท่าน” ฉินหยุนหัวเราะคิกคัก “พี่หลัน ท่าน
สมควรต้องเชี่ยวชาญผังจารึกที่ดีไม่น้อยแน่ ดังนั้นมาแลกเปลี่ยนสิ่งที่
ต้องการ เช่นนี้คิดเห็นอย่างไรบ้าง?”
หลันเฟิ งจินคิดอยู่พักหนึ่งค่อยตอบ
“ได้! หากเจ้าสอนอาคม วิญญาณบรรจบเก้าตะวันแก่ข้า ข้าจะสอนผัง
วิญญาณชั้นเลิศ ให้ ตกลงไหม?”
ผังวิญญาณชั้นเลิศหาได้ยากยิ่ง สามสิบหกผังวิญญาณของฉัน หยุนก็
เพียงแค่ระดับสูงเท่านั้น “ผังวิญญาณชั้นเลิศเหล่านี้ใช้เพื่ออะไรหรือ
ขอรับ?”
ฉินหยุน ต้องถามก่อน หากใช้ประโยชน์ไม่ได้ จะกลายเป็นเขา เสียเปรียบ
หากเขาได้รับผังวิญญาณที่ผลลัพธ์คล้ายคลึงกัน เช่นนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่เขา
ต้องการอีก
“เป็นสิ่งที่เรียกว่าผังวิญญาณชี้น าดารา ถูกใช้งานเพื่อสร้าง เป็นยันต์ และ
สามารถดึงดูดอุกกาบาตมาได้ มีทั้งอุกกาบาต ขนาดเล็กไปนถึงขนาด
ใหญ่ กระทั่งอาจมีวัสดุส าหรับการขัด เกลาที่ล ้าค่า ดังนั้นมันจึงมี
ประโยชน์มาก แน่นอนว่าข้ายังไม่ เคยลอง เพราะข้ายังไม่มีความสามารถ
ที่จะท ายันต์วิญญาณ ชั้นเลิศขึ้นมาได้”
ฉินหยุนแอบรู้สึกสนใจ พอได้ยินวิธีใช้งานของมัน เขานึกย้อน ถึงตอนที่
เขาและหยางฉีเย่ว์ ได้เห็นอุกกาบาตจ านวนมากร่วง หล่นจากต าหนัก
ดวงดาววิญญาณสีคราม ในตอนนั้น พวกเขา ได้รับศิลาวิญญาณว่าง
เปล่าที่เอาไว้ใช้หลอมอุปกรณ์วิญญาณ รวมถึงศิลาวิญญาณลอยล่องที่
ช่วยเลื่อนระดับวิญญาณยุทธ์
“พี่หลัน ท่านเคยเห็นผู้ใดชักน าอุกกาบาตได้ส าเร็จหรือไม่?” ฉินหยุนถาม
หลันเฟิ งจินพยักหน้ารับ “แน่นอน แต่ข้าต้องบอกเจ้าก่อน ไม่ใช่ว่า
อุกกาบาตทั้งหมดที่ร่วงหล่นลงมาจะมีค่า พวกมันส่วน ใหญ่ก็แค่ก้อนหิน
ธรรมดา ที่ค่อนข้างดีหรือมีของล ้าค่า ล้วน ต้องพึ่งพาโชค”
“ขอรับ ตกลงตามนี้!” ฉินหยุนยิ้มกล่าวหลังตกลงกับหลันเฟิ งจินเรียบร้อย
แล้ว
ถัดจากนั้น ฉินหยุนจึงเริ่มแกะสลักผังของอาคมวิญญาณ บรรจบเก้า
ตะวัน หลันเฟิ งจินรับชมอยู่ด้านข้าง สายตานั้น เพ่งมองเพื่อจดจ า ระหว่าง
แกะสลักอักขระ ฉินหยุนค่อยท าอย่างบรรจง มันเปี่ยม ไปด้วยความมั่นคง
ไม่มีข้อผิดพลาด หลันเฟิ งจนเกิดความประทับใจลึกล ้า ที่นางได้เห็น
ขั้นตอน เหล่านี้ด้วยตนเอง เมื่อนางได้เห็นฉินหยุนแกะสลักอักขระที่
ซับซ้อนด้วยตนเอง
ภายในส่วนลึกถึงกับตื่นตะลึง กระทั่งนางยังไม่อาจกระท าอย่าง ลื่นไหล
ระดับนี้ นางมีหลายค าถามคิดถามออก แต่นางทราบดีว่าไม่ใช่ตอนนี้
เพราะฉินหยุนก าลังตั้งสมาธิแกะสลัก ย้อนกลับไปยังครั้งแรก ที่ฉินหยุน
แกะสลักอาคมวิญญาณ บรรจบเก้าตะวัน ครั้งนั้นท าส าเร็จในหอคอย
ทัณฑ์สวรรค์ ในช่วงเวลานั้น เงื่อนไขหลายอย่างเลวร้าย พลังจิตก็ไม่
แข็งแกร่งเพียงพอ
ตอนนี้ เงื่อนไขทุกอย่างล้วนดีพร้อม พลังจิตของเขายัง แข็งแกร่งกว่าตอน
นั้นไม่รู้เท่าไหร่ กระบวนการแกะสลักจึง เป็นไปอย่างไหลลื่น เกือบสี่วันให้
หลัง ฉินหยุนค่อยแกะสลักอาคมวิญญาณบรรจบ เก้าตะวันส าเร็จทั้งชุด
เขาถึงกับถอนหายใจยาวออกมา
“เจ้าเคยแกะสลักมันมาก่อนงั้นหรือ?” หลันเฟิ งจินจดจ าเส้น สว่างของผังนี้
ได้นานแล้ว หลายส่วนของผังเป็นนางรู้สึก คุ้นเคยอยู่ไม่น้อย แต่ก็ยังมีส่วน
ของเส้นมืดที่ยังไม่กระจ่าง ตอนนี้ นางได้รับเส้นมีด นางสามารถติดตั้ง
อาคมวิญญาณ บรรจบเก้าตะวันได้
ฉินหยุนเหนื่อยยิ่งขณะเอนกายพิงเก้าอี้ เขาหลับตาลง หาได้ ตอบค าถาม
ของหลันเฟิ งจิน ที่เขาท าตอนนี้คือการพักผ่อน หลันเฟิ งจินเดินเข้าหา เช็ด
คราบเหงื่อที่ใบหน้าให้ ก่อนโคจร พลังภายในสู่ร่างกายฉินหยุน ช่วยให้เขา
ฟื้นฟูความเหนื่อยล้า ด้วยพลังภายในของหลันเฟิ งจินถ่าบเทเข้ามา ฉิน
หยุนเริ่มฟื้นฟู เรี่ยวแรง กระทั่งรู้สึกมีพลังมากล้นกว่าเก่า
“ข้าเคยแกะสลักอาคมนี้มาก่อน ข้าเรียนรู้มันจากหอคอยบน ยอดเขาที่
สถาบันยุทธ์ฮัวหลิง” ฉินหยุนหัวเราะตอบ
“พี่หลัน ท่านต้องเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ อย่าได้ส่งต่อสิ่งนี้ต่อผู้อื่น”
“ข้ารู้ ข้าไม่ส่งมอบของดีเช่นนี้ต่อผู้อื่นอย่างแน่นอน!” หลันเฟิ งจินยิ้มรับค า
ก่อนจะน าเอาแผ่นหนังสัตว์จ านวนหนึ่ง ส่งมอบแก่ฉินหยุน ฉินหยุนรับไว้
และส ารวจมอง เขาถึงกับต้องสูดลมหายใจเข้าลึก มันเป็นยังวิญญาณที่
ละเอียดและซับซ้อนเป็นอย่างยิ่งซึ่ง แกะสลักเอาไว้บนแผ่นหนัง มันคือฝัง
วิญญาณชี้น าดารา สิ่งที่ เห็นตอนนี้ มันซับซ้อนเสียยิ่งกว่าอาคมวิญญาณ
บรรจบเก้า ตะวันเสียอีก
“ทรงพลังนัก!” ฉินหยุนชื่นชม
“เจ้าไม่อาจแพร่งพรายผังวิญญาณชี้น าดารานี้ หากต าหนัก ดวงดาว
วิญญาณสีครามรู้เข้า ข้าคงต้องหนีไปไกลสุดขอบแดน ยุทธ์อ้างว้างแล้ว”
หลันเฟิ งจินเอ่ยเตือนเช่นกัน
“อย่าได้เป็นห่วงไปขอรับ!” ฉินหยุนเก็บแผ่นหนังสัตว์ดังกล่าวไป
อาคมวิญญาณบรรจบเก้าตะวันที่เขาท าขึ้น ยังคงวางอยู่บนพื้น เขาเดิน
รอบก่อนจะนั่งบนแผ่นหนังสัตว์สีน ้าตาลอ่อนนุ่ม จากนั้นจึงน าเหรียญผลึก
เต็มก ามือ หว่านโปรยที่พื้นเหนือแผ่น หนังสัตว์ เพื่อให้อักขระในอาคม
ดูดกลืนพลัง ตราบเท่าที่อาคมวิญญาณบรรจบเก้าตะวันท างาน และ
เริ่มต้น การดูดกลืน พลังวิญญาณจะเริ่มรวบรวมเข้าสู่ค่ายอาคม ระหว่าง
นี้ พลังที่รวบรวมเอาไว้จะถูกดูดกลืนโดยผู้ที่นั่งในค่าย อาคมอีกต่อหนึ่ง
“พี่หลัน อาคมวิญญาณบรรจบเก้าตะวันนี้ ระดับของมันคือ?” ฉินหยุน
ถามด้วยความสงสัย เขาอยากรู้ว่าอาคมที่ตนเองสร้าง ขึ้นอยู่ระดับใด
“กล่าวได้ว่า เป็นอาคมวิญญาณขนาดเล็กระดับสูง!” หลันเฟิง จีนกล่าว
“ตามปกติ อาคมชนิดนี้ที่ติดตั้งได้ด้วยคนเพียงคน เดียว ถือว่าหาได้ยาก
ยิ่ง”
“ในกรณีนี้ ถือว่าข้านับเป็นอาจารย์จารึกระดับสูงได้แล้ว?” ฉิน หยุน
หัวเราะ เป็นเขาก าลังจะก้าวข้ามอาจารย์จารึกระดับกลาง ไปอีกระดับ
หนึ่ง หลันเฟิงจนอึ้ง นางพบว่าเรื่องนี้ยากจะเชื่อ ทว่า นางก็ยอมรับ ว่าฉิน
หยุนเป็นอาจารย์จารึกระดับสูงของจริง ทั้งที่อายุเพียงแค่ สิบหก
“ข้าต้องไปพบผู้อาวุโสจ้าวฉวนเพื่อทดสอบเสียแล้ว อาจารย์ จารึก
ระดับสูงย่อมมีสถานะที่สูงมากขึ้น” ฉินหยุนยิ้มกล่าว ตอนนี้จ้าวฉวนยังไม่
กลับมา เป็นเขาออกไปช่วยฉินหยุนซื้อหา เม็ดยาวิญญาณรวมพลังงาน
และในช่วงหลายวันถัดจากนั้น ฉินหยุนจึงช่วยหลันเฟิ งจิน เข้าใจการ
แกะสลักอาคมวิญญาณบรรจบเก้าตะวันให้มากขึ้น
ด้วยวิธีการนี้ นางจึงยิ่งคุ้นเคยกับมันมากขึ้น พอจ้าวฉวนกลับมาถึง เขา
เร่งรีบมุ่งหน้ามายังห้องชุดของฉัน หยุนโดยทันที
“ขออภัยที่ให้รอเสียนาน!” จ้าวฉวนยิ้มกล่าวเป็นพิธี “การท า ธุรกรรมครั้ง
นี้เป็นไปอย่างลื่นไหล และนี่คือเม็ดยาวิญญาณรวม พลังงาน ถือว่าเจ้า
โชคดีนัก และข้าบังเอิญรู้พอดี หากเจ้ามา ช้ากว่านี้ ข้าคงรั้งเอาไว้ไม่ทัน
บางทีอาจต้องรออีกหนึ่งหรือสอง ปีเลยทีเดียว”
ฉินหยุนรับกล่องหยกมาและเปิดดู ภายในเป็นเม็ดยาสีทอง อร่าม นี่คือ
เม็ดยาวิญญาณรวมพลังงาน
“รีบกินมันเข้าไป มาดูกันว่าช่วยได้ขนาดไหนกัน!” จ้าวฉวน เองก็ตื่นเต้น
หากฉินหยุนประสบความส าเร็จ เขาจะก้าวถึง ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่
เก้าด้วยอายุสิบหกปี เชี่ยวเย่ว์หลานมีพรสวรรค์ชวนโลกตะลึง นางอายุสิบ
เจ็ดปี และอยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เก้า หากฉินหยุนกินเม็ดยา
วิญญาณรวมพลังงานและเลื่อนระดับได้ จะกลายเป็นเขาน่า หวาดกลัวยิ่ง
กว่าเชี่ยวเย่ว์หลานแล้ว
ฉินหยุนรับเม็ดยาก่อนเร่งรีบเข้าห้องลับ หลังกลืนเม็ดยา ขั้นตอนถัดมาคือ
การขัดเกลา เขาต้องใช้เวลากว่าจะขัดเกลา ฤทธิ์โอสถทั้งหมดได้ส าเร็จ
จ้าวฉวนออกจากห้องชุด ไปจัดการงานที่คั่งค้างเอาไว้ของตนเอง
ส่วนทางด้านหลันเฟิ งจิน นางรอในห้องตนเองไปพลาง ฝึกฝน ผัง
วิญญาณของอาคมวิญญาณบรรจบเก้าตะวันไปพลาง แปดวันให้หลัง ฉิน
หยุนตื่นขึ้นในห้องลับ เมื่อเขาลืมตาตื่นขึ้น ดวงตานี้ด าสนิท ไร้ซึ่งสีขาวเจือ
ปน หากผู้ใดมองมาพบอาจถึง ขั้นขนลุกชี้ชัน ทีละน้อย สีขาวในดวงตา
ของเขาค่อยปรากฏ ม่านหมอกสีด า เริ่มเลือนหายไป
“เม็ดยาวิญญาณรวมพลังงานนี้มีประโยชน์ยิ่งนัก มันท าให้เรา ควบแน่น
พลังธาตุตะวันทมิหสู่วัชระแก่นภายในได้แล้ว!” ฉิน หยุนส ารวจมอง
ตันเถียนตนเอง มันคือแก่นสีด าสนิท นั่นคือ วัชระแก่นภายใน
การแปรเปลี่ยนเป็นวัชระแก่นภายใน จะท าให้พลังภายในของ เขา
แข็งแกร่งมากขึ้น และยังปลอดภัยกว่าการใช้พลังภายในมากนัก
นอกจากนี้ เขายังสร้างขุมพลังภายในขั้นสูงได้อีกเล็กน้อย หาก ขุมพลัง
ภายในขั้นสูงผสานรวมกับก าลังภายใน มันสามารถ ปลดปล่อยพลังอันน่า
สะพรึงออกมาได้ สิ่งชัดเจนของขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เก้า คือพลัง
ภายใน สามารถโคจรนอกร่างกายได้
แก่นภายในตะวันทมิฬของฉินหยุนมีความพิเศษ มันคือ ความสามารถ
ดูดกลืนออร่า ดังนั้นจึงไม่มีทางที่จะปรากฏพลัง ภายในใดออกมา อย่างไร
แล้ว เขาก็มีความคิดของตนเอง ว่า ตนยังไม่อาจนับเป็นผู้ฝึกตนขอบเขต
กายวรยุทธ์ระดับที่เก้า เพราะพลังธาตุอีกสองแห่งของเขายังต้องรอการ
เปลี่ยนแปลง เป็นวัชระแก่นภายใน ตามปกติ เขาสามารถใช้ได้แต่พลัง
ภายในจากแขนราชสีห์ สวรรค์ ซึ่งก็คือวิญญาณยุทธ์อสนีบาตอัคคี ด้วย
พลังภายใน
ดังกล่าว ท าให้เขาไม่จ าเป็นต้องปลดปล่อยขุมพลังภายในขั้น สูง และผู้อื่น
ก็จะไม่ทราบ ว่าเขาคือผู้ฝึกตนขอบเขตกายวรยุทธ์ ระดับที่เก้า
“หากเราแปรสภาพพลังธาตุอีกสองแห่งสู่วัชระแก่นภายใน เรา สมควรสู้
กับผู้ฝึกตนขอบเขตวรยุทธ์เต๋าได้” ฉินหยุนยินดีอยู่ ภายในขณะก้าวเดิน
ออกจากห้องลับ
ตอนที่ 237 ทดสอบอำจำรย์จำรึก
หลันเฟิ งจินรอคอยฉินหยุนที่ห้องโถง เมื่อนางพบว่าเขาออก มาแล้ว จึงเร่ง
รีบเดินเข้ามาถามไถ่
“เป็นอย่างไรบ้าง? แปร สภาพพลังธาตุสู่วัชระแก่นภายในส าเร็จหรือไม่?”
ฉินหยุนส่ายศีรษะ “ด้วยวิญญาณยุทธ์ที่มีปัญหามาก่อน ท าให้ ตอนนี้
ใกล้เคียงค าว่าส าเร็จขอรับ”
“อา อย่าได้เสียก าลังใจไป เม็ดยาวิญญาณรวมพลังงานก็ยังคง ทรง
ประโยชน์ ตอนนี้ เจ้าก็ถือว่าห่างเพียงเล็กน้อยก่อนถึง ขอบเขตกายวรยุทธ์
ระดับที่เก้า เพียงเท่านี้ก็กล่าวได้ว่ารวดเร็ว ยิ่งนักแล้ว”
หลันเฟิ งจินตบหลังฉินหยุนเป็นการให้ก าลังใจ “พี่หลัน ข้าคิดไปเข้ารับการ
ทดสอบอาจารย์จารึกระดับสูง เป็นไปได้หรือไม่ที่จะช่วยมอบผังวิญญาณ
และอาคมวิญญาณระดับสูงแก่ข้าเพื่อฝึกฝน เพื่อให้สอบผ่านอย่าง
ปลอดภัยได้?”
ฉินหยุนเอ่ยถาม “แน่นอน!”
หลันเฟิ งจินยิ้ม ขณะเริ่มสอนยังวิญญาณและ อาคมวิญญาณระดับสูงที่
เรียบง่ายแก่ฉินหยุน หลังเชี่ยวชาญแล้ว ฉินหยุนจึงไปพบจ้าวฉวน จ้าวฉ
วนก าลังศึกษาพลังอยู่ เมื่อพบว่าฉินหยุนมาหา เขาจึงเร่ง รีบมายังห้องโถง
พอพบฉินหยุน เขาเร่งรีบเอ่ยถาม “เจ้าเลื่อน ระดับเป็นกายวรยุทธ์ระดับที่
เก้าแล้ว?” ฉินหยุนยิ้มให้
“ใกล้แล้วขอรับ บางที่อาจเป็นเพราะวิญญาณ ยุทธ์ข้า เคยเกิดความ
ผิดปกติก่อนหน้านี้ ท าให้ยังไม่อาจเลื่อน ระดับได้!” จ้าวฉวนพยักหน้า
“นับว่าดี เป็นข้ากังวลว่าเม็ดยาวิญญาณ รวมพลังงานจะส่งผลไม่ดีนัก”
ฉินหยุนตอบค า “มันให้ผลดีเยี่ยมเลยทีเดียว โอ จริงด้วย ผู้ อาวุโสใหญ่ ข้า
มาเพื่อเข้ารับการทดสอบอาจารย์จารึกระดับสูง คิดว่าควรเริ่มได้เมื่อใดดี
ขอรับ?”
“นี่เจ้าก าลังพูดถึงว่าเริ่มทดสอบตอนนี้เลยหรือ?” จ้าวฉวนเผย สีตระหนก
ทว่า เมื่อเขานึกขึ้นได้ว่าฉินหยุนสามารถหลอม กระดูกเหล็กกล้าระดับ
ราชัน เรื่องนี้คล้ายไม่นับเป็นอะไร ฉินหยุนหัวเราะ
“หากข้าเป็นอาจารย์จารึกระดับสูง ต าหนัก จารึกเทวะจะดูแลข้าดีขึ้นใช่
หรือไม่ขอรับ?”
“การดูแลย่อมต้องดีกว่านี้แน่นอน! ตราบเท่าที่เจ้ามีเวลา ข้า สามารถ
รับประกันได้ว่าเจ้าจะสามารถหาเหรียญผลึกจ านวน มากจากที่นี่ได้”
จ้าวฉวนกล่าว
“เช่นกัน เจ้ายังฝากฝังพวกเรา เรื่องการหาเม็ดยาและวัสดุที่ต้องการได้
หากไม่มีเหรียญผลึก เพียงพอ พวกเราก็สามารถออกไปก่อนให้ได้”
“ผู้อาวุโสใหญ่ ข้าต้องการเม็ดยาวิญญาณรวมพลังงานอีก จ านวนหนึ่ง
ท่านพอจะช่วยข้าได้หรือไม่?” ฉินหยุนเอ่ยถาม เขายังมีพลังธาตุอีกสอง
แห่งรอการเปลี่ยนเป็นวัชระแก่นภายใน หากเขาได้รับเม็ดยาวิญญาณรวม
พลังงาน เช่นนั้นกระบวนการ จะส าเร็จได้อย่างรวดเร็ว
จ้าวฉวนขมวดคิ้ว “ย่อมได้ แต่เจ้าจ าเป็นต้องรอหนึ่งถึงสองปี เลยทีเดียว!
อย่างไรแล้ว เม็ดยาวิญญาณระดับราชัน ไม่ใช่สิ่งที่ สามารถขัดเกลาได้
โดยง่าย”
หากไม่ใช่เพราะจ้าวฉวน ไม่ว่าฉินหยุนจะครอบครองเหรียญ ผลึก
มากมายเพียงใด เขาคงไม่มีทางได้รับเม็ดยาวิญญาณรวม พลังงานก่อน
หน้านี้
“หากเจ้าพร้อม ก็เริ่มการทดสอบอาจารย์จารึกระดับสูงได้เลย! เดิม หาก
เจ้าเป็นอาจารย์จารึกระดับกลางมาก่อน จึงค่อยรับ การทดสอบระดับสูง
แต่สถานการณ์เจ้าค่อนข้างพิเศษ ถึงกับ สามารถหลอมกระดูกเหล็กกล้า
ระดับราชันขึ้นได้ ดังนั้นข้าจึง มอบข้อยกเว้น ให้เจ้าได้ทดสอบระดับสูง
โดยทันที”
จ้าวฉวน กล่าว ฉินหยุนยิ้มรับ “เช่นนั้น ข้าต้องขอบคุณท่านผู้อาวุโสใหญ่
แล้ว และข้าก็พร้อมรับการทดสอบทุกเมื่อ!” จ้าวฉวนน ้าฉินหยุนไปยังห้อง
รับการทดสอบ ที่แห่งนี้มีค้อน หลอมและเตาหลอมมากมาย พวกมัน
สามารถใช้เพื่อรับการทดสอบได้ เป็นเขาสามารถเลือกได้ว่าคิดอยากหยิบ
ยืมอุปกรณ์ ของต าหนักจารึกเทวะหรือใช้ของตนเอง ฉินหยุนเพียงใช้ค้อน
ของตนเอง ส่วนที่เหลือเป็นของต าหนัก จารึกเทวะ
“เพื่อผ่านการทดสอบอาจารย์จารึกระดับสูง จ าเป็นต้องขัด เกลายันต์
วิญญาณระดับสูง อุปกรณ์วิญญาณระดับสูง และ อาคมวิญญาณ
ระดับสูง” จ้าวฉวนกล่าว
“พี่หลันบอกข้าไว้แล้วขอรับ” ฉินหยุนพยักหน้า
จ้าวฉวนยิ้มให้ “เช่นนี้ก็ดี เจ้าสามารถเริ่มจัดท ายันต์ได้ตั้งแต่ ตอนนี้
ต้องการกระดาษยันต์หรือไม่?” ฉินหยุนส่ายศีรษะ เขาน าเอากระดาษยันต์
ออกมา และกระดาษ ยันต์แผ่นนี้ก็ไม่ใช่ทั่วไป แต่มันคือสิ่งที่ชุบเคลือบ
ด้วยเลือดสัตว์ อสูรแล้วค่อยผ่านการขัดเกลาขึ้นมา ตราบเท่าที่ผ่านเกณฑ์
การทดสอบ ทุกอย่างล้วนไม่เป็นไร ดังนั้นแล้ว ฉินหยุนจึงเลือกใช้กระดาษ
ยันต์ของตนเอง เป็นเขา คุ้นเคยกับมันอยู่แล้ว สมควรใช้เวลาไม่นาน
เท่าใดนัก
ที่ฉินหยุนคิดจัดท าคือยันต์อัคคี แต่เขาไม่ได้ใช้ผังวิญญาณ ระดับสูงของ
ตนเอง กลับกัน เขาเลือกใช้ผังวิญญาณแบบที่มี ทั่วไป เป็นหลันเฟิ ง
จินสอนให้แก่เขา หลังจ้าวฉวนได้เห็นดังนี้ เขายิ้มเอ่ยถาม
“หากเจ้าใช้ผัง วิญญาณทั่วไปเช่นนี้ ไม่กลัวว่ายันต์อัคคีของเจ้าจะไม่ผ่าน
เงื่อนไขหรือ?”
“ข้าเพียงต้องผ่านเกณฑ์มาตรฐาน หากข้าสามารถท าเป็นยันต์ อัคคี
ระดับสูง ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรใช่หรือไม่ขอรับ?” ฉินหยุน เอ่ยถามด้วย
ความสงสัย
“ไม่อยู่แล้ว! ต่อให้เจ้าวาดผังวิญญาณหลายชุด และท าขึ้นเป็น ยันต์
วิญญาณระดับสูง มันก็ไม่เป็นไรตราบเท่าที่เจ้ามีพลังพอ ให้ลงมือท า”
จ้าวฉวนยิ้ม
“คิดอยากเปลี่ยนไปใช้ผังวิญญาณ อื่นหรือไม่?”
“ไม่ขอรับ ข้าคิดว่าผังวิญญาณธรรมดานี้ ก็สามารถสร้างขึ้น เป็นยันต์ที่
ทรงอ านาจได้เช่นกัน” ฉินหยุนมั่นใจในตนเองอย่าง มาก ด้วยวิธีการนี้ เขา
จะสามารถแสดงความสามารถแท้จริงได้
ยันต์ที่เขาสร้างขึ้นล้วนเหนือกว่ามาตรฐานไปมาก เป็นเพราะ เขาใช้ผัง
วิญญาณระดับสูง หากเขาเลือกใช้ผังวิญญาณทั่วไป และท าให้มันทรง
พลังอ านาจได้ นี่ถึงเป็นการบ่งบอกระดับของ อาจารย์จารึก จ้าวฉวนพยัก
หน้า เขาเองก็คิดอยากเห็น ว่าฉินหยุนตอนนี้ ก้าวหน้าเพียงใดแล้ว และจะ
สามารถใช้ผังวิญญาณธรรมดา จัดท าเป็นยันต์ให้ผ่านเกณฑ์ได้หรือไม่
อาจารย์จารึกหลายท่าน ไม่ยินดียอมรับฉินหยุนยามถูกเอ่ยถาม พวกเขา
เชื่อว่าฉินหยุน เพียงเชี่ยวชาญผังจารึกระดับสูง เพราะเหตุนั้นจึงสามารถ
ขัด เกลายันต์และอุปกรณ์ที่ทรงพลังขึ้นได้ ในการทดสอบอาจารย์จารึก
ระดับสูง คนผู้หนึ่งจ าเป็นต้อง จัดท ายันต์ที่มีความสามารถในการโจมตีถึง
ระดับหนึ่ง มีเพียง วิธีการนี้จึงสามารถทดสอบพลังอ านาจของยันต์ได้ ฉิน
หยุนบ่อยครั้งแกะสลักผังวิญญาณระดับสูงที่ซับซ้อน
ตอนนี้ พอได้ลองผังวิญญาณทั่วไป มันลื่นไหลเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังง่ายดาย
ที่จะแกะสลักบนกระดาษยันต์ เพียงชั่วโมงกว่าเขาก็ท า ส าเร็จได้ในคราว
เดียว
“เสร็จแล้ว!” ฉินหยุนมองแผ่นยันต์ที่ตนท าขึ้น พยักหน้ารับฟัง พอใจ
“ผู้อาวุโสใหญ่ ทดสอบมันอย่างไรหรือขอรับ?”
“ง่ายดายนัก ขว้างยันต์แผ่นนี้สู่เตาหลอมพิเศษของข้า จากนั้น ค่อยปิดฝา
เตา หากยันต์ของเจ้าแข็งแกร่ง มันจะท าให้ฝาเตา ขยับได้” จ้าวฉวนเอ่ย
ค าขณะรับยันต์วิญญาณอัคคีระดับสูง จากฉินหยุน จากนั้น ยันต์
วิญญาณอัคคีถูกขว้างเข้าสู่เตาหลอม ฝาเตาปิด อย่างรวดเร็ว
ตู้ม! เสียงปะทูดังขึ้นจากด้านในเตาหลอม เป็นผลให้ทั้งเตาหลอมสั่นเทิ่ม
ฝาเตาถึงขั้นกระเด็นออกด้วยแรงมหาศาล
เครั้ง! ฝาเตาหลอมกระทบพื้น เป็นเสียงดังไม่น้อย!
จ้าวฉวนถึงกับกายแข็งที่อ! เขาเคยทดสอบอาจารย์จารึกระดับสูงมาก็
หลายคน เหล่านั้น ล้วนเป็นยันต์ระดับสูงที่ขัดเกลาโดยอาจารย์จารึกเฒ่า
ชรา อย่างมากก็เพียงยกฝาเตาหลอมขึ้นได้เล็กน้อย! แต่ยันต์วิญญาณ
ระดับสูงที่ขัดเกลาโดยฉินหยุน มันกลับท าเอา ฝาเตาหลอมกระเด็นหลุด
ออก! ที่ท าเขาตื่นตะลึงที่สุด ก็คือยันต์วิญญาณระดับสูงของฉินหยุน มัน
ท าขึ้นด้วยผังวิญญาณทั่วไป
“ผู้อาวุโสใหญ่... ไม่ใช่ว่าฝาเตาหลอมนี่มีปัญหาหรอกใช่ หรือไม่? หรือเมื่อ
ครู่ท่านปิดมันไม่ดี?” พอฉินหยุนเห็นสีหน้าตื่น ตะลึงของจ้าวฉวน เขาจึง
ออกปากถาม
“ให้ข้าท ายันต์ วิญญาณอัคคีอีกแผ่นเพื่อทดสอบดีหรือไม่ขอรับ?” จ้าวฉ
วนถอนหายใจ สงบสติ และกล่าวค า
“ไม่ต้อง! ยันต์อัคคี ที่เจ้าขัดเกลาขึ้นทรงพลังนัก ข้ารับรู้ได้! เป็นข้าแปลก
ใจแล้วว่า เจ้าท ามันได้อย่างไร!”
“โอ้!” ฉินหยุนยิ้มอ่อนรับ “เช่นนั้น ถือว่าข้าผ่านการทดสอบ รอบแรกแล้ว
ใช่หรือไม่ขอรับ?”
จ้าวฉวนพยักหน้า เหตุผลว่าท าไมยันต์อัคคีของฉินหยุน ที่ท าขึ้นด้วยผัง
วิญญาณ ทั่วไป กลับทรงอ านาจได้เพียงนี้ ก็เพราะพลังจิตวิญญาณโลหิต
ของเขาแข็งแกร่งยิ่ง!
เรื่องหนึ่งที่ควรทราบคือ พลังภายในของเขาไม่ใช่ทั่วไป มัน ผ่านการ
ดูดกลืนของวิญญาณเทวะเก้าตะวัน กระทั่งว่าเขาใช้ เพียงพลังภายในของ
อสนีบาตอัคคี มันก็ทรงพลังเหลือล ้าแล้ว
นอกจากนี้ มันยังต้องใช้พลังจิตในการขัดเกลา เมื่อผสาน รวมเข้ากับจิต
วิญญาณต้นก าเนิด พลังจิตจะแข็งแกร่งมากขึ้น ยิ่งกว่าพลังจิตทั่วไป ด้วย
เหตุนี้ พลังจิตวิญญาณโลหิตที่ต้องผสานกับพลังจิต พลัง ภายใน และ
พลังโลหิต จึงกลายเป็นว่าความแข็งแกร่งหลาย ส่วนเหล่านั้นผสมผสาน
เข้าด้วยกัน
“พักก่อนแล้วกัน จากนั้นค่อยเริ่มขัดเกลาอุปกรณ์วิญญาณ ระดับสูง”
จ้าวฉวนยิ้มกล่าว ภายในใจตอนนี้ก าลังคาดหวังถึง อุปกรณ์วิญญาณ
ระดับสูงที่ฉินหยุนจะขัดเกลาออกมา อุปกรณ์วิญญาณ ที่ขัดเกลาโดย
อาจารย์จารึก คือสิ่งบ่งบอกถึง ระดับของอาจารย์จารึกได้ดีที่สุด
“ไม่ต้องพักขอรับ!” ฉินหยุนยิ้ม
“เริ่มกันเลยดีกว่า”
จ้าวฉวนไม่คิดห้าม “ย่อมได้ เจ้าสามารถขัดเกลาไปทีละน้อย ไม่มีจ ากัด
เวลาแต่อย่างใด”
ฉินหยุนคิดเร่งรีบกลับสถาบันยุทธ์ชิงเสวียน ดังนั้นจึงไม่คิด ชักช้า “ผู้
อาวุโสใหญ่ เป็นข้าจะยังใช้ผังวิญญาณทั่วไป เพื่อขัดเกลา เป็นอุปกรณ์
วิญญาณระดับสูง เรื่องนี้ส่งผลใดต่อการทดสอบ หรือไม่ขอรับ?” ฉินหยุน
เอ่ยถาม
“ไม่ส่งผลใด เพราะหากข้าสามารถใช้พลังของอุปกรณ์ วิญญาณดังกล่าว
ได้ ก็จะเป็นการยืนยันแล้ว” จ้าวฉวนหัวเราะ “เริ่มได้เลย”
ในเมื่อไม่มีข้อจ ากัดใด ฉินหยุนจึงวางใจได้มาก ครั้งขัดเกลาต้อนราชัน
ยักษ์วิญญาณ เป็นเขาได้รับ ประสบการณ์ไม่ใช่น้อย ผังวิญญาณที่เขา
แกะสลักขึ้นล้วนเป็น ระดับสูง ความยากในการขัดเกลาพวกมันจึงสูงล ้า
ตอนนี้ อุปกรณ์วิญญาณระดับสูงที่เขาคิดขัดเกลาขึ้น เพียงใช้ กระดูก
เหล็กกล้าระดับสูง และยังแกะสลักด้วยผังวิญญาณ ทั่วไป จึงยิ่งท าให้งาน
ง่ายขึ้น
“เอาเป็นกระบี่สักเล่มแล้วกัน” ฉินหยุนเพียงแค่ต้องแกะสลัก ผังแข็งตัว
และยังสะสมพลัง รวมถึงผังบ้าคลั่ง ตราบเท่าที่ยังวิญญาณระดับสูงห้าชุด
แกะสลักลงบนอุปกรณ์ วิญญาณ และวัสดุที่ใช้ก็เป็นวัสดุระดับสูง
อุปกรณ์ที่ได้ก็จะเป็น ระดับสูง ส่วนจะดีหรือแย่ ทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับผัง
วิญญาณ และวัสดุที่อาจารย์จารึกเลือกใช้ ด้วยเหตุนี้ อาวุธวิญญาณที่
หลอมขึ้นโดยอาจารย์จารึกที่มี ชื่อเสียง จึงแพงมหาศาล นั่นก็เพราะอาวุธ
วิญญาณที่หลอม โดยอาจารย์ที่มีชื่อเสียง เป็นการรับประกันถึงคุณภาพ
ยังมีอาจารย์จารึกบางท่าน ที่เพิ่งเลื่อนระดับจากระดับกลางไป ระดับสูง
อุปกรณ์วิญญาณระดับสูงที่พวกเขาขัดเกลา ล้วนไม่ ค่อยมีเสถียรภาพสัก
เท่าใด บางคนอาจมีคุณภาพเลวร้าย บ้างก็ ไม่เลว
แต่ส่วนใหญ่หากน าเทียบเปรียบกับอาจารย์ที่มีชื่อเสียง ถือว่าห่างไกลยิ่ง
ฉินหยุนตอนนี้หลอมกระบี่อย่างตั้งอกตั้งใจ โดยเฉพาะขั้นตอน การหลอม
วัสดุ เขาใช้สมาธิอย่างมากเพื่อหลอมกระดูก เหล็กกล้าระดับสูงขึ้นมา
กระทั่งจ้าวฉวน ยังอดไม่ได้ที่จะลอบชื่นชมภายในวนซ ้าแล้วซ ้าเล่า
ในเมื่อเขาสามารถขัดเกลากระดูกเหล็กกล้าระดับราชัน คุณภาพของ
กระดูกเหล็กกล้าระดับสูงย่อมต้องเหนือกว่า มาตรฐานแล้ว จ้าวฉวนยิ่ง
สงสัยต่อเปลวเพลิงของฉินหยุน ส าหรับคนที่เห็น โลกมามากเช่นเขา ย่อม
ต้องทราบถึงพลังของเปลวเพลิงทอง ม่วง ว่ามันไม่ได้เลิศล ้าเพียงนั้น เพียง
เวลาแค่หกชั่วโมง เขาก็ สามารถหลอมอุปกรณ์วิญญาณระดับสูงขึ้นมาได้
แน่นอนว่า จ้าวฉวนก็ได้แต่สงสัย เขาทราบว่าฉินหยุนมี ความลับที่ไม่มี
ผู้ใดล่วงรู้เก็บเอาไว้ เมื่อฉินหยุนหลอมวัสดุ เขาจะใช้เปลวเพลิงตะวันทมิฬ
เพราะ ตอนนี้เขาฝึกฝนแก่นภายในตะวันทมิสเรียบร้อยแล้ว ดังนั้น เปลว
เพลิงจึงยิ่งเข้มข้น หลังจัดการขึ้นรูปโดยหยาบได้แล้ว จึงค่อยเป็นการเก็บ
รายละเอียด ผ่านไปอีกสองชั่วโมง กระบี่ด้ามยาวคมกริบและงดงามจึง
ปรากฏ ตอนนี้ที่ขาดก็เพียงขั้นตอนสุดท้าย ซึ่งก็คือการ แกะสลักผัง
วิญญาณ
ตอนที่ 238 อำจำรย์จำรึกระดับสูง
การแกะสลักผังวิญญาณ ถือเป็นงานง่ายส าหรับฉินหยุน โดยเฉพาะกับ
การแกะสลักผังวิญญาณธรรมดา ขั้นตอนทั้ง เรียบง่ายและไหลลื่น
จ้าวฉวนรับชมจากด้านข้าง ยังต้องรู้สึกไม่สบายใจนัก เขารู้สึก ว่าฉินหยุน
ต้องการเวลาเพียงไม่กี่ปีเท่านั้นก่อนจะเหนือกว่าวิถี จารึกแห่งเต๋าของเขา
“เจ้าหนู เจ้านั้นเป็นสัตว์ประหลาดแท้จริงแล้ว ถึงขั้นขัดเกลา อาวุธ
วิญญาณระดับสูงได้อย่างรวดเร็ว! อาจารย์จารึกระดับสูง หลายท่าน ล้วน
ต้องใช้เวลาอย่างน้อยก็หลายวัน หรือขั้นกว่า สิบวันกว่าจะท าได้ส าเร็จ
หากพวกเขาคิดอยากสร้างสิ่งที่ ละเอียดยิบย่อยมากยิ่งขึ้น เวลาก็ยิ่งมาก
ขึ้นตามไปด้วย” จ้าวฉ วนมองฉินหยุนขณะถอนหายใจไปพลาง
ฉินหยุนตอนนี้ถือมีดแกะสลักขณะเริ่มการแกะสลักผังวิญญาณ อย่างไหล
ลื่น มันเป็นไปอย่างธรรมชาติราวสายน ้าไหล แม้ที่ กระท าอยู่คือการใช้มีด
แกะสลักพื้นผิวแข็ง ราวกับเขาใช้พู่กัน วาดบนกระดาษแผ่นหนึ่ง มันดู
ง่ายดายเกินจะเชื่อ เหตุผลหลักก็เพราะเขามีพลังของเปลวเพลิงตะวัน
ทมิฬภายใน
พลังจิตวิญญาณโลหิต ดังนั้นเขาจึงสามารถแกะสลักผัง วิญญาณได้
โดยง่าย เป็นเขาไม่จ าเป็นต้องใช้ปลายมีดแกะสลัก สัมผัสกับวัตถุเลยด้วย
ซ ้า
นี่เองก็เป็นเหตุผลว่า ท าไมเขาจึงสามารถใช้มีดแกะสลัก ระดับกลาง
แกะสลักกระดูกเหล็กกล้าระดับสูงได้ จ้าวฉวนเองยังวิ่ง แม้ไม่ได้พูดออก
แต่เขาทราบว่าพลังจิต วิญญาณของฉินหยุนน่าสะพรึงเพียงใด หากไม่
แล้ว เขาไม่มี ทางแกะสลักกระดูกเหล็กกล้าระดับสูง ด้วยมีดแกะสลัก
ระดับกลางได้แน่
“ฉินหยุน มันจะดียิ่งขึ้นหากเจ้าเปลี่ยนเป็นมีดแกะสลักที่ดีกว่า นี้ จะได้ไม่
ท าให้ผู้อื่นสงสัยมากจนเกินไปนัก” จ้าวฉวนเอ่ย เตือนฉินหยุนขณะเอ่ยค า
หนักแน่น
“ขอรับ ข้าจะหาเวลาขัดเกลามันสักเล่มด้วยตนเอง” ฉินหยุนพ ยักหน้ารับ
เป็นเพราะเขาเชื่อใจจ้าวฉวน จึงไม่หวั่นเกรงที่ จ้าวฉวนได้พบเห็นความ
ประหลาดในพลังจิตวิญญาณโลหิตของเขา
“มีดแกะสลักต้องมีพิมพ์เขียว เจ้ามีพิมพ์เขียวหรือเปล่า?” จ้าวฉวนเอ่ย
ถาม
“ยังไม่มีขอรับ!” ฉินหยุนเองก็เข้าใจในกระบวนการหลอมมีด แกะสลัก เขา
จ าเป็นต้องท าตามขั้นตอนในแผนผังอย่างเข้มงวด เพื่อให้ได้รับมีด
แกะสลักที่ดี จ้าวฉวนเอ่ยขึ้น
“ข้ามีพิมพ์เขียวมีดแกะสลักคุณภาพดีอยู่ สนใจหรือไม่?”
“ตอนนี้ยังไม่ขอรับ เมื่อใดที่ข้าพร้อม ข้าจะมาพบท่านที่นี่” ฉิน หยุนยิ้ม
ตอบ
หลายชั่วโมงให้หลัง ฉินหยุนแกะสลักผังวิญญาณเรียบร้อย เป็นกระบี่
วิญญาณระดับสูง ทั้งยังท าเสร็จได้ในเวลาเพียงไม่กี่ ชั่วโมง
จ้าวฉวนรับไปชื่นชม เขาร้องอุทาน “คุณภาพนี้ นับได้ว่าดี เยี่ยม ถึงขั้น
สามารถขัดเกลาคุณภาพเช่นนี้ออกมาในระยะเวลา อันสั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย
เลยจริง ๆ”
เป็น ฉินหยุนยิ้ม “เช่นนั้นแล้ว กระบี่เล่มนี้คิดว่าสามารถขายได้ที่ เหรียญ
ผลึกหรือขอรับ?”
“ราวยี่สิบถึงสามสิบล้านเหรียญผลึก! ทุกส่วนล้วนดีทั้งสิ้น แต่ เพราะเจ้า
ใช้ผังวิญญาณทั่วไป จึงไม่มีทางที่มันจะเปล่งประกาย ได้มากกว่านี้ ราคา
จึงได้เท่านี้ตามไปด้วย แต่กล่าวไปแล้ว อุปกรณ์วิญญาณระดับสูงส่วน
ใหญ่ ราคาก็อยู่ที่ราวสิบกว่าล้าน เหรียญผลึกเท่านั้นเอง” จ้าวฉวนตอบ
ฉินหยุนผ่านการทดสอบที่สองส าเร็จเรียบร้อย ท้ายที่สุด จึง เป็นการติดตั้ง
ค่ายอาคมวิญญาณระดับสูง เรื่องนี้ส าหรับเขาก็ ง่ายดายเช่นกัน
เขาตัดสินใจติดตั้งค่ายอาคมชักน าพลังวิญญาณ ด้วยการใช้ แผ่นหนัง
สัตว์อสูรระดับเก้า หลังถูกตัดเป็นวงกลมกว้างสอง เมตร อาคมชักน าพลัง
วิญญาณจึงเริ่มดูดพลังงานใกล้เคียงเข้า มา ยกตัวอย่าง หากมีพลัง
วิญญาณหนาแน่นใกล้เคียง หรือมี พลังงานอื่นคงอยู่ พวกมันจะถูกชัก
น าเข้ามาโดยอาคมชักน า พลังวิญญาณ ส่วนใหญ่ที่ใช้กันจะเป็นอาคมชัก
น าพลังวิญญาณระดับต้นและ กลางก็ถือว่าท างานได้ดีระดับหนึ่งแล้ว แต่
ระดับสูงจะยิ่งเหนือ ขึ้นไปอีก อาคมชักน าพลังวิญญาณระดับสูง คือหนึ่ง
ในอาคมวิญญาณ ระดับสูง จุดแข็งของมันคือชักน าพลังวิญญาณและ
ควบแน่นลง สู่ไข่มุกวิญญาณที่ใจกลางอาคม
จ้าวฉวนสามารถบอกได้เพียงการมอง ว่าฉินหยุนก าลังจะสร้าง อาคมชัก
น าพลังวิญญาณ เขาลอบพยักหน้าเข้าใจ ระหว่างการ ทดสอบ การเลือก
อาคมที่เรียบง่าย ใช้งานกันแพร่หลาย แต่ แข่งที่คุณภาพถือเป็นการ
ตัดสินใจที่ดี
ฉินหยุนตอนนี้สามารถสร้างอาคมซับซ้อนอย่างอาคมวิญญาณ บรรจบ
เก้าตะวัน ด้วยเหตุนี้ เพียงไม่กี่ชั่วโมงเขาจึงติดตั้งอาคม ชักน าพลัง
วิญญาณได้ส าเร็จ
“ดี ทั้งหมดผ่านเรียบร้อย ตอนนี้เจ้าเป็นอาจารย์จารึกระดับสูง แล้ว!”
จ้าวฉวนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออก แม้เขาได้เป็น ประจักษ์พยานการ
ถือก าเนิดขึ้น ของอาจารย์จารึกระดับสูง ด้วยวัยเพียงสิบหกปี ก็ยังแทบไม่
อยากเชื่อว่านี่คือเรื่องจริง จ้าวฉวนจึงหลอมเหรียญตราอาจารย์จารึก
ระดับสูงและมอบแก่ ฉินหยุน เขายิ้มกล่าว
“กระทั่งที่แดนยุทธ์อ้างว้าง ก็เป็นเรื่อง ยากที่จะหาอาจารย์จารึกระดับสูง
เยาว์วัย! ฝีมือของเจ้าที่ใช้ใน การแกะสลัก ถือว่าชวนตื่นตาตื่นใจนัก”
ยิ่งเป็นผู้ที่รู้และเข้าใจผังจารึกมากเพียงใด มันก็จะยิ่งท าให้ สามารถ
แกะสลักพวกมันออกมาได้สมบูรณ์มากขึ้นเท่านั้น เพื่อ ผสานรวมชุดผัง
จารึกที่แตกต่างรวมเข้าด้วยกัน โดยไม่ให้เกิด ความขัดแย้ง เช่นนี้จึงเป็น
พรสวรรค์ที่ส าคัญยิ่ง
อาจารย์จารึกหลายท่านไม่อาจมาถึงระดับนี้ เพราะพวกเขาไม่ อาจ
ผสมผสานผังวิญญาณหลายชุด จนเป็นผลให้เกิดความ ขัดแย้งกันเอง
ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อย จะท าให้ผังไม่อาจ ดูดกลืนพลัง และท างาน
ล้มเหลว จนไม่อาจน าผลลัพธ์ที่ ต้องการออกมา ฉินหยุนรับเหรียญตราสี
ทองมา
“ตอนนี้ข้าเป็นอาจารย์จารึก ระดับสูงแล้ว ข้าเองยังไม่อยากเชื่อ!” จ้าวฉ
วนหัวเราะ
“ฉินหยุน กระบี่และอาคมวิญญาณที่เจ้าท า ขึ้น สนใจขายให้ข้าหรือไม่?
ข้าเสนอที่ห้าสิบล้านเหรียญผลึก!”
“เป็นข้ามอบให้ท่านแล้ว เหรียญผลึกล้วนไม่ต้องขอรับ!” ฉินหยุนรู้สึกได้
ว่าจ้าวฉวนเป็นคนดีผู้หนึ่ง แน่นอนว่าเขาต้อง พึ่งพาการช่วยเหลือของอีก
ฝ่ายในภายหน้าอีกมาก จ้าวฉวนกล่าว
“ก่อนหน้าเจ้าเพิ่งซื้อเม็ดยาวิญญาณรวม พลังงานมา จึงใช้เหรียญผล็กจน
หมดสิ้น อย่าได้มากมารยาท ต่อข้า น าบัตรผลึกของเจ้าออกมา”
ฉินหยุนตระหนักได้เมื่อนึกให้ดี เขาตอนนี้ไม่มีเหรียญผลึกแม้สัก เหรียญ
ในบัตรผลึก นอกจากนี้ยังติดหนี้หลันเฟิ งจินอีกสามร้อย ล้าน “เช่นนั้นขอ
ข้าไม่ขอมากมารยาทแล้ว!”
ฉินหยุนน าบัตรผลึกส่ง ให้แก่จ้าวฉวน พร้อมกันนี้เขาเอ่ยถาม “ผู้อาวุโส
ใหญ่ ท่าน ต้องการของที่ข้าสร้างไปท าอะไรหรือขอรับ?” จ้าวฉวนยิ้ม
“เก็บไว้ชื่นชม บางทีในภายหน้า เมื่อเจ้าเป็น อาจารย์จารึกที่เลิศล ้า ข้า
อาจขายกระบี่และอาคมนี้ มูลค่าตอน นั้นต้องไม่น้อยอย่างแน่นอน”
ฉินหยุนรับบัตรผลึกไว้ขณะแลบลิ้นออกแสร้งท า เขายิ้มกล่าว “ข้าสงสัย
แล้วสิวันนั้นจะมาถึงหรือไม่! ผู้อาวุโสใหญ่ ข้าต้องขอ ตัวกลับก่อน ตอนนี้
ข้าเป็นศิษย์ของสถาบันเทียนเจียว และยัง น ้าอาจารย์ออกมาเที่ยวเล่น
ด้านนอกนานเกินไปแล้ว เรื่องนี้ไม่ ดีนัก ดังนั้นจึงต้องรีบเดินทางกลับ”
“เช่นนั้นขาขอไม่ส่ง ระวังตัวด้วย!” จ้าวฉวนยิ้มและพยักหน้า
ฉินหยุนกลับห้องชุด เขาพบว่าหลันเฟิ งจินก าลังฝึกฝนแกะสลัก ผังจารึก
อาคมวิญญาณบรรจบเก้าตะวันอย่างคร่ําเคร่ง
“พี่หลัน ท่านดูตรงนี้สิว่าคืออะไร?” ฉินหยุนน าเสนอเหรียญ ตราสีทองให้
อีกฝ่ายเห็น
“น่ากลัวนัก เจ้าอ่อนเยาว์กว่าข้า กระนั้นก็เป็นอาจารย์จารึก ระดับสูงด้วย
อายุเท่านี้ กระทั่งในแดนยุทธ์อ้างว้างยังหาได้ไม่ มาก” หลันเฟิ งจินถอน
หายใจ ฉินหยุนรู้สึกได้ ว่าตัวตนของหลันเฟิ งจินไม่ธรรมดา ด้วยพรสวรรค์
สูงล ้าระดับนาง ย่อมไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปแน่นอน
“กลับกันดีกว่าขอรับ!” ฉินหยุนตอนนี้พึงพอใจมากแล้ว ที่ได้ เดินทางมา
เยี่ยมเยือนต าหนักจารึกเทวะสาขาหลักประจ า ภูมิภาค เป็นเขาได้รับ
อย่างมหาศาล
“ไว้แกะสลักผังวิญญาณชุดนี้เรียบร้อยค่อยกลับ” หลันเฟิ งจิ นกล่าว
ฉินหยุนเดินวนรอบ รับชมผังวิญญาณที่นางแกะสลัก เขายิ้ม เอ่ยปาก
“พี่หลัน ฝีมือท่านไม่แย่ เป็นท่านเข้าใจตัวผังจารึก อย่างลึกล ้า ถือว่าจับ
หลักได้รวดเร็วยิ่ง”
“เจ้าหนู คิดล้อข้าเล่นหรือ?” หลันเฟิ งจินแค่นเสียงเบา นาง ทราบว่า
พรสวรรค์โดยธรรมชาติของนาง ด้อยกว่าฉินหยุน ยันต์ประหลาดที่ฉิน
หยุนช่วยนางขัดเกลาขึ้น เป็นเขาสามารถรู้ และเข้าใจยังวิญญาณ
ดังกล่าวได้รวดเร็วยิ่ง
“ไม่นะ นี่ข้าชื่นชมท่าน!” ฉินหยุนหัวเราะคิกคัก หลันเฟิ งจินกลอกตามอง
ก่อนจะหันกลับไปคร่ําเคร่งแกะสลัก ผังวิญญาณต่อ ตอนนี้ นางเพียง
แกะสลักผังวิญญาณบนหนัง สัตว์ธรรมดา ไม่ใช่การสร้างอาคมวิญญาณ
ของจริง ผ่านไปกว่าสองชั่วโมง ในที่สุดหลันเฟิ งจินก็เสร็จงาน นางจึง ออก
จากภูเขาสูงลูกนี้พร้อมฉินหยุน มุ่งหน้ากลับสถาบันยุทธ์ชิง เสวียน
เดินทางอยู่สองวัน ฉินหยุนและหลันเฟิ งจินค่อยกลับถึงสถาบัน เทียนเจียว
เมื่อพวกเขากลับมาถึง จึงได้เห็นเสวี่ยซือเยี่ยนั่งด้วยใบหน้าซีด เผือดใน
ห้องโถง
พอเสวี่ยซือเยี่ยเห็นฉินหยุนและหลันเฟิ งจินกลับมา นางเร่งรีบ ลุกขึ้น แต่
แล้ว ร่างนั้นกลับต้องล้มพับลงไป มองเพียงครั้งเดียว ก็บอกได้ ว่านาง
ได้รับบาดเจ็บรุนแรงยิ่ง เฉินหยุนและหลันเฟิ งจินตื่นตระหนก พวกเขาต่าง
ทราบว่าวิญญาณยุทธ์ของเสวี่ยซือเยี่ยทั้งลึกลับและมีเอกลักษณ์เป็น
อย่างยิ่ง มันสามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้รวดเร็ว ดังนั้นเมื่อ นางได้รับ
บาดเจ็บรุนแรง พักเพียงไม่นานก็ฟื้นคืนหายดีแล้ว
“ซือเยี่ย เกิดอะไรขึ้น? แล้วฮั่วจงกับมู่หรงเล่า?” หลันเฟิ งจิ นรีบเร่งเข้ามา
ช่วยพยุงเสวี่ยซือเยี่ย “พี่หลัน พวกเรา พวกเราพบคู่ต่อสู้ที่ทรงพลังในการ
แข่งขัน พวกเราไม่ทราบว่าเขาใช้เคล็ดวิชาลับอันใด ท าให้วิญญาณ ยุทธ์
ของพวกเราได้รับบาดเจ็บรุนแรง เป็นผลให้พวกมันตัด ขาดออกจาก
ร่างกายพวกเรา” เสวี่ยซือเยี่ยเผยสีหน้าสิ้นหวังจนแทบร้องไห้ออก
“ฮั่วจงและมู่หรง ทั้งสองต่างก็บาดเจ็บ หนัก และถูกส่งไปรักษาตัวที่อื่น
แล้ว” วิญญาณยุทธ์มีความส าคัญต่อผู้ฝึกตนเป็นอย่างยิ่ง หากพวก เขา
สูญเสียวิญญาณยุทธ์ ก็ไม่ต่างอะไรกับการถูกท าลายชีวิต เสวี่ยซือเยี่ย
เป็นหญิงแกร่ง หากนางไม่สิ้นหวังจนถึงที่สุด นาง ไม่มีทางเผยความโศก
เช่นนี้ออกมาอย่างแน่นอน หลันเฟิ งจินเร่งรีบตรวจสอบวิญญาณยุทธ์ของ
เสวี่ยซือเยี่ย ด้วยสีหน้าหมองหม่น นางเอ่ยค าเสียงเบา
“นี่เป็นวิชายุทธ์ ต าหนักทิศใต้ ฝ่ามือวิญญาณสัมบูรณ์ เป็นวิชายุทธ์ระดับ
โลกา ขั้นต้น! บุคคลที่เรียนรู้เคล็ดวิชานี้ ย่อมต้องมีสถานะสูงส่งใน
ต าหนักทิศใต้ มีคนเช่นนี้ในสถาบันเทียนเจียวด้วยงั้นหรือ? เท่าที่ข้าทราบ
ไม่มีคนเช่นนั้นในสถาบันเทียนเจียวนี่!”
“เป็นคนนอกสถาบันเทียนเจียว ข้าไม่ทราบว่าเขามาจาก ต าหนักดวงดาว
วิญญาณสีครามหรือไม่! เขาดูยังหนุ่มยิ่ง นาม คือโจวจงฮวย!” เสวี่ยซือ
เยี่ยกัดริมฝีปากเอ่ยถาม “อาจารย์ วิญญาณยุทธ์ของข้านี้รักษาได้
หรือไม่?”
หลันเฟิ งจินบอกให้นางนั่งลง ตอนนี้นางเดินวนไปมาในห้องโถง ด้วยสี
หน้าหนักอึ้ง “โจวจงฮวยเป็นคนของต าหนักดวงดาววิญญาณสีคราม เป็น
ศิษย์ที่มากพรสวรรค์ของต าหนักทิศใต้ แต่ว่า ตอนเขาอายุสิบ สอง เขาถูก
กักขังเพราะสังหารศิษย์นอกไปกว่าสิบคน! ข้าไม่คิด เลยว่าเขาจะถูก
ปล่อยตัวออกมาตอนนี้ นี่เพียงผ่านมาหกปีเท่านั้นเอง”
นางเดินมาข้างกายเสวี่ยซือเยี่ยและถอนหายใจ “ข้าจะช่วยเจ้า หาหนทาง
รักษาวิญญาณยุทธ์ที่บาดเจ็บ ในช่วงนี้ อย่าได้ เครียดจนเกินไป อย่างไร
แล้วมันก็ต้องใช้เวลา อาจจะหลายปี กว่าผู้อาวุโสผู้นั้นจะออกมา”
“หากวิญญาณยุทธ์ของข้าสามารถรักษา เช่นนั้นรอไม่กี่ปีไม่ นับเป็น
อะไร!” เสวี่ยซือเยี่ยพยักหน้ารับด้วยความโล่งอก
“ซื่อเยี่ย ให้ข้าตรวจสอบวิญญาณยุทธ์ของเจ้าได้หรือไม่? ก่อน หน้านี้
วิญญาณยุทธ์ของข้าก็เคยมีปัญหา เป็นข้าอยากรู้ว่าเกิด อะไรขึ้นที่
ภายใน” ฉินหยุนกล่าว
เสวี่ยซือเยี่ยพยักหน้ารับรัวเร็ว ฉินหยุนพอได้รับค าอนุญาต จึงวางมือลงที่
หน้าท้องของเสวี่ยซือเยี่ย ขณะกดลงด้วยแรงระดับหนึ่ง เขาปล่อยพลังจิต
เข้า ส ารวจพลังธาตุของเสวี่ยซือเยี่ย เขาหลับตาลง เพ่งสมาธิไปยังพลัง
ธาตุของนาง ไม่ช้า เขาจึงได้ เห็นสภาพภายในพลังธาตุของเสวี่ยซือเยี่ยม
มันเป็นเมฆสีทองม่วงทรงพลัง แต่คล้ายยุ่งเหยิง ไม่อาจก่อตัว เป็นรูปร่าง
ได้
ตามปกติ วิญญาณยุทธ์ต้องควบแน่นเป็นกลุ่มก้อน! เมื่อฉินหยุนได้เห็น
พลังธาตุของเสวี่ยซือเยี่ย เขาอึ้งไปวูบ นี่ เพราะพลังธาตุของนางเป็นสีทอง
ม่วง วิญญาณยุทธ์ที่กระจัด กระจายจึงต้องเป็นทองม่วงเช่นกัน ดังนั้นก็
หมายความว่า วิญญาณยุทธ์ของเสวี่ยซือเยี่ยคือระดับทองม่วง!
ตอนที่ 239 สนำมประลอง
“ฉินหยุน เป็นอย่างไรบ้าง?” เสวี่ยซือเยี่ยเอ่ยถามเสียงเบา หลันเฟิ งจินเอง
ก็ยืนข้างฉินหยุน ก าลังรอคอยผลลัพธ์การ ตรวจสอบ วิญญาณยุทธ์ของ
ฉินหยุนมีปัญหา และก็เป็นเขาแก้ปัญหาด้วย ตนเองได้ในท้ายที่สุด เสวี่ย
ซือเยี่ยคาดหวังว่าฉินหยุนจะ สามารถช่วยนางรักษาอาการบาดเจ็บได้
โดยเร็ว ฉินหยุนกล่าวคิ้วขมวด
“วิญญาณยุทธ์แตกกระจาย เป็นผลให้ สูญเสียร่องรอยของมันไป นี่
สมควรเป็นเพราะวิชาฝ่ามือ วิญญาณสัมบูรณ์ มีพลังจิตชนิดพิเศษ ที่แตก
สลายโครงสร้าง ของวิญญาณยุทธ์”
พอหลันเฟิ งจินได้ยินการวิเคราะห์ของฉินหยุน นางตระหนักไม่ น้อย ทั้งยัง
เร่งกล่าว “ใช่แล้ว อาการบาดเจ็บเพราะฝ่ามือ วิญญาณสัมบูรณ์ปกติแล้ว
จะเป็นเช่นนั้น! เจ้าท าอะไรได้บ้าง?”
“อันดับแรก ต้องรวบรวมวิญญาณยุทธ์ที่แตกกระจายเข้า ด้วยกัน! เจตจิต
ของวิญญาณยุทธ์แตกกระจาย พลังของฝ่ามือ วิญญาณสัมบูรณ์เป็น
ตัวการ ท าให้วิญญาณยุทธ์และจิตของ วิญญาณยุทธ์เกิดอาการสับสน”
ฉินหยุนเชี่ยวชาญวิชาขัด เกลาวิญญาณ ดังนั้นเขาจึงรู้และเข้าใจ
วิญญาณยุทธ์อย่างลึก ล ้า เขาสามารถพบเห็นรายละเอียดปลีกย่อย และ
พบในสิ่งที่ หลายคนไม่อาจพบ
“ฉินหยุน เช่นนั้นข้าต้องท าอะไรบ้าง?” เสวี่ยซือเยี่ยเอ่ยถาม ฉินหยุนนั่งลง
เอ่ยค าเชื่องช้า
“ให้ข้าลองก่อน ข้าจะให้เจ้า บรรลุลมหายใจวิญญาณพลังธาตุ! หลังจาก
ส าเร็จลมหายใจ วิญญาณพลังธาตุ อย่าได้ใช้วิญญาณยุทธ์ เพียงใช้เส้น
วิญญาณร่วมกับพลังธาตุ เพื่อดูดกลืนพลังวิญญาณสู่ร่างกาย เหตุผลว่า
ทำไมร่างกายอ่อนแอตอนนี้ ก็เพราะไม่อาจดูดกลืนพลังวิญญาณสูง
ร่างกาย กระทั่งมีคนส่งก าลังภายในเข้าไปให้ ก็ ไม่อาจน ามาใช้ด้วยตัวเอง
ได้ และเมื่อก าลังภายในนั้นถูกใช้ จะ ยิ่งท าให้อ่อนแรงลงอีก”
หลันเฟิ งจินเอ่ยถามประหลาดใจ “เจ้ากล่าวได้ถูกต้อง! แต่เรื่อง นี้ เจ้า
สามารถช่วยพลังธาตุของผู้อื่นได้หรือ? มีวิธีการอะไร?”
“ลองก่อนจึงค่อยรู้” ฉินหยุนยิ้ม
“พี่หลัน ใช้พลังภายในของ ท่านประคองอาการบาดเจ็บในร่างของนาง
เพราะร่างของนาง ยังบาดเจ็บ เป็นผลให้เส้นโคจรถูกกีดขวาง เรื่องอื่นไว้
เสร็จงาน ค่อยพูดคุยกัน”
หลันเฟิ งจินพยักหน้ารับ โคจรพลังภายในของนางสู่ร่างกาย เสวี่ยซือเยี่ย
เพื่อช่วยประคองอาการบาดเจ็บไว้ ผ่านไปกว่าสองชั่วโมง หลันเฟิ งจินจึง
กล่าวค า
“ได้เวลาแล้ว ถึงคราวเจ้า!” สีหน้าของเสวี่ยซือเยี่ยดีขึ้นมาก นางตอนนี้ไม่
คล้ายทุกข์เช่น ก่อนหน้าแล้ว
ฉินหยุนวางมือที่หน้าท้องของเสวี่ยซือเยี่ยและหลับตาลง ตั้ง สมาธิไปกับ
พลังจิต ปลดปล่อยพลังธาตุตะวันทมิฬจากแก่น ภายในตะวันทมิฬ มัน
คล้ายกับเส้นด้ายเข้าเชื่อมโยงกับพลัง ธาตุของเสวี่ยซือเยี่ย ชั่วครู่นี้ เสวี่ย
ซือเยี่ยรู้สึกแปลกประหลาด นางสัมผัสได้ถึงพลัง อันน่าสะพรึงของฉิน
หยุน แต่กระนั้นมันกลับอ่อนโยน นอกจากนี้ นางกระทั่งสัมผัสได้ถึงจังหวะ
หัวใจของฉินหยุน ฉินหยุนปล่อยให้พลังธาตุของตัวเอง เกิดปฏิสัมพันธ์
ร่วมกับ พลังธาตุของเสวี่ยซือเยี่ย
เพื่อให้พลังธาตุของเสวี่ยซือเยี่ยฟื้น คืนกลับมา เสวี่ยซือเยี่ยลอบตระหนัก
ภายใน นางถึงขั้นหายใจเข้าออกไม่ รู้ตัวผ่านทางพลังธาตุในร่างกาย หลัง
ฉินหยุนดึงพลังจิตตนเองกลับ พลังธาตุในตันเถียนของ เสวี่ยซือเยี่ย จึง
ค่อยกลับมามั่นคงอีกครั้ง ตอนนี้ มันก าลัง ดูดกลืนพลังวิญญาณจ านวน
มากสู่ร่างกายของนาง
หลันเฟิ งจินหันมองฉินหยุนอย่างไม่อยากเชื่อสายตา นางอุทาน ร้องออก
“นางก าลังดูดกลืนพลังวิญญาณด้วยอัตรารวดเร็วยิ่ง เร็วยิ่งกว่าที่นางท า
ได้ด้วยซ ้า หากวิญญาณยุทธ์ของนางดีขึ้น เช่นนี้จะยิ่งดูดกลืนพลัง
วิญญาณได้มากขึ้นอีก! มีเพียงพลังธาตุ และพลังจิตหลอมรวมเข้าด้วยกัน
จึงส าเร็จถึงขั้นนี้ได้”
“ต านานกล่าวไว้ ว่ามีผู้อาวุโสบางท่านรอบรู้เรื่องวิญญาณยุทธ์ อย่างลึก
ล ้า สามารถช่วยเหลือผู้เยาว์ให้น าพลังธาตุและพลังจิต หลอมรวมกันได้
แต่เจ้า.... อายุเพียงสิบหกปีเท่านั้นเอง!”
ฉินหยุนยิ้มเอ่ยถาม “พี่หลัน ท่านส าเร็จลมหายใจวิญญาณ พลังธาตุหรือ
ยัง? อยากให้ข้าช่วยหรือไม่?”
“แน่นอน ข้าเพียงแต่ไม่สามารถฝึกฝนจิตวิญญาณต้นก าเนิดได้ เจ้าช่วย
ข้าได้หรือไม่ละ?” หลันเฟิ งจินพลันนึกขึ้นได้ ว่าฉัน หยุนสามารถ
ปลดปล่อยจิตวิญญาณต้นก าเนิด และเขาเคยท า เมื่อนานมาแล้วด้วย
ดังนั้นนางจึงอดไม่ได้ที่จะลอบคาดหวัง
“ภายหน้าหากมีโอกาสข้าสามารถทดลองท าดูได้! แต่ตอนนี้ ต้องรักษา
เสวี่ยซือเยี่ยก่อน จากนั้นพวกเราค่อยไปหาโจว จงฮวยช าระหนี้แค้นครั้งนี้”
ฉินหยุนก าหมัดแน่นขณะเอ่ยค า เย็นเยือก เสวี่ยซือเยี่ยอาการดีขึ้นมาก
แล้ว นางลืมตาขึ้น “ลานประลอง สถาบันยุทธ์ชิงเสวียน เปิดโดยต าหนัก
ดวงดาววิญญาณคราม และสถาบันยุทธ์อื่น เพราะแบบนั้นพวกเขาจึงแห่
แหนกันเข้า มาที่นี่”
“เฮ้อ!” นางถอนหายใจออก กล่าวค าขึ้น
“พวกเราเดิมต่อสู้กัน เป็นกลุ่ม ไม่ทราบว่าท าไม แต่พวกเราดันไปเจอชาย
คนนั้น เป็นพวกเราไม่รู้จักเขาดีพอ”
“ข้าจ าได้ว่า ลานประลองไม่อาจท าให้ผู้อื่นบาดเจ็บ หากท า ร้ายผู้อื่น ย่อม
ต้องโดนลงโทษ” ฉินหยุนเผยสีหน้าขึ้น
“โจวจงฮวยโดนลงโทษหรือไม่?” เสวี่ยซือเยี่ยส่ายศีรษะ
“ไม่ เพราะเขาไม่ใช่ศิษย์ของสถาบัน ยุทธ์ชิงเสวียน กฎของสนามประลอง
เพียงบังคับใช้เฉพาะกับ ศิษย์ของสถาบันยุทธ์ชิงเสวียน หากประลองกับ
เขา คือไม่อาจท าร้ายเขา ดังนั้นจึงยากเย็นยิ่งที่ศิษย์ของสถาบันยุทธ์ชิง
เสวียน จะสามารถเอาชนะ!”
ฉินหยุนกล่าวค า “ซือเยี่ย หลังพลังธาตุกลับมารวมตัวกันดี แล้ว ให้ลอง
ควบคุมก าลังภายใน รวบรวมวิญญาณยุทธ์ที่แตก กระจายเข้าด้วยกัน
จากนั้นจึงค่อยบีบเค้นเอาฝ่ามือวิญญาณ สัมบูรณ์ที่ไม่ใช่ของตัวเอง
ออกไป หากทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี วิญญาณยุทธ์ของเจ้าสมควรฟื้นตัว
ภายในไม่กี่วัน”
เสวี่ยซือเยี่ยสามารถดูดกลืนพลังวิญญาณเข้าสู่ร่างกายได้แล้ว
พอได้ยินฉินหยุนพูดดังนี้ นางพลันยินดี ทั้งยังรู้สึกติดหนี้ บุญคุณฉินหยุ
นครั้งใหญ่ เดิมที นางคิดว่าถึงคราวจบสิ้นแล้ว กระทั่งหลันเฟิ งจินยังต้อง
ไปหาผู้อื่นเพื่อช่วยรักษา เรื่องนี้อาจต้องใช้เวลาหลายปี เป็น นางไม่คิดว่า
ฉินหยุนจะสามารถรักษาได้ในทันทีเช่นนี้
“ฮั่วจงและมู่หรง วิญญาณยุทธ์ของทั้งสองไม่ได้รับบาดเจ็บ เพียงแต่ได้รับ
บาดเจ็บภายในสาหัส! โจวจงฮวยอยู่ขอบเขต กายวรยุทธ์ระดับที่แปด
เพราะข้าคุกคามต่อเขาไม่น้อย ดังนั้น เขาจึงโจมตีต่อข้ารุนแรง”
เสวี่ยซือเยี่ยบอกเล่าออกมา หลันเฟิ งจินสัมผัสที่ไหล่นางขณะหัวเราะ “ซื่อ
เยี่ย กลับห้อง ของเจ้าไปพักผ่อนก่อน! ทางด้านโจวจงฮวย พวกเราจะคิด
หาทางจัดการมันเอง”
“อืม!” เสวี่ยซือเยี่ยลุกขึ้น กลับห้องของนางไปพักฟื้น หลันเฟิ งจินรอจน
เสวี่ยซือเยี่ยปิดประตูห้อง จึงค่อยเอ่ยปาก
“ฉินหยุน เจ้าคิดท าอย่างไร? กระทั่งว่าเจ้าไปยังลานประลอง ท้าทาย
โจวจงฮวย เจ้าก็ไม่อาจท าร้ายเขา เรื่องนี้เป็นกฎเกณฑ์ ของสถาบันยุทธ์
ชิงเสวียนที่ผิดปกติแล้ว” ฉินหยุนพิงเก้าอี้เผยสีหน้ามืดมน เขากล่าว
“ข้าต้องรู้ก่อน ว่า มันโจมตีพวกซือเยี่ยเพราะข้าหรือเปล่า หากเป็นเพราะ
ข้า ข้า คงไม่อาจนิ่งเฉย”
“เจ้าโด่งดังเกินไป หากจัดการเจ้าลง เขาจะได้รับชื่อเสียง เช่นเดียวกับเจ้า
โจวจงฮวยโจมตีพวกฮั่วจงหนักหนา นี่เป็น เพราะมันต้องคิด บีบบังคับให้
เจ้าเคลื่อนไหว” หลันเฟิ งจินกล่าว
“หากเจ้าอยากไปเข้าร่วมสนามประลอง ไม่ว่าจะชนะหรือ แพ้ เจ้าก็ยัง
พ่ายแพ้!”
หากเขาชนะ ก็ต้องโดนสถาบันยุทธ์ชิงเสวียนลงโทษ ส่วน วิธีการลงโทษ
นั้น ไม่มีความเป็นธรรมแม้สักนิด ผู้คนจะโดน กักขังอยู่หลายปี หรืออาจ
กระทั่งหลายสิบปี
“ข้าคิดไปลานประลองก่อน!” ฉินหยุนตัดสินใจได้ จึงเดิน ออกไปด้านนอก
หลันเฟิ งจินพอจะเข้าใจฉินหยุนบ้าง นางทราบว่าไม่อาจเกลี้ย กล่อมเขา
ดังนั้นจึงไม่ห้าม ที่นางคิดท าตอนนี้ คือสืบหาความ เป็นไปตอนนี้ของ
โจวจงฮวย ลานประลอง ตั้งอยู่ทางตะวันออกของเขตศูนย์กลางสถาบัน
ยุทธ์ชิงเสวียน มันเป็นสนามโปร่งทรงกลม ที่นั่งผู้รับชมล้วนมี มากมาย
หากคิดเข้ารับชมการแข่งขัน เขาก็ต้องจ่ายหลายร้อย เหรียญผลึกเพื่อผ่าน
ประตู
หากคิดอยากเข้าร่วม ก็ต้องลงทะเบียน ค่าลงทะเบียนแพง มหาศาล เป็น
เขาต้องจ่ายหลายล้านเหรียญผลึก ทว่าส าหรับ ศิษย์ของสถาบันยุทธ์ชิง
เสวียน หลายล้านเหรียญผลึกไม่ นับเป็นอะไร หากเขาสามารถได้รับชัย
ชนะในการแข่งขัน ประลองยุทธ์ และชนะจนได้รับแต้มเสวียนมาครอง
เท่ากับว่า สามารถแลกเปลี่ยนเป็นสิ่งที่เหรียญผลึกไม่อาจซื้อหา ศิษย์
หลายคน เพื่อล่าแต้มเสวียน พวกเขาจึงเข้าร่วมลาน ประลองแห่งนี้
ตราบเท่าที่ชนะ ย่อมได้รับแต้มเสวียนเป็นรางวัล ในอดีต สถาบันยุทธ์ซิง
เสวียนมีกฎเกณฑ์เข้มงวด ระหว่างการ ประลองในลานประลอง จะไม่
สามารถสังหารหรือท าให้คู่ต่อสู้ ได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นแล้ว เมื่อศิษย์ใดคิด
เข้าร่วม พวกเขาจึง วางใจได้ว่าจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ตอนนี้ ด้วยเพราะ
สถานการณ์พิเศษ สถาบันยุทธ์ชิงเสวียน เปิดกว้างต่อสถาบันยุทธ์แห่งอื่น
และต าหนักดวงดาววิญญาณสี คราม จึงเป็นการชักน าศิษย์จากที่อื่นให้
มาเข้าร่วมด้วย ส าหรับศิษย์นอกสถาบัน หากท าร้ายผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ
ระหว่างการประลอง พวกเขาจะไม่ได้รับการลงโทษแต่อย่างใด
สถาบันยุทธ์ชิงเสวียน ไม่มีสิทธิ์ในการลงโทษศิษย์ที่มาจาก สถาบันยุทธ์
แห่งอื่น ดังนั้นแล้ว ศิษย์หลายคนของสถาบันยุทธ์ ชิงเสวียนจึงไม่กล้าเข้า
ร่วมการประลอง เพราะจะเป็นพวกเขา เสียเองที่เสียหายใหญ่หลวงหาก
เข้าร่วมการประลองเช่นนี้ แม้ศิษย์ของสถาบันยุทธ์ชิงเสวียนไม่เข้าร่วม
ทางลานประลอง ก็ยังสามารถได้รับเหรียญผลึกจ านวนมากทุกวันอยู่ดี
เพราะ เหตุนี้จึงเป็นเหตุผลว่า ท าไมสถาบันยุทธ์ชิงเสวียนจึงไม่
เปลี่ยนแปลงกฎ
หากเปลี่ยนกฎ ผู้ชมที่เข้ามาดูการประลองยุทธ์จะลดจ านวน น้อยลง
มหาศาล จ านวนของผู้ชมที่น้อยลง หมายความถึง เหรียญผลึกที่น้อยลง
เมื่อฉินหยุนลงทะเบียน เขาจึงได้เข้าใจกฏไร้สาระนี้ หากศิษย์ ของสถาบัน
ยุทธ์ชิงเสวียนท าผู้อื่นบาดเจ็บสาหัสหรือสังหาร ระหว่างการประลองยุทธ์
จะต้องถูกกักขังในคุกใต้ดิน
ระยะเวลาน้อยสุดคือสองเดือน และยาวนานที่สุดคือห้าสิบปี หากเขาไม่
คิดอยากถูกกักขังไว้นานเช่นนั้น เขาสามารถใช้ เหรียญผลึกที่มี ลด
ระยะเวลาการถูกกักขังในคุกได้ สิบล้านเหรียญผลึกเพื่อลดระยะเวลาหนึ่ง
ปี!
“ลานประลองแห่งนี้เน้นมุ่งหาแต่เหรียญผลึกโดยแท้ ตราบ เท่าที่มีเหรียญ
ผลึก ก็สามารถใช้ลดหย่อนโทษ ถือว่าไม่เลว” ฉินหยุนยิ้มกับตนเองก่อน
ลงทะเบียนด้วยชื่อตนเองไป เมื่อลงทะเบียนเรียบร้อย ผู้อาวุโสที่
รับผิดชอบถึงกับตื่นตะลึง
ยามได้เห็นนามฉินหยุน ในสถาบันยุทธ์ชิงเสวียน หลายคนต่างรู้จักเขา
ทว่า ด้วยตัวตน ของเขา หากเข้าร่วมการประลองยุทธ์ คู่ต่อสู้ย่อมต้อง
ได้รับ บาดเจ็บสาหัสอย่างแน่นอน
“ฉินหยุน เจ้าแน่ใจหรือที่ลงทะเบียน ในช่วงหลายวันมานี้ ไม่มี ศิษย์คนใด
ของสถาบันยุทธ์ชิงเสวียนเข้าร่วม ข้าคิดว่าเจ้าเองก็ น่าจะทราบเหตุผล” ผู้
อาวุโสกล่าวถาม
“ขอรับ ข้ามั่นใจแล้วจึงลงทะเบียน!” ฉินหยุนพยักหน้า
ผู้อาวุโสท่านนี้ท าได้แต่บอกกล่าวและลงทะเบียนให้ฉินหยุน ก่อนจะเก็บ
หนึ่งล้านเหรียญผลึกเป็นค่าธรรมเนียม ที่ลานกว้างของลานประลองยุทธ์
หลายคนต่างอึ้งซึ่งเมื่อได้เห็น ฉินหยุนลงทะเบียน พวกเขาก าลังหารือเรื่อง
นี้กันอย่างเผ็ดร้อน เลยทีเดียว
“ฉินหยุน ตอนนี้เจ้าเป็นแค่นักสู้ระดับเริ่มต้น เจ้าต้องชนะสิบ ครั้งสะสม
ก่อนจึงค่อยเป็นนักสู้ระดับกลาง จากนั้น เมื่อชนะอีก สิบครั้งสะสมจึงค่อย
เป็นนักสู้ระดับสูง เป็นเช่นนี้เรื่อยไป ระดับ สูงสุดคือราชานักสู้”
ผู้อาวุโสอธิบายให้ฟัง “หากเจ้าจ่ายหนึ่ง แสนเหรียญผลึก พวกเราจะ
จัดแจงการประลองยุทธ์แก่เจ้า ช่วงเวลาแล้วแต่เจ้าเลือก! ไม่อย่างนั้นแล้ว
ก็จงอดทนรอตาราง การแข่งหลายวันหน่อย”
“ดูเหมือนจะมีกฏว่า ตราบเท่าที่ข้าท้าทายนักสู้ระดับกลาง ข้า ก็จะเป็น
ระดับกลางได้ทันทีเลยใช่หรือไม่?” ฉินหยุนเอ่ยถาม
“ถูกต้อง แต่นักสู้ระดับกลางทั้งหมดล้วนเป็นคนนอก นี่จะเป็น เจ้า
เสียเปรียบมหาศาลหากคิดท้าทายนักสู้ภายนอกตั้งแต่ระดับ เริ่มต้น” ผู้
อาวุโสที่โต๊ะลงทะเบียนอธิบายด้วยความเป็นห่วง ฉินหยุนยิ้ม
“ขอรับ เช่นนั้นข้าระบุผู้ที่คิดอยากประลองด้วยได้ หรือไม่?”
ตอนที่ 240 นักสู้ระดับกลำง
ชายชรานึกย้อน ถึงเรื่องที่ฮั่วจงและคณะได้รับบาดเจ็บ โดย ทันที เขาจึง
เข้าใจว่าฉินหยุนมาที่นี่เพื่อแสวงการล้างแค้นแก่ มิตรสหาย
“แน่นอนว่าท าได้ แต่ต้องจ่ายห้าแสนเหรียญผลึก! คิดท้าทาย ผู้ใดละ? ได้
แค่ระดับกลางนะ!” ผู้อาวุโสเอ่ยถาม
“โจวจงฮวย!” ฉินหยุนกล่าว
“ต้องขออภัย โจวจงฮวยเป็นนักสู้ระดับสูง เจ้าไม่อาจท้าทาย เขาตอนนี้!
ดังนั้นแล้ว เจ้าควรเริ่มจากท้าทายนักสู้ระดับกลาง ตราบเท่าที่จัดการนักสู้
ระดับกลางได้ เจ้าก็จะได้รับการเลื่อน ระดับเป็นนักสู้ระดับกลาง
ฉินหยุนเขาใจจึงถามต่อ “นักสู้ระดับกลางที่ถูกจัดสรรแก่ข้า ระดับการ
ฝึกฝนอยู่ที่เท่าใด? เทียบเท่าข้าหรือ?” ชายชราหัวเราะ
“นักสู้ระดับกลาง ทั้งหมดล้วนอยู่ขอบเขต กายวรยุทธ์ระดับที่แปด นักสู้
ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เจ็ด ล้วนโดนจัดการกันไปหมดแล้ว! ดังนั้นผู้ที่
ข้าจะเลือกให้เจ้าได้ ล้วนเป็นระดับแปดทั้งสิ้น
“หากชนะ ข้าสามารถได้รับแต้มเสวียนเท่าใด?” ฉินหยุนยังคง ห่วงเรื่องนี้
ด้วย เป็นเพราะตอนนี้เขาไม่มีวิธีอื่นให้ได้รับแต้ม เสวียนแล้ว
“คนละหนึ่งล้านแต้มเสวียน หากเจ้าแพ้ ก็จ าเป็นต้องจ่ายหนึ่ง ล้านแต้ม
เสวียนด้วย! หากเจ้าเป็นนักสู้ระดับสูง ก็จะได้รับสิบ ล้านแต้มเสวียนต่อ
หนึ่งนัดประลอง หากเจ้าแพ้ ก็ต้องจ่ายสิบ ล้านแต้มเสวียนด้วย
เช่นเดียวกัน”
ฉินหยุนลอบตระหนัก รางวัลระดับนี้ถือว่าน่าประทับใจ หาก เขาสามารถ
ชนะนักสู้ระดับสูงได้สิบนัดการประลอง เท่ากับว่า จะได้รับหนึ่งร้อยล้าน
แต้มเสวียน
เขาถามต่อ “แล้วทางด้านระดับวิญญาณและระดับราชันเล่า?”
“ลานประลองระดับวิญญาณ ส่วนใหญ่เป็นขอบเขตกายวร ยุทธ์ระดับที่
เก้า หากเจ้าชนะหนึ่งนัดประลอง จะได้รับห้าสิบ ล้านแต้มเสวียน หากเจ้า
แพ้ ก็ต้องเสียห้าสิบล้าน! นี่เหมือนการ วางเดิมพัน! ส่วนทางด้านลาน
ประลองระดับราชัน มีเพียงแต่ ขอบเขตวรยุทธ์เต๋าาที่สามารถเข้าร่วม นัก
สู้ระดับราชันทั้งหมด ล้วนเป็นระดับอาจารย์ หากพวกเขาชนะนัดหนึ่ง
พวกเขาจะ ได้รับสองร้อยล้านแต้มเสวียน หากพ่ายแพ้ก็ต้องเสียสองร้อย
ล้านแต้มเสวียน”
ชนะการประลองในระดับราชัน ถือว่าสามารถได้รับแต้มเสวียน จ านวน
มากที่สุด! แต่ระดับราชัน เป็นสนามของอาจารย์ ระดับวรยุทธ์เต เป็นเรื่อง
ยากที่ศิษย์ธรรมดาจะเอาชนะได้ กระทั่งว่าเป็นหยางฉีเย่ว์หรือเซี่ยวหยาง
หลง ผู้ซึ่งเป็นขอบเขต วรยุทธ์เต๋ารุ่นเยาว์ ก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าจะชนะ
ในการ แข่งขันระดับราชัน!
ทว่า ฉินหยุนรู้สึกได้ ว่าตนสามารถชนะในลานประลองระดับ วิญญาณ!
เป็นเขาแตะอยู่ปากทางเข้าขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เก้าแล้ว เขามีพลัง
ธาตุที่แปรสภาพเป็นแก่นภายใน ทั้งพละก าลังยัง เทียบได้กับขอบเขต
กายวรยุทธ์ระดับที่เก้า
“ผู้อาวุโส หากข้าเข้าระดับวิญญาณ ข้าสามารถต่อสู้ได้บ่อย เพียงใด?”
ฉินหยุนเอ่ยถาม “หากพวกเราไม่สู้ ต่อให้ได้แต้ม เสวียนมหาศาล มันก็
เป็นแค่ปาหี่!”
“หากเจ้าเป็นนักสู้ระดับวิญญาณ ตราบเท่าที่จ่ายสิบล้าน เหรียญผลึก
พวกเราสามารถจัดแจงนัดประลองยุทธ์ให้ได้! แน่นอนว่าหากอีกฝ่าย
ปฏิเสธ พวกเขาก็ต้องจ่ายพวกเราสิบ ล้านเหรียญผลึก ดังนั้นแล้วนี่จึงเป็น
การประลองความร่ํารวย หากเจ้าจ่ายเพิ่มขึ้น เช่นนั้นเจ้าก็จะได้สู้ และ
หากเขาจ่าย เพิ่มขึ้น เช่นนั้นเขาก็จะไม่ต้องสู้”
พอฉินหยุนได้รับรู้กฎเกณฑ์ตรงนี้ เขาสบถออกดังลั่นในใจ เขา อดไม่ได้
จริง ๆ ที่จะชื่นชมคนคิดสนามประลองแห่งนี้ขึ้นมา ถึง วิธีการตกเหยื่อล่อ
เหรียญผลึก
“นี่คือหนึ่งแสนเหรียญผลึก รบกวนท่านแล้ว!” ฉินหยุนน าเอา บัตรผลึก
ของตนออก ส่งหนึ่งแสนเหรียญผลึกให้แก่บัตรผลึก ของผู้อาวุโส
“ย่อมได้ ข้าจัดแจงให้เดี๋ยวนี้เลย!” ผู้อาวุโสหัวเราะ จากนั้นจึง น าเอา
กระดานผลึกแก้วออกมา สายตากวาดหาชื่อและ หมายเลข
หลังใช้กระดานผลึกท างาน เขาจึงกล่าวค า “วันนี้การแข่งขัน จะมีได้ก็ช่วง
เย็น คู่ต่อสู้เป็นชายวัยกลางคนจากสถาบันยุทธ์ เทียนเสวียน นามคือลูก
วง ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่แปด เตรียมตัวให้ดี!” ฉินหยุนเข้าในลาน
ประลอง นั่งลงบริเวณชั้นบน ที่นั่งผู้รับชม ลานประลองนี้ สามารถมองเห็น
ได้หลายลานประลองด้านล่าง
มีศิษย์หลายคนจับจองที่นั่งตนเอง ขณะรับชมการต่อสู้ที่ลาน ประลอง
ด้านล่างกว้างเกือบหนึ่งร้อยเมตร ลานประลองขนาดใหญ่แห่งนั้นคล้าย
สร้างขึ้นจากทองแดง มี ผังวิญญาณจ านวนมากดูดกลืนพลังงาน กระทั่งมี
อาคมขนาด ใหญ่ปลดปล่อยม่านพลังปกคลุมทั้งลานประลองเอาไว้
“ลานประลองแห่งนี้ช่างน่าทึ่งนัก ทั้งยังอยู่ที่นี่มานานหลายปี แล้ว! ผัง
วิญญาณที่แกะสลัก ทั้งหมดล้วนระดับสูงล ้า นี่ต้องมี ผังลึกล ้า
ประกอบด้วยอยู่แน่!”
แม้ฉินหยุนนั่งอยู่ที่สูง เขาก็ยัง สามารถตรวจสอบความลึกล ้าและลึกลับ
ของผังจารึกบนลาน ประลองได้ ข่าวลือว่า กระทั่งขอบเขตวรยุทธ์เต๋า
หลายคนประลองบนลาน มันก็ไม่มีทางส่งผลต่อคนดู เรื่องนี้เขาไม่ทราบ
เช่นกันว่าจริง หรือไม่ ในทุกนัดประลอง มีเวลาอย่างจ ากัด พวกเขาจะใช้
นาฬิกา ทรายก าหนดเวลา หากการต่อสู้จบที่เสมอ ทั้งสองฝ่ายก็เท่ากับ
เสมอตัว
ฉินหยุนคาดการณ์ นาฬิกาทรายนั่นสมควรอยู่ได้ราวหนึ่ง ชั่วโมง “ตราบ
เท่าที่เราล้มผู้อื่นบนลานประลอง ก็นับว่าเป็นชัยชนะ!”
ฉินหยุนส ารวจมองการประลองยุทธ์ด้านล่าง พวกเขาเป็นเด็ก หนุ่มสอง
คนที่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับเจ็ด ทั้งสองเป็นนักสู้ ระดับเริ่มต้น ระหว่าง
การประลองยุทธ์ พวกเขาโจมตีกันอย่างดุดัน พวกเขา ไม่ได้ต้องการอื่นใด
ไปมากกว่าสังหารคู่ต่อสู้ เพราะแบบนั้นพวก เขาจึงไม่มุ่งเน้นการท าให้คู่
ต่อสู้ตกจากลานประลองแต่อย่างใด
“เข้าใจแล้ว ว่าท าไมลานประลองยังไม่เปลี่ยนกฎใหม่ นี่ก็ เพื่อให้ศิษย์ของ
สถาบันยุทธ์อื่นและต าหนักดวงดาววิญญาณสี ครามต่อสู้กันจนตาย
ขณะเดียวกัน ศิษย์ของสถาบันยุทธ์ชิง เสวียนจะปลอดภัย” ฉินหยุนค่อย
ตระหนัก เมื่อครั้งลงทะเบียน ผู้อาวุโสยังเกลี้ย กล่อมให้เขาถอนชื่อ ก็
เพราะว่าเขาคือศิษย์ของสถาบันยุทธ์ชิง เสวียน
สังเวียนแห่งนี้ พวกเขาเพียงจัดตั้งและวางตัวเป็นกลาง ปล่อย ให้คู่ต่อสู้ได้
เดิมพันแต้มเสวียน ทั้งตัวสถาบันยังจะได้รับ ค่าลงทะเบียน ค่าเข้าชม ค่า
ท้าทาย และอื่น ๆ อีกหลายอย่าง เป็นการหาผลก าไรครั้งใหญ่ แต้มเสวียน
ไม่ใช่ได้รับโดยง่าย นักสู้หลายคนที่นี่ต่างมั่นใจใน พละก าลังตนเองทั้งสิ้น
พวกเขาจึงเร่งรีบมาที่นี่เพื่อเข้าร่วม และเดิมพันเสี่ยงโชค ฉินหยุนคิดอ่าน
และค่อยตระหนัก ว่าตนไม่มีแต้มเสวียน เขา เพียงมีแต้มเสวียนเหลือน้อย
กว่าหนึ่งล้านเท่านั้นเอง หากเขา คิดอยากท้าประลองระดับสูง เขา
จ าเป็นต้องมีสิบล้านแต้ม เสวียนเสียก่อน
“ดูเหมือนเราต้องต่อสู้ในระดับกลางหลายสิบนัดงั้นสินะ!” ฉิน หยุนลอบ
ถอนใจ ด้วยวิธีการนี้ เขาจะไม่อาจตรงไปท้าประลอง โจวจงฮวยได้
“หนึ่งล้านแต้มเสวียน เทียบเท่ากับแก่นอสูรระดับแปดจ านวน หนึ่ง หาก
เราใช้แก่นอสูรระดับต ่าแลกเปลี่ยน น่าจะท าได้ โดยง่าย ด้วยวิธีการนี้
ตราบเท่าที่ตกลงมอบแก่นอสูรระดับต ่า ให้ เราจะท าให้เขาประกาศ
ยอมรับความพ่ายแพ้ด้วยตัวเอง ฉินหยุนเพียงแค่คิดเท่านั้น หลังผ่านไป
หลายศึก ก็ถึงยามตะวันใกล้ตกดินแล้ว ฉินหยุน ผู้ซึ่งนั่งอยู่บนที่นั่งผู้ชม
ก าลังรอคู่ต่อสู้ให้มาถึง
“คู่ถัดไป นักสู้ระดับเริ่มต้น ฉินหยุน และนักสู้ระดับกลาง ลูกวง ขึ้นมาบน
ลานประลองได้!”
“ ฉินหยุน! เมื่อได้ยินนามนี้ ทั่วทั้งสนามประลองจึงเกิดเสียงร้องอุทาน
ฮือฮาดังขึ้น!
“นี่ข้าได้ยินผิดไปหรือ? ฉินหยุนเป็นศิษย์ของสถาบันยุทธ์ชิง เสวียน
ระหว่างการประลองยุทธ์ เขาไม่อาจท าร้ายผู้ใดอย่าง หนักหนาได้ ไม่ใช่ว่า
เขาจะเสียเปรียบยิ่งหรอกหรือ?”
“เป็นฉินหยุนคนนั้น ได้ข่าวว่าเพิ่งก้าวถึงขอบเขตกายวรยุทธ์ ระดับแปด?
เจ้าหนูนี่คงเข้าร่วมหาความสนุกกระมัง! กล่าวกัน ว่าเจ้าหนูนี้มีแต้ม
เสวียนกว่าสามร้อยล้าน แต่ก็ใช้จน หมดแล้ว!”
“นี่มาล่าแต้มเสวียนงั้นหรือ?”
“มาดูกันดีกว่า! คู่ประลองของฉินหยุนต้องน่าตื่นตาตื่นใจแน่! เจ้าหนูนี่ตก
เป็นเป้าขององค์ชายและจักรวรรดิหลายแห่ง ไม่มี อัจฉริยะใดที่ประลอง
กับเขาแล้วมีจุดจบอันดีสักคน! นอกจากนี้ เขายังคิดท้าทายวรยุทธ์แต่
อย่างเชี่ยวหยางหลงในอีกสองปี ช่างเป็นเจ้าหนูจอมอวดดีจริง ๆ”
“ด้วยอายุเพียงสิบหก เหตุใดจึงอวดดีได้เพียงนี้กัน?” ฝูงชนเริ่มสนทนา
กันเอง ฉับพลัน พวกเขาจึงได้เห็นเด็กหนุ่ม หล่อเหลาในชุดสีด าลุกยืนขึ้น
ด้วยผิวค่อนข้างคล ้า เด็กหนุ่มผู้ นี้ร่างสูงและเบ้าตาลึกลงไป สีหน้าสงบที่
ใบหน้า ช่างไม่เข้าคู่ กับรูปลักษณ์ของเด็กหนุ่มเอาเสียเลย
คนผู้นี้คือฉินหยุน เขาหันมองเด็กหนุ่มหลายคนที่นินทาเขาเมื่อ ครู่ เมื่อ
สายตาสบกัน พวกเขาหวาดกลัวจนแทบลืมหายใจ ฉินหยุนนั่งบน
อัฒจันทร์ส่วนบน เขาค่อยเดินลงมา ฝูงชนรอบ ด้านเงียบเสียงลงขณะเขา
เดินผ่านลงไป สายตานั้นรวมมองที่ เขา
ขณะสายตาจ านวนมากจับจ้อง ฉินหยุนยังคงสงบ เขาก้าวเดิน ไม่เร่งรีบ
ไปยังลานประลองเบื้องล่าง ฯ หลายคนเพียงได้ยินนามฉินหยุน ไม่เคยได้
เห็นกับตาตัวเองมา ก่อน เด็กสาวหลายคนอดไม่ได้ที่จะเผยดวงตา
สุกสว่างยามได้ เห็นความหล่อเหลาและเด็ดเดี่ยวที่เขาเผยออก
ฉินหยุนนับว่ามีหน่วยก้านดียิ่ง ทั้งเป็นองค์ชายรัชทายาท และ เป็น
อัจฉริยะอย่างแท้จริง แต่เขาไม่ได้มีท่าที่อหังการเผยออก จนเกินไป ไม่
เหมือนกับนายน้อยของหลายตระกูล ผู้ซึ่งอหังการ และอวดดี มักมอง
เหยียดผู้คนจากที่สูงอยู่เสมอ โดยเฉพาะท่วงท่าความสงบที่ฉินหยุนเผยให้
เห็น มันท าเอา หลายคนลอบชื่นชม
เด็กหนุ่มอายุสิบหก หลังผ่านการทดสอบโหดร้ายมากมาย จิตใจของเขา
กล้าแกร่งและนิ่งสงบ นี่คือสิ่งที่นายน้อยของ ตระกูลสูงศักดิ์หลายแห่งไม่
อาจเทียบเปรียบ ฉินหยุนยืนด้านบนลานประลอง ก าลังส ารวจมองลูกวง
ลูกวงเป็นชายวัยกลางคน ด้วยใบหน้าค่อนข้างยาว แต่กลับ อ้วนและเตี้ย
ที่คางมีหนวดเคราหลอมแหลม สวมใส่ชุดเกราะสี ด าเข้ารูป เขาคืออดีต
ศิษย์ของสถาบันยุทธ์เทียนเสวียน ยามเผชิญหน้ากับฉินหยุน ท่าทีของเขา
สงบยิ่ง เขาไม่คล้าย หวั่นเกรงฉายา
“ดาวพิฆาตอัจฉริยะ” เลยแม้แต่น้อย ลูกวงยิ้มสงบกล่าวค า
“เด็กหนุ่ม ข้านับถือเจ้านัก! การประลอง ยุทธ์เช่นนี้ มีแต่ท าให้เจ้า
ยากล าบาก กระนั้นก็ยังเข้าร่วมด้วย ความมั่นใจ เจ้าคิดจริงหรือว่า
สามารถชนะข้าได้โดยไม่ท า ร้าย?”
ในการต่อสู้ประลองครั้งนี้ ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้อาวุธ ค้อนราชันยักษ์
วิญญาณของฉินหยุนคือสิ่งชวนสะพรึง ตอนนี้ เขาไม่อาจใช้งาน ดังนั้นจึง
ยากคาดเดาว่าใครกันแน่ที่จะชนะ
หลันเฟิ งจินเองก็นั่งอยู่บนอัฒจันทร์สูงขึ้นไป นางเองก็ยังไม่ ทราบว่าฉิน
หยุนจะเอาชนะคู่ต่อสู้ได้อย่างไร ภายใต้เงื่อนไขไม่อาจท าร้ายคู่ต่อสู้ มัน
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะ จัดการอีกฝ่าย ผู้ฝึกตนขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่แปด
หลาย คน ต่างก็คิดว่าพวกเขาไม่อาจหาทางท าได้
“เริ่มได้” กรรมการที่รับผิดชอบคู่ประลองนัดนี้ พลันประกาศ ดังก้องทั่วทั้ง
สนามประลองยุทธ์ ลูกวงพลันค าราม ด้วยน ้าหนักและฝีเท้าหนักอึ้ง ราว
กับสัตว์ห้อ ตะบึงเข้าหา ด้วยย่างก้าวบนลานประลองทองแดง ฝีเท้าส่ง
เสียง
“ตึง ตึง ตึง” ดังขึ้น ท่วงท่าเผยท่าที่คุกคามไม่ใช่น้อย ขอบเขตกายวรยุทธ์
ระดับที่แปด หากถึงขั้นที่ควบแน่นขุมพลัง ภายในขั้นสูงได้แล้ว กายภาพ
ของพวกเขาจะยิ่งแข็งแกร่ง พลัง กระดูกทองค าจะปลดปล่อยออกมา
เหนือล ้ายิ่งกว่าผู้ที่เพิ่งก้าว ถึงขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่แปด
ทางด้านลูกวงตอนนี้ เขาคือขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่แปด ซึ่งสามารถ
ควบแน่นขุมพลังภายในขั้นสูงได้แล้ว ก าลังภายในที่ ปล่อยออกจาก
ร่างกาย มันเหนือล ้า แทบพร้อมจะท าลายทุกสิ่ง ฉินหยุนยืนหยัดมั่นคงที่
ต าแหน่งเดิม ซึ่งยังห่างจากลูกวงอยู่ หลายสิบเมตร! กระทั่งท่วงท่าของลูก
วงชวนตกตะลึง ทว่าความเร็วไม่ได้น่าทึ่ง ขนาดนั้น หลังทะยานกายออก
หลายสิบเมตรได้เพียงสามวินาที ก็เป็นเขาใช้ก าลังภายในไปมากแล้ว
ขณะทะยานกายเข้าหาฉินหยุน
เขาจึงปลดปล่อยก าลังภายใน ออก เมื่อฉินหยุนค ารามร้องดังขึ้น คลื่น
เสียงสะท้อนค ารามของ ราชสีห์ท าให้เกิดสายลมรุนแรง ตามมาด้วยเสียง
ระเบิดทะลุ ก าแพงเสียง ลู่กวงที่วิ่งเข้าใส่ ร่างกลับกระเด็นลอยลิ่ว!
ตอนที่ 241 เหนือล ้ำ
ฉินหยุนระเบิดเสียงคําราม เป็นผลให้หูของทุกผู้คนทั้งสนาม ประลอง
ได้รับบาดเจ็บ พวกเขาล้วนมึนงงขณะรับชมลาน ประลอง สู่กวงร่าง
กระเด็น ร่างกระแทกกับพื้นลานประลอง! เขาค่อยลุกยืนขึ้น คล้ายไม่ได้
ยินเสียงใดรอบข้างอีก สายตาก็พร่ามัว ทั้งศีรษะยังวิงเวียน ขณะลูกวง
แตกตื่นอยู่นั้นเอง เขาพลันรู้สึกได้ ถึงสายลมกระโชก รุนแรงพัดเข้าใส่!
ฉินหยุนทะยานกายเข้ามา ผลักฝ่ามือใส่ลูกวง ส่งร่างนั้นผ่าน สายลมพัด
พา ร่างกระเด็นหลุดพ้นจากลานประลอง
“ลูกวงแพ้ ฉินหยุนชนะ!” กรรมการประกาศผล เขารู้สึกว่า เสียงคําราม
ของตนก็ไม่แย่ แต่เสียงคํารามของฉินหยุนก่อน หน้า มันชวนสะพรึง
จนเกินไป ลูกวงโดนคลื่นเสียงทําให้มึนงง แม้ร่างกายบาดเจ็บจากแรง
ปะทะ แต่ก็ไม่เลวร้าย ไม่นับเป็นอาการบาดเจ็บร้ายแรง ด้วยเหตุนี้
ฉินหยุนจึงไม่ได้ขัดต่อกฎ เขาไม่ได้ลงมือรุนแรงต่อ อีกฝ่าย จึงได้รับชัย
ชนะในการประลองนี้ไป ทั้งยังได้รับรางวัล เป็นหนึ่งล้านแต้มเสวียน ฝูงชน
รอบด้านระเบิดเสียงฮือฮาราวฟ้าคําราม พวกเขาล้วน สนทนาอย่าง
ดุเดือดถึงวิชายุทธ์คลื่นเสียงของฉินหยุน
สิ่งนี้คือวิชายุทธ์ที่ฉินหยุนรู้และเข้าใจจากโทเทมราชสีห์สวรรค์ มันถูก
เรียกว่าเสียงคํารามราชสีห์สวรรค์ หากเตรียมป้องกันให้ ดี อาจทําให้ไม่
สามารถขยับได้วูบหนึ่ง ฉินหยุนได้ทดสอบหลายต่อหลายครั้งยามใช้งาน
ต่อผู้อื่น ทุก ครั้งล้วนให้ผลลัพธ์ที่ดี หลังได้รับชัยชนะ เขาจึงเร่งรีบไปพบ
ชายชราที่โต๊ะประชาสัมพันธ์
เขาจัดการโค่นล้มนักสู้ระดับกลาง ดังนั้นเขาจึงเป็นนักสู้ ระดับกลางแล้ว
และตอนนี้ เพราะเขาไม่มีแต้มเสวียนเพียงพอ เขาจึงไม่อาจท้าทายนักสู้
ระดับสูง ฉินหยุนส่งอีกหนึ่งแสนเหรียญผลึกแก่ชายชรา เพื่อให้เร่งรีบ
จัดแจงการประลองนัดถัดไป
ตอนนี้ ในสนามประลองแห่งนี้ เป้าหมายของเขาไม่ใช่เพียงแต่ โค่นล้ม
โจวจงฮวย แต่ยังเป็นการได้รับชัยชนะเพื่อแต้มเสวียน!
ท้องฟ้ามืดลง ฉินหยุนได้ประลองอีกนัดหนึ่ง นี่ถือเป็นรอบ สุดท้ายของวัน
แล้ว เดิมทุกคนคิดแยกย้าย แต่หลังได้ยินว่าฉัน หยุนจะประลองอีกครั้ง
พวกเขาจึงตัดสินใจอยู่ต่อ ฝูงชนนับหมื่นในสนามประลองแห่งนี้ ล้วน
พูดคุยกันเสียงดัง การประมือของฉินหยุนก่อนหน้านี้เกินพวกเขาคาดคิด
ไปมาก ด้วยเสียงคําราม เขาถึงขั้นจัดการอีกฝ่ายอย่างไม่ทันรู้ตัว ได้รับ ชัย
ชนะโดยง่ายดาย! พอพวกเขาเห็นฉินหยุนปรากฏตัวที่ลานประลองอีกครั้ง
สายตาทุกคนล้วนจับจ้อง! บุคคลที่ประลองยุทธ์ครั้งนี้กับฉินหยุน คือชาย
วัยกลางคน นาม คือเกาหู เป็นชายร่างใหญ่ไว้หนวดเครา มาจากสถาบัน
ยุทธ์ห ลิงเสวียน
“เกาหู? ไม่ใช่แม่ทัพหนุ่มจากจักรวรรดิเทียนหลิงหรอกหรือ?”
“อืม เขาเป็นศิษย์ของสถาบันยุทธ์หลิงเสวียน ทั้งยังเป็นแม่ทัพ ของ
จักรวรรดิเทียนหลิง พละกําลังของเขาถือว่าไม่ธรรมดา ได้ ยินว่าอีกไม่ช้า
จะก้าวสู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เก้าแล้ว”
“วิญญาณยุทธ์คือขวานระดับทอง ด้วยเรื่องห้ามใช้อาวุธใน การแข่ง
วิญญาณยุทธ์อาวุธเหล่านี้ถือว่าน่าสะพรึงนัก พวกมัน สามารถใช้ออกเป็น
วิญญาณยุทธ์อาวุธได้โดยตรง”
“เกาหูคือนักสู้ระดับกลาง ชนะสะสมมาแล้วเก้าครั้ง หากชนะ ฉินหยุน เขา
จะกลายเป็นนักสู้ระดับสูง!”
จากบทสนทนาของฝูงชน ฉินหยุนจึงทราบรายละเอียดโดย คร่าวของคู่
ต่อสู้ตรงหน้า! แม่ทัพแห่งจักรวรรดิเทียนหลิงซึ่งตั้งตัวเป็นศัตรูแก่เขา
เพราะ เขาคือผู้สังหารรัชทายาทแห่งเทียนหลิง
หากเกาหูสามารถสังหารฉินหยุนที่นี่ ทางจักรวรรดิได้ตบรางวัล อย่างงาม
แก่เขาแน่นอน ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่คิดเผยความ ปราณีในการประลอง
ยุทธ์ครั้งนี้
“ฉินหยุน ผู้อื่นต่างหวาดเกรงเจ้า แต่ข้าไม่!” เกาหูแค่นเสียง
“เป็นเจ้าเพียงพึ่งพายันต์สะกดกาย และอุปกรณ์วิญญาณ ระดับสูง พลัง
จึงเทียบเท่าขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เก้า แต่ เหล่านั้นเจ้าไม่อาจใช้พวก
มัน ด้วยลําพังพละกําลังของเจ้าเอง ไม่มีวันเป็นคู่ต่อสู้แก่ข้าได้”
ฉินหยุนยิ้ม “ช่างมั่นใจเสียนี่กระไร มั่นใจเหมือนรัชทายาทของ เจ้าไม่มี
ผิด!”
“ฉินหยุน อย่าได้อวดดีไป! ที่เจ้าจัดการองค์รัชทายาทของพวก เรา เพียง
พึ่งพาสิ่งอื่น ไม่ใช่กําลังแท้จริงของเจ้า!” เกาหู หัวเราะดัง
“ข้ายอมรับ เจ้าเป็นอาจารย์จารึกที่มีพรสวรรค์ ด้วยพรสวรรค์เล็กน้อยของ
เจ้า หากไม่มีมัน เชี่ยวเย่ว์หลานคง ไม่ชายตามองเจ้า! เหตุผลที่นางคิด
อยากตบแต่งกับเจ้า ก็ เพราะนางหมายตาผังวิญญาณที่เจ้าครอบครอง
ในความเป็นจริง นางก็เพียงแต่ต้องการสิ่งลํ้าค่า ไม่มีความจริงใจกับเจ้า
แม้แต่น้อย”
“แต่เจ้า ผู้แสนโง่เขลา กลับอวดดีเพราะเรื่องนี้ เจ้าก็แค่แมลง ตัวจ้อยน่า
สมเพชที่ถูกเอาเปรียบโดยนางแพศยาเชี่ยวเย่ว์หลาน นั่น กระทั่งข้ายังต้อง
เวทนาเจ้า!” สีหน้าฉินหยุนเผยความเย็นเยียบ นํ้าเสียงเอ่ยถามลุ่มลึก
“เมื่อ ครู่เจ้าสบถต่อเย่ว์หลานหรือ?”
เกาหูหัวเราะออก “ใช่แล้ว เป็นข้าสบถต่อมัน! เชี่ยวเย่ว์หลาน มันเป็นหญิง
แพศยา ข้าสบถต่อมันแล้วยังไง? เจ้าจะทําอะไรข้า ได้? บนลานประลองนี้
เจ้าทําร้ายข้ายังไม่ได้ด้วยซํ้า ฮ่าฮ่าฮ่า”
ฉินหยุนกําหมัดแน่นกลืนนํ้าลาย เป็นความจริง เขาไม่อาจทํา ร้ายเกาหูบน
ลานประลอง ดังนั้นเขาจึงต้องสะกดข่มอารมณ์ ตนเองไว้ เกาหูยินดีนัก
ยามได้เห็นสีหน้ามีโทสะของฉินหยุน เขากล่าวคํา ต่อเสียงดังลั่น ทั้งยัง
หัวเราะตํ่าช้า
“ฉินหยุน ภรรยาเจ้า เชี่ยว เย่ว์หลาน ก็แค่คณิกานางหนึ่ง มารดาเจ้าเองก็
เป็นหญิงชั้นตํ่า ในชนบทนางหนึ่ง ด้วยมารยาจึงได้เป็นจักรพรรดินีแห่ง
เทียน ฉิน แต่แล้วยังไง? นางก็ยังเป็นหญิงสวะชั้นตํ่าวันยังค่ํา ตัวคนก็ ตาย
ไปนานแล้ว กล่าวกันว่านางตายเพราะเจ้านี่นะ มีสายเลือด ชั้นตํ่าของนาง
ผู้หญิงเช่นนั้นอยู่ในกายรู้สึกอย่างไรบ้างละ? ฮ่า ฮ่าฮ่า”
คําหยาบช้าของเกาหู เป็นผลให้ผู้ชมเดือดพล่าน!
“ฉินหยุน จงสังหารมันจนถึงแก่ความตายที่บังอาจต่อว่าภรรยา และ
มารดาเจ้า!”
“ฉินหยุน อย่าได้สนใจอื่นใด ทําให้มันเป็นคนพิการซะ!”
“ฆ่ามัน! ฆ่ามัน!”
“ฆ่ามันให้ตาย!” ฝูงชนล้วนรู้สึก ว่าเกาหูหยาบคายตํ่าช้าจนเกินไป พวก
เขาต่าง ให้กําลังใจฉินหยุนส่งเสียงดังไม่ขาดปาก หากฉินหยุนทําร้ายเกา
หูหรือสังหาร เขาจะต้องโดนลงโทษ เรื่องนี้เป็นสิ่งที่หลายคนมองข้ามไป
“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าไม่กล้าหรอก ไอ้คนขลาดเขลา!” เกาหูหัวเราะดัง ไม่หวั่น
เกรงใดทั้งสิ้น กระทั่งฉินหยุนที่สงบมาตลอด ยังโกรธจนถึงขั้นเส้นเลือดปูด
โปนออก
“เริ่มการประลองได้!” เสียงดังขึ้น ชายชราประกาศเริ่มต้นการ ต่อสู้แล้ว
ฉินหยุนคํารามด้วยโทสะทันทีเมื่อการประลองเริ่มขึ้น เป็นเขา ใช้เสียง
คํารามราชสีห์สวรรค์ สายลมรุนแรงชวนสะพรึงพัดพาพร้อมเสียงคําราม
มันแทบสั่นสะเทือนถึงสวรรค์ทะลักเข้าใส่ เกาหู เกาหูเตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว
นอกจากนี้ พละกําลังของเขายัง ไม่ใช่อ่อนด้อย ด้วยท่านั่งยอง เท้านั้นยึด
ติดเอาไว้แน่นกับพื้น ร่างกายท่วงท่านี้สามารถต้านลม คลื่นเสียงของฉิน
หยุน หาได้ส่งผลกระทบต่อเกาหูมากนัก มัน เพียงได้ขยับร่างกํายํานั้น
เล็กน้อย ประมาณสิบเมตรเท่านั้นเอง
“เหอะ!” ฉินหยุนสบถ เป็นเขาทราบแล้วว่าเสียงคํารามราชสีห์ สวรรค์ใช้
กับเกาหูไม่ได้ แต่อย่างน้อย ตอนนี้อีกฝ่ายก็อยู่ห่าง จากเขานับสิบเมตร
แล้ว ด้วยเหตุนี้ หลังตะโกนออกด้วยเสียงคํารามราชสีห์สวรรค์ เขา จึงใช้
ก้าวอัคคีเมฆาเร่งทะยานกายออก ถึงตรงหน้าเกาหูแทบ ในพริบตา
จากนั้น หมัดจึงต่อยออกหลายครั้งคราด้วยเสียง
“ตุบ ตบ ตุบ” เสียงนี้คล้ายฟ้าคําราม ยามเมื่อพาดผ่านอากาศ ส่งออกซึ่ง
เสียงร้องหวีดหวิว เกาห์ลอบตระหนก พละกําลังของฉินหยุน เหนือกว่าที่
เขา คาดคิดเอาไว้ ทว่า เขาก็หาได้กังวลไม่ เพราะฉินหยุนไม่กล้า โจมตีเขา
หนักหน่วงอย่างแน่นอน มุมปากของเกาหูยิ้มเย้ยขณะสบกด่าฉินหยุนไม่
หยุด พร้อมรับ การโจมตี เขาใช้วิธีหยาบช้าโจมตีต่อฉินหยุน ด้วยเห็น
เหตุการณ์ หลายคนต่างขมวดคิ้วไม่พอใจ “ฉินหยุน ฆ่ามัน! ฆ่ามัน!”
“คิดปล่อยไอ้สารเลวที่สบฤด่าต่อตระกูลเจ้าไว้เช่นนี้หรือ? หาก เจ้าเป็น
ลูกผู้ชาย เช่นนั้นจงอย่าได้เป็นเต่าหัวหด!”
“ฉินหยุน เจ้าเต่าขี้ขลาด! เจ้าเต่าขี้ขลาด!”
“ฉินหยุนขี้ขลาด ฉินหยุนขี้ขลาด!”
“ฉินหยุนหดหัวกลับกระดองไป!”
ฝูงชนที่รับชมหาได้กลัวเกรงใดไม่ หลายคนเลือกตะโกนโห่ร้อง ไปยังลาน
ประลองด้านล่าง เสียงนี้คล้ายตะโกนออกมาสุดหลอด เสียง เป็นการสุม
ไฟแก่ฉินหยุนโดยแท้
พวกเขาอยากจุดไฟให้ฉินหยุน พวกเขาคิดอยากรับชมเขาปลิด ชีพเกาหู
จากนั้นจึงค่อยเป็นการรับโทษจากสถาบันยุทธ์ชิง เสวียน หลันเฟิ งจินคิ้ว
ขมวดยามได้เห็นดังนี้ นางรู้ถึงความร้ายกาจของ ฉินหยุนเป็นอย่างดี ผู้อื่น
บอกว่าฉินหยุนไม่ได้ลงมือเต็มที่ แต่ นางไม่ใช่
แม้หลายคนก่นด่าฉินหยุนเป็นคนขี้ขลาด พวกเขาก็อดไม่ได้ที่ จะชื่นชม
ความหนักแน่นของอีกฝ่ายอยู่ภายใน เดิมเป็นเขาถูก ยั่วยุรุนแรงตั้งแต่
ก่อนเริ่มสู้ด้วยซํ้า แต่ตอนนี้ยังคงสงบเยือกเย็น ไว้ได้ นี่ก็เพราะช่วงเวลาที่
ผ่านมา เกาหูไม่มีโอกาสแตะต้องฉินหยุน ได้ นอกจากนี้ ยามเมื่อโดนฉิน
หยุนโจมตี เขาต้องใช้พลังเพื่อ รับมือไม่ใช่น้อย กําลังภายในถูกใช้ออกยิ่ง
มายิ่งมาก
หากเป็นแบบนี้ต่อไป พลังภายในของเขาจะถูกใช้จนหมดสิ้น ถึงตอนนั้น
เขาจะไม่เหลือพลังให้จัดการฉินหยุน และเมื่อนั้น เขาจะโดนเสียงคําราม
ราชสีห์สวรรค์ลั่นเข้าใส่จนร่างกระเด็น
“ฉินหยุน รีบจัดการไอ้หมอนี่ได้แล้ว เป็นเจ้าอดทนต่อการก่น ด่าหยาบ
คายต่อภรรยาและมารดาที่ล่วงลับไปแล้วของเจ้าได้ อย่างไร? ผู้คนหากยัง
มีชีวิต ย่อมมีโอกาสที่จะรอดชีวิตจงจํา ไว้”
“ใช่แล้ว รีบสังหารมันเสีย หากทั้งหมดที่เจ้าทําได้แค่ให้มันพ่าย แพ้อย่างไร้
รอยขีดข่วน เป็นข้ามองเจ้าผิดไปจริง! ก็แค่การ ลงโทษของสถาบันยุทธ์ชิง
เสวียนไม่ใช่หรือ? อย่างมากก็ถูกขัง สักแปดปีสิบปี เมื่อเจ้าออกมา เจ้าก็
ยังเป็นที่ชื่นชมอยู่!”
“ฉินหยุน นาฬิกาทรายใกล้หมดแล้ว หากยังไม่โจมตีโดยเร็ว เจ้าจะไม่มี
โอกาสแล้ว!”
หลายคนต่างรู้สึกไม่พอใจที่เห็นความอดทนของฉินหยุนสูงลํ้า ขนาดนี้
พวกเขาคาดหวัง ที่จะได้รับชมเรื่องสนุกอย่างฉินหยุน ปลิดปลงสังหารเกา
หู
“ฉินหยุน บอกต่อเซี่ยวเย่ว์หลาน อย่าได้เข้าจักรวรรดิเทียนหลิงของเรา
ไม่เช่นนั้น พวกเราจะจับตัวนาง จากนั้น” ก่อนเกาหูจะกล่าวคําจบ ฉิน
หยุนปล่อยหมัดลุกโชนด้วยเปลว เพลิงทองม่วง ด้วยการเหวี่ยงแขนทรง
พลัง เขาปล่อยการโจมตี พร้อมจุดเปลวเพลิงทองม่วง! ในที่สุดฉินหยุนก็
คิดโจมตีรุนแรง ฝูงชนโห่ร้องยินดี นี่คือสิ่งที่ พวกเขาคาดหวังรอคอย!
หลันเฟิ งจินกําหมัดเอาไว้แน่น นางทราบว่าฉินหยุนอาฆาต โจวจงฮวย
หากเขาสังหารเกาหูที่ตรงนี้ เขาจะไม่มีทางได้ เผชิญหน้ากับโจวจงฮวย
บนลานประลอง เกาหูพลันโดนเปลวเพลิงทองม่วงของฉินหยุน ปกคลุม
ไม่มีใครได้เห็นร่างอีกฝ่าย พวกเขาล้วนคิดว่าอีกฝ่ าย สมควรบาดเจ็บ
สาหัสแล้ว ถึงตอนนี้เอง ฉินหยุนพลันพุ่งกาย เข้าในเปลวเพลิง!
“โอ้!”
ในสนามประลอง คลื่นสั่นไหวสะเทือนฟ้าสะท้านดินเพราะเสียง โห่ร้อง
ปะทุออก นี่หมายความถึงพวกเขาคิดว่าเกาหูสมควรจบ สิ้นแล้ว!
ฉินหยุนพุ่งเข้าในเปลวเพลิง ปลดปล่อยเคล็ดวิชารวมจิต วิญญาณสังหาร
เป็นเขาใช้การโจมตีทางจิตใส่เกาหูอย่างไร้ ความปราณี เป็นผลให้อีกฝ่าย
ร้องออกอย่างน่าสังเวช
แม้ไม่มีใครพบเห็นว่าด้านในเปลวเพลิงทองม่วงเกิดอันใดขึ้น พวกเขาก็
ยังคงตื่นเต้นยามได้ยินเสียงกรีดร้องราวหมูถูกเชือด ของเกาหู หลังฉิน
หยุนจัดการเกาหูด้วยเคล็ดวิชารวมจิตวิญญาณสังหาร เขาเร่งรีบนําเอา
ขวานจากมิติเก็บของยัดใส่มือของเกาหู จากนั้น จึงใช้วิชาเทวะควบคุม
บังคับร่างกายและแขนของเกา
เปลวเพลิงทองม่วงพลันหายวับ ทุกคนล้วนเห็นชัดกับตา เกาหู กําลังเลื้อ
ขวานยักษ์ในมือสับฟันใส่ฉินหยุน! การใช้อาวุธระหว่างการประลองยุทธ์
ในสนามประลองแห่งนี้ ถือเป็นการขัดต่อกฎ!
ตอนที่ 242 กรงเล็บแห่งโทสะ
เกาหูเลื้อขวานยักษ์ขึ้น จากนั้นจึงสับฟันลงเข้าใส่ฉินหยุน เป็น กรรมการ
เร่งรีบโจมตีเข้ามาตีขัด ทว่า ฉินหยุนรวดเร็วกว่า แขนราชสีห์สวรรค์ของ
เขา ปลดปล่อยอสนีบาตอัคคีทองม่วงออก แปรเปลี่ยนเป็นกรงเล็บ ราชสีห์
นี่คือ กรงเล็บราชสีห์สวรรค์! ทันทีที่ฉินหยุนใช้กรงเล็บราชสีห์สวรรค์ เขา
ปลดปล่อยวิชาวายุ สังหารออก อย่างกะทันหัน ร่างเงากรงเล็บน่าสะพรึง
นับไม่ถ้วน ปรากฏปกคลุมทั่วร่างเกาหู
ด้วยเสียง ฉิวะ ฉวะ” ดังขึ้น
เกาหูที่ถือขวานยักษ์เอาไว้ ถูกสับ ฟันด้วยกรงเล็บราชสีห์สวรรค์ ละออง
โลหิตสาดกระเซ็น กระทั่งขวานยักษ์ยังแตกออกเป็นชิ้น ถัดจากนั้น ฉิน
หยุนจึงปล่อยหมัดเปี่ยมด้วยโทสะออก หมัดนี้ สว่างวูบจนผู้ชมดวงตามืด
บอด มันลุกโซนด้วยเปลวเพลิง ปะทะเข้ากับกองเศษซากที่พื้น!
ตู้ม! ลานประลองสนั่นหวั่นไหว ทั่วทั้งสนามประลองสั่นไหวเพราะ หมัดนี้
เสียงปะทะนี้กระทั่งสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อทั่วทั้ง สถาบันยุทธ์ชิงเสวียน!
กรรมการเร่งรีบเข้ามา ทว่าเกาหูไม่เหลืออันใดให้พบเห็น ท่ามกลางเศษ
ซากขวานยักษ์ ร่างนั้นกลายเป็นเถ้าถ่านเพราะ หมัดอ่อนอัคคีของฉินหยุน
กรรมการอาวุโสถึงกับอึ้ง! เขาอยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เก้า โดยรวม
ถือว่าไม่เลว กระนั้น ด้วยความเร็วที่เขาทะยานกายพุ่งเข้ามา ก็ยังไม่ทัน
หยุดฉินหยุนไว้ นอกจากนี้ กระทั่งอยู่ระยะไกล เขายังรู้สึกได้ ถึงพละกําลัง
อันน่าสะพรึงของฉินหยุน! ฉินหยุนเผยสีหน้าสงบและกล่าวคําอย่างเฉยชา
“เป็นเขาอยู่ ๆ นําเอาอาวุธออกมาเป็นการแหกกฎ ด้วยข้าต้องเสี่ยงชีวิต
ดังนั้นจึงไม่มีทางเลือก ทําให้ต้องจัดการเขาก่อนข้าจะมีภัยเสีย เอง!”
ทุกคนล้วนได้เห็นว่าเกาหูเป็นคนเช่นไร เขาเป็นคนที่สามารถ ก่นด่ารุนแรง
ต่อตระกูลของคู่ต่อสู้ ทั้งยังหยาบคายเกินใครเทียบ ไม่แปลกที่จะใช้วิธี
สกปรกเช่นนี้ เป็นเขารับการโจมตีของฉัน หยุนมานาน จึงเป็นเรื่องปกติที่
จะบันดาลโทสะออก เป็นเขา โกรธแค้นขนาดที่ว่าหยิบอาวุธออกมาคิดสับ
ฟันใส่ฉินหยุน ไม่มีผู้ใดทราบว่าขวานที่เกาหูถือในมือ เป็นฉินหยุนนํา
ออกมา ยัดใส่มืออีกฝ่าย ย้อนกลับไป เกาหูโดนฉินหยุนโจมตีด้วยเคล็ด
วิชารวมจิต วิญญาณสังหาร สภาพกึ่งไม่ได้สติ ถัดจากนั้น เป็นเขาใช้พลัง
จิตควบคุม ให้อีกฝ่ายกําขวานยักษ์เอาไว้แน่นพร้อมสับฟันลง ใส่ตัวเอง!
ด้วยเปลวเพลิงทองม่วงปกปิดสายตา ไม่มีผู้ใดสามารถมองเห็น ว่าด้านใน
เกิดอะไรขึ้น พวกเขาเห็นก็แต่ ฉากที่เกาหูยกขวาน ขึ้นเตรียมสับฟันใส่ฉิน
หยุนตอนที่เปลวเพลิงทองม่วงหายไป!
“นี่ข้าคงไม่ได้แหกกฎหรอกใช่หรือไม่?” ฉินหยุนหันมอง กรรมการอาวุโส
เขาขมวดคิ้วเอ่ยถาม
“เป็นเขาขัดต่อกฎการ แข่งขันก่อน ดังนั้นข้าไม่สมควรโดนโทษที่ต้องลงมือ
สังหาร เขา!” ผู้อาวุโสหลายท่านเร่งรีบเดินเข้ามา เริ่มหารือกันถึงเรื่องนี้ ไม่
นานนัก กรรมการอาวุโสจึงตะโกนขึ้น
“เกาหูละเมิดกฏด้วย การใช้อาวุธในการแข่งขัน ฉินหยุนโจมตีคู่ต่อสู้สุด
แรงเพื่อ ปกป้องตนเอง ด้วยสถานการณ์พิเศษ เขาไม่ได้กระทําขัดต่อกฎ
การแข่งขันที่ทําร้ายหรือสังหารคู่ต่อสู้ในสนามประลองที่บังคับ ใช้ต่อศิษย์
ของสถาบันยุทธ์ชิงเสวียนแต่อย่างใด”
“นอกจากนี้ ฉินหยุนยังได้รับชัยชนะในการต่อสู้ครั้งนี้ด้วย!”
ยังไม่มีผู้ใดตื่นจากห้วงความคิด ภาพฉากที่ฉินหยุนใช้กรงเล็บ ราชสีห์
สวรรค์ กําจัดเกาหูจนสิ้นชีพยังย้อนวนเวียนในใจพวก เขา มันเป็นภาพ
ฉากที่น่าสะพรึง โดยเฉพาะกับบรรดาผู้ที่ต่อว่าฉินหยุนขลาดเขลา ถึง
ตอนนี้ ใน ใจพวกเขาพลันปกคลุมด้วยความหวาดกลัว พวกเขาไม่
แม้กระทั่งกล้ามองหน้าฉินหยุน! เป็นเพราะความหยาบคายที่กระทําต่อ
ตระกูลของฉินหยุน
เกาหูจึงไม่มีผู้ใดคิดเวทนา กระทั่งถ้าธุลีของร่างกายถูกพัดกระจาย หายก็
หาได้มีผู้ใดสนใจไม่